“ร่างกายพวกเราแม้สกปรก จิตใจกลับสะอาดสะอ้าน
หากแม้นจิตใจคนผู้หนึ่งสกปรกโสมม ต่อให้ใช้สบู่ฟอกวันละสิบครั้ง
ยังไม่สะอาดหมดจด”
“มีเหตุผล คนผู้หนึ่งหากมีชีวิตอย่างสุขสำราญ ไม่ละอายต่อมโนธรรม
แม้ต้องอดอาหารมิล้างหน้า ก็หาเป็นไรไม่”
(โก้วเล้ง/น. นพรัตน์ วีรบุรุษสำราญ)
หวนคิดถึงพฤติกรรมของผู้ที่มักอ้างตัวเอง(ไม่ว่าจะบอกมาตรงๆ หรือไม่) เป็นวีรบุรุษเป็นคนดีงามที่มีอยู่เกลื่อนกลาดในสังคมปัจจุบันแล้ว อดไม่ได้ที่ข้าพเจ้าต้องหยิบ “วีรบุรุษสำราญ” ของโก้วเล้งขึ้นมาอ่านซ้ำอีกครั้ง และอดไม่ได้ที่จะต้องเขียนถึงสี่สหายแห่งเคหารุ่มรวยอีกครั้งหนึ่ง
เขียนถึงความคิดและวิถีการดำรงชีวิตของพวกเขา
เขียนถึงภาพอีกด้านหนึ่งของมนุษย์ที่แท้จะหาได้ยากยิ่งในโลกแห่งความเป็นจริง แต่มิใช่จะไม่สามารถค้นหาได้พบพาน
บุคคลเยี่ยงพวกเขาอาจจะยากยิ่งที่จะพบพาน แต่เมื่อพบพานแล้วไยมิใช่สามารถพบเห็นความสำราญ
เข้าใจถึงความสำราญที่แท้ในชีวิต
และยังสามารถทำให้มองเห็นแก่นแท้ที่อยู่เบื้องหลังภาพของผู้คนที่มักอ้างเป็น “วีรบุรุษ” ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยผ่านภาพของพวกเขาเหล่า “วีรบุรุษสำราญ”
หนึ่ง - ก๊วยไต้โล่ว
แรกที่หัวหน้าสำนักคุ้มกันภัย “ล้อเง็กจิ้น” รับรู้พฤติกรรมบางประการของก๊วยไต้โล่ว มันถึงกับคุกเข่าโครมลงขอร้องให้ก๊วยไต่โล่วจากไป มันได้แต่กล่าว
“...บุคคลเยี่ยงก๊วยตั่วเอี้ย(นายแซ่ก๊วย) กาลก่อนเราไม่เคยพบพานมา ภาวนาว่าภายหน้าอย่าได้เผชิญพบอีก”
นี่เนื่องเพราะก๊วยไต้โล่วมีพฤติการณ์ผิดแปลกพิสดารจากผู้คนทั่วไปเยี่ยงไร ที่ผู้คนบางคนไม่เคยพบพานมาก่อน และเมื่อพบไม่อยากจะพานพบอีกในภายภาคหน้า
โดยเฉพาะบุคคลที่มีอาชีพ “ผู้คุ้มกันภัย”
โก้วเล้งบรรจงรังสรรค์มันขึ้นมาให้เป็นบุคคลเยี่ยงไร?
เมื่อแรกที่โก้วเล้งกล่าวถึงก๊วยไต้โล่ว โก้วเล้งบอกต่อผู้คน-
“ก๊วยไต้โล่วเป็นเฉกเช่นกับนาม ความหมาย ‘ไต้โล่ว’ คือทั้งโอ่อ่าผ่าเผย ทั้งกล้อมแกล้มคลุมเครือ มิว่าเรื่องราวใดไม่นำพาปรารมภ์”
เมื่อก๊วยไต้โล่วปรากฏกายขึ้นในวงบู๊ลิ้ม ผู้คนย่อมได้มีโอกาสสัมผัสกับนักบู๊อีกประเภทหนึ่งที่อาจนับได้ว่า ไม่เคยมีในกาลก่อนและย่อมยากยิ่งที่จะเกิดมีอึกในภายหน้า
บุคคลเยี่ยงล้อเง็กจิ้น จะมีใครสักกี่คนที่สามารถได้พบพานก๊วยไต้โล่ว
จะมีใครสักกี่คนที่ได้รู้จักก๊วยไต้โล่วอย่างแท้จริง
นอกจากสหายและคนรักของมัน!
เรื่องราวเบื้องหลังของก๊วยไต้โล่วล้วนเป็นความลับ
เป็นความลับเยี่ยงเดียวกับเรื่องราวเบื้องหลังของสหายของมัน
เป็นความลับที่มันมิยินยอมบ่งบอกต่อผู้ใดเด็ดขาด และสหายของมันก็ย่อมมิยินยอมไต่ถาม ทั้งนี้เนื่องเพราะมันมีความเห็น--
“ความลับคือสิ่งที่ท่านเสพย์รับเพียงลำพัง
มันอาจบันดาลความสุขสันต์หรรษา อาจนำมาซึ่งความเจ็บปวดรวดร้าวแก่ท่าน มิว่ามันคืออะไร ล้วนเป็นของท่านคนเดียว
มันหากเป็นความรวดร้าวขมขื่น ท่านมีแต่แบกรับเพียงลำพัง หากเป็นความสุขหฤหรรษ์ ก็อย่าได้แบ่งปันแก่บุคคลอื่น แม้กระทั่งกับสหาย
เนื่องเพราะหากมีบุคคลที่สองล่วงรู้ความลับของท่าน ก็ไม่อาจนับเป็นความลับแล้ว”
แต่ในที่สุดมันก็ทราบ แท้จริงสหายของมันเป็นคนเยี่ยงไร
แท้จริงเรื่องราวเบื้องหลังของมันมิว่าสุขหฤหรรษ์หรือเจ็บปวดรวดร้าวเพียงไรกลับมิควรเป็นความลับ เนื่องเพราะมันเข้าใจ-- ผู้ที่เป็นสหาย เพราะเพื่อสหายของพวกมัน มิว่าสหายมีปัญหาใด มิว่าสหายเกิดเรื่องเช่นไร หรือมิว่าสหายจะเป็นเยี่ยงไร ย่อมยังคงเป็นสหายมิได้เปลี่ยนแปร
“สหายสามารถแบ่งปันความสุขของท่าน และแบกรับความทุกข์ของท่านได้
ท่านหากมีความยุ่งยากลำบาก สหายล้วนยินยอมช่วยเหลือท่าน หากประสบภยันตราย สหายยินยอมทะยานออกรับแทน
ต่อให้ท่านกระทำผิดจริง สหายก็อภัยให้ได้”
ยามอยู่เบื้องหน้าสหายเยี่ยงนี้ ท่านยังมีความลับใดที่ไม่อาจบ่งบอกออกมา?
ก๊วยไต้โล่วได้แต่บ่งบอกความลับของมันออกมา
แม้ก๊วยไต้โล่วมิอาจนับเป็นมหาเศรษฐีแต่มันสมควรนับเป็นคนร่ำรวยได้ผู้หนึ่ง
มิเพียงมีทรัพย์สินเงินทองมากพอที่จะนับเป็นคนร่ำรวยเท่านั้น บุคลิกของมันยัง “โอ่อ่าผ่าเผย” เป็นที่ต้องตาต้องใจอิสตรีมากหน้าหลายตา เพียงแต่ที่มันชมชอบแลทุ่มเทจิตใจทั้งมวลให้กลับเป็นจูจู(ไข่มุกแดง) ที่นับได้ว่ามีความงดงามรัดรึงใจมันมากที่สุด
ก๊วยไต้โล่วย่อมบ่งบอกต่อจูจู-- ตนยินยอมมอบชีวิตและทุกสรรพสิ่งแก่นาง
จูจูยากจนข้นแค้นยิ่ง ก๊วยไต้โล่วกลับทุ่มเทเงินทองช่วยเหลือเจือจุนนาง จวบ จนกระทั่งบิดาของก๊วยไต้โล่วเสียชีวิต จูจูกลับมิใช่คนยากจนอีกต่อไป
ก๊วยไต้โล่วทุ่มเทจิตใจทั้งมวลให้กับนาง ทุ่มเทเงินทองให้กับนาง เนื่องเพราะมันรักนางยิ่ง แต่จูจูกลับกระทำในสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้แก่มันอย่างยิ่ง
ก่อนถึงวันวิวาห์ นางกลับหนีไปกับบุรุษหนึ่ง
บุรุษที่เป็นคนดูแลคอกม้าของตระกูลมันเอง!
แม้นนางจะสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้กับมันสักเพียงใด แต่ก๊วยไต้โล่วย่อมไม่โทษว่านาง เพียงแต่ตำหนิตนเองที่ดูคนผิดไป
แม้จูจูจะเป็นคนเยี่ยงไร จะกระทำผิดสักเพียงใด ก๊วยไต้โล่วกลับมิได้มีความคับแค้นนางอย่างยิ่งไม่ มันเพียงคับแค้นตนเองตำหนิตนเอง ดังนั้นมันจึงไม่เคยคิดสร้างความเดือดร้อนให้กับจูจูแม้แต่น้อย แม้คำที่จะกล่าวตำหนินางก็ยากยิ่งที่จะออกจากปากของมัน
นี่ย่อมผิดแผกแตกต่างไปจากผู้คนบางประเภทที่เพียงตำหนิความผิดของพลาดของผู้อื่น เพียรกระทำทุกประการเพื่อเป็นการ “แก้แค้น” และทำลายผู้ที่สร้างความคับแค้นให้แก่ตนโดยมิคำนึงถึงเรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้น
มิคำนึงความคับแค้นใจของผู้ใดทั้งสิ้น
ไม่คำนึงถึงมโนธรรม คุณธรรม และคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ของผู้อื่นแม้แต่น้อย
อาจเนื่องเพราะเหตุนี้ ชีวิตของก๊วยไต้โล่วจึงเปลี่ยนแปลง
เปลี่ยนแปลงจากบุคคลที่ร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง กลายเป็นคนยากจนเข็ญใจผู้หนึ่ง
คนทั่วไปมักทราบเพียงแต่ว่า คนผู้หนึ่งหากเปลี่ยนจากคนร่ำรวยเป็นยากจนย่อมเนื่องมาจากสาเหตุสองประการ หนึ่งคือมันโง่เขลาเกินไป และอีกหนึ่งก็คือมันเกียจคร้านเกินไป แต่ก๊วยไต้โล่วทั้งไม่โง่เขลาและไม่เกียจคร้าน
ภายหลังที่ก๊วยไต้โล่วไว้ทุกข์ให้แก่บิดามารดาครบกำหนดแล้ว มันกลับขายไร่นาบ้านช่อง คิดออกเร่ร่อนท่องเที่ยวไปในวงบู๊ลิ้ม
ไร่นาที่สมควรมีราคาไร่ละสามร้อยตำลึง มันเพียงจำหน่ายไปไร่ละหนึ่งร้อยเจ็ดสิบตำลึง เมื่อแบ่งให้กับญาติพี่น้องมิตรสหายที่ข้นแค้นแล้วมันจึงเหลือเงินติดตัวไม่มากนัก
มิหนำซ้ำเงินทองที่มันมีอยู่ มันกลับใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยยิ่ง ไม่นานนักมันจึงกลับเป็นคนยากจนข้นแค้นผู้หนึ่ง
แต่ดูเหมือนมันมิได้มีความทุกข์ร้อนใด ๆ แม้แต่น้อย
หรือสำหรับมันแล้ว ทรัพย์สินเงินทองล้วนไม่มีความสำคัญอันใด?
พฤติการณ์อันเพริศแพร้วพิสดารของก๊วยไต้โล่วย่อมมิมีเพียงแค่นี้
ครั้งหนึ่งมันเคยช่วยเหลือหัวหน้าสำนักคุ้มกันภัยล้อเง็กจิ้นให้รอดพ้นจากการถูกเหล่ามิจฉาชีพปล้นชิงในระหว่างคุ้มกันภัยสินค้ารายหนึ่ง ล้อเง็กจิ้นมิเพียงสำนึกในพระคุณ ทั้งยังเลื่อมใสมันหมดหัวใจ แต่งตั้งมันเป็นรองหัวหน้าสำนักคุ้มกันภัย
แม้นสำนักคุ้มกันภัยของล้อเง็กจิ้นจะมิใหญ่โตนัก แต่สำหรับผู้ยากจนข้นแค้นเยี่ยงก๊วยไต้โล่วย่อมน่าภาคภูมิใจไม่น้อย เพียงแต่เมื่อมันเริ่มคุ้มกันภัยสินค้ารายแรก ล้อเง็กจิ้นได้แต่ขอร้องให้มันจากไป เนื่องเพราะมันกลับนำเงินหลายพันตำลึงที่ได้รับว่าจ้างให้คุ้มกันไปส่งที่เมืองลกเอี๋ยงแจกจ่ายให้กับโจรลักขโมยน้อยไปกว่าครึ่ง
โจรลักเล็กขโมยน้อยกลุ่มนี้กลับอาจหาญปล้นชิงสินค้าที่ก๊วยไต้โล่วคุ้มกันมา
เป็นโจรที่มีใบหน้าเหลืองซีดราวอดอาหารมาสามวัน สวมใส่เสื้อผ้าเก่าขาดปุปะ แม้กระทั่งดาบที่ใช้ยังขึ้นสนิม
ก๊วยไต้โล่วได้แต่เกลี่ยกล่อมพวกมันให้เลิกเป็นโจรพร้อมกับมอบเงินทองให้จำนวนหนึ่ง
น่าเสียดายที่เงินทองนั้นย่อมมิใช่ของมัน
สำหรับโจรลักเล็กขโมยน้อยกลุ่มนั้นอาจยึดถือมันเป็น“วีรบุรุษผู้กล้าหาญ ทั้งยังเป็นองค์พระโพธิสัตว์” แต่สำหรับคนทั่วไปเล่ามันสมควรนับเป็นเยี่ยงไร
เป็นวีรบุรุษผู้กล้า? เป็นพระโพธิสัตว์ผู้ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก? หรือเป็นตัวโง่เขลาบัดซบผู้หนึ่ง
มิเพียงบริวารของล้อเง็กจิ้นที่อยู่ในเหตุการณ์ ล้อเง็กจิ้นเองก็มิอาจให้ข้อสรุปได้ มันได้แต่ยินยอมจ่ายหนีสินที่ก๊วยไต้โล่วสร้างขึ้นแทนและขอร้องให้ก๊วยไต้โล่วจากไป
ก๊วยไต้โล่วย่อมยากจนยิ่ง
มิว่าเยี่ยงไรมันก็ต้องมีรับประทาน ดังนั้นมันจึงยินยอมกระทำทุกประการเพื่อให้สามารถมีเงินทองซื้ออาหารเลี้ยงท้องตนเอง มันเคยรับจ้างเป็นพ่อครัวแต่ก็เป็นได้เพียงสามวัน คิดหาเงินทองโดยการแสดงวิชาการต่อสู้แต่ผู้คนกลับคิดเป็นคนบ้าคลั่งรับประทานยาผิดคนหนึ่ง มันได้แต่ตัดสินใจเป็นโจร
เป็นโจรธรรมะ
เป็นโจรที่ปล้นชิงคนร่ำรวยที่ขาดเมตตาธรรม ปล้นชิงขุนนางฉ้อฉล
เนื่องเพราะมันเห็นว่า “ท่านหากช่วงชิงเงินทองของคนประเภทนี้ ผู้อื่นมิเพียงไม่ตำหนิท่าน ทั้งยังแซ่ซ้องสรรเสริญ”
ก๊วยไต้โล่วได้แต่ประพฤติตนเป็นโจร
เป้าหมายแรกของมันกลับเป็นตึกรามเชิงเขาหลังหนึ่งที่ดูโอ่อ่าโอฬาร ตระหง่านภูมิฐานยิ่ง
แต่เมื่อก๊วยไต้โล่วเข้าไปในคฤหาสน์หลังนั้น มันกลับมิได้พบพานทรัพย์สินใดๆ นอกจากเตียงเก่าๆ หลังหนึ่งที่นอนทอดกายด้วยบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง
บุรุษหนุ่มที่เพียงเมื่อเห็นก๊วยไต้โล่วพกพากระบี่ก็ใช้ให้มันไปจำนำกระบี่ซื้อหาอาหารมาให้มัน
บุรุษหนุ่มที่บอกต่อมัน- “สถานที่นี้เรียกกว่าปู่กุ่ยซัว(เคหารุ่มรวย)”
ในที่สุด ก๊วยไต้โล่วกลับพบว่าเคหารุ่มรวยนี้กลับน่าสนใจยิ่ง อยู่ยิ่ง
เนื่องเพราะมันกลับพบความจริงประการหนึ่งว่า แม้เคหารุ่มรวยและผู้ที่มันพบพานในเคหารุ่มรวยมิได้รุ่มรวยทรัพย์สินเงินทองดั่งชื่อ มิหนำซ้ำยังยากจนข้นแค้นเยี่ยงมันหรือยิ่งกว่ามัน แต่ในความยากจนข้นแค้นของประดาพวกเหล่านี้กลับมีสิ่งหนึ่งที่ร่ำรวยอย่างยิ่ง
เป็นความร่ำรวยที่แม้จะแจกจ่ายให้แก่ผู้คนไปสักกี่มากน้อยแค่ไหนก็มิสามารถทำให้ยากจนข้นแค้นลงไปแม้แต่น้อย
นี่ย่อมมิใช่รุ่มรวยทรัพย์สินเงินทอง
มิใช่รุ่มรวยที่ดินป่าสงวน เรือกสวนไร่นา กิจการค้า โรงงานอุตสาหกรรม หรือมีหุ้นส่วนในกิจการต่าง ๆ เป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นล้าน
มิใช่รุ่มรวยอำนาจหรือชื่อเสียงเกียรติยศใดๆ!
แต่เป็นรุ่มรวยสิ่งที่พวกมันต้องการอย่างยิ่ง
รุ่มรวย “คุณธรรมน้ำมิตร”!
สอง - นางแอ่นเจ็ดอี้ฉิก
เท้าของคนผู้นี้อาจไม่ผิดแผกจากคนผู้อื่น แต่รองเท้ากลับผิดแผกจนดูพิสดารกว่าของผู้คนทั่วไปยิ่ง รองเท้ามันแม้มีลวดลายกลับไม่มีส้นเท้า
อาภรณ์ที่มันสวมใส่แม้จะดูหรูหรายิ่ง แต่ตอนนี้นับว่าขาดกะรุ่งกะริ่ง คงมีแต่หมวกเท่านั้นที่อาจนับเป็นหมวดที่สวยงามใบหนึ่ง
ใบหน้าของมันงดงามคมคายราวกับใบหน้าอิสตรี ดวงตากลมโต ปากรูปกระจับที่พอมันแย้มยิ้มกลับปรากฏลักยิ้มขึ้นทั้งสองข้างแก้ม แต่ตอนไม่ยิ้มกลับเย็นชากระด้างจนผู้คนมิกล้าสนิทชิดใกล้
คนผู้นี้นามของมันกลับคล้ายนามอิสตรี
นามของมัน-- อี้ฉิก
อี้ฉิกที่อาจแปลว่านางแอ่นเจ็ด
ที่เรียกเป็นนางแอ่นเจ็ด มันบอก “เนื่องเพราะข้าพเจ้าผ่านการตายมาเจ็ดครั้งแล้ว”
มันเมื่อมาถึงเคหารุ่มรวยแล้วก็เป็นเฉกเดียวกับก๊วยไต้โล่ว เมื่อมาแล้วก็มิอาจตัดใจไป
ใช่เนื่องเพราะเคหารุ่มรวย รุ่มรวยสมชื่อ ผู้ที่มาแล้วจึงมิอาจตัดใจจากไป?
ย่อมมิใช่ ! แต่นี่ย่อมสืบเนื่องมาจากผู้คน-- ผู้คนบางประเภทที่
“...คล้ายมีแรงดูดใจกันและอันลี่ลับพิสดารประการหนึ่ง เฉกเช่นแม่เหล็กกับเศษเหล็ก พอเผชิญพบหันจะดึงดูดอีกฝ่ายหนึ่งไว้อย่างแนบแน่น
“ผู้คนบางคนขอเพียงได้อยู่ร่วมกันก็เบิกบานหรรษา แม้ต้องหลับไหลกับพื้น อดอาหารสักมื้อสักสองมื้อก็หาเป็นไรไม่
บุรุษชุดดำ
คนผู้นี้มิเพียงสวมเสื้อกางเกงสีดำ ถุงมือรองเท้าดำ ใบหน้าก็คลุมด้วยผ้าดำผืนหนึ่ง เผยให้เห็นแต่ดวงตาอันดำขลับเป็นประกายคู่หนึ่ง กลางหลังสะพายกระบี่ยาวเกือบห้าเชียะฝักสีดำเล่มหนึ่ง ผู้พบเห็นมันล้วนเข้าใจ-- มันคือ “วิญญาณใต้กระบี่น่ำเก็งชิ้ว”
เป็นน่ำเก็งชิ้วที่วงบู๊ลิ้มล้วนร่ำลือเป็นจอมโฉดชั่ว
ในสายตาของชนชาวบู๊ลิ้ม--พฤติกรรมของน่ำเก็งชิ้วนับว่าชั่วร้ายยิ่ง
ก๊วยไต้โล่วก็รับรู้เป็นเยี่ยงเดียวกับผู้คนทั่วไป มันอาจเข้าใจ:`--
“ข้าพเจ้ากำลังครุ่นคิดว่า มันเมื่อมิใช่น่ำเก็งชิ้ว ไฉนยินยอมแบกหม้อดำแทนน่ำเก็งชิ้วตัวจริง”
แต่ความเข้าใจและคำร่ำลือของผู้คนไยจะต้องเป็นความเป็นจริง
ไยผู้คนไม่คาดคิดในอีกด้านหนึ่งเล่า
“ท่านไยไม่คาดคิดว่า เป็นมันแอบอ้างนามน่ำเก็งชิ้ว มิทราบฆ่าคนมากมายปานใด กระทำเรื่องชั่วช้ามากมายเพียงไหนน่ำเก็งชิ้วตัวจริงอาจไม่ล่วงรู้แม้แต่น้อย หากบอกว่ามันแบกหม้อดำแทนน่ำเก็งชิ้ว ไยไม่บอกว่าน่ำเก็งชิ้วแบกหม้อดำแทนมัน”
นับเป็นบุคคลอันน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง!
บุรุษชุดดำที่เหยียบย่างเข้าสู่เคหารุ่มรวยจึงต้องตาย
แม้ก๊วยไต้โล่วจะต้องต่อสู้ชิงชัยกับบุรุษชุดดำที่มันเชื่อว่าเป็น “น่ำเก็งชิ้ว” มันก็ไม่เคยมีความคิดที่จะสังหารบุรุษชุดดำแม้แต่น้อย แต่บุรุษชุดดำก็ต้องตาย-- ตายเพราะกระบี่ที่แทงมาจากนอกกำแพง
ตายด้วยกระบี่ที่มีข้อความผูกติดไว้ “ผู้แอบอ้างต้องตาย”
ที่แท้มันตายด้วยกระบี่ของอี้ฉิก
เนื่องเพราะบุรุษชุดดำแอบอ้างชื่อน่ำเก็งชิ้วกระทำพฤติการณ์ที่ชั่วร้ายยิ่ง อี้ฉิกจึงได้แต่สังหารมัน
เนื่องเพราะน่ำเก็งชิ้วตัวจริงที่เป็นบิดาของอี้ฉิกกลับชราภาพมากแล้ว มิหนำยังเจ็บป่วยเรื้อรัง นอนทดกายอยู่บนเตียงมิอาจเคลื่อนไหวได้มาหลายปีแล้ว เพื่อพิทักษ์เกียรติภูมิของผู้ให้กำเนิด อี้ฉิกจึงได้แต่ปลิดชีวิตบุรุษชุดดำนั้น
ที่แท้อี้ฉิกมิต้องการให้ผู้ใดรู้ถึงชาติกำเนิดของตนเอง ได้แต่ปลอมตนเป็นบุรุษเพศออกท่องเที่ยวในวงยุทธจักร
เมื่ออี้ฉิกเดินทางไปถึงเคหารุ่มรวยและพำนักอยู่ที่นั้นกับเหล่าสหาย นางจึงได้แต่ออกจากเคหารุ่มรวยเป็นครั้งคราวเพื่อกลับมาปรนนิบัติบิดา
และเมื่อก๊วยไต้โล่วมีความรู้สึกชมชอบนางและคิดจะสืบเสาะความลับของนาง อี้ฉิกจึงผละจากไป
“ที่แท้อี้ฉิกละอายในชาติกำเนิดของตัวเอง กริ่งเกรงก๊วยไต้โล่วพอล่วงรู้ชาติตระกูลของนาง จะผันแปรความรู้สึกที่มีต่อนาง”
ดังนั้นนางติดรอถึงยามใกล้ตาย จึงยินยอมบอกออกมา”
แต่สำหรับก๊วยไต้โล่ว-- มันแม้ทราบ อี้ฉิกเป็นบุตรีน่ำเก็งชิ้ว มันก็มิยินยอมเปลี่ยนแปรความรักที่มีต่อนางแม้แต่น้อย
มันกล่าวยืนยันต่อน่ำเก็งชิ้ว
“เนื่องเพราะในใต้หล้า มิมีสิ่งใดผันแปรความรักที่ข้าพเจ้ามีต่อนาง แม้แต่ข้าพเจ้าเองก็ตาม”
สำหรับบุคคลเยี่ยงก๊วยไต้โล่ว-ชาติกำเนิดของผู้คนย่อมมิอาจเปลี่ยนแปรความ รักของมันได้
ย่อมมิใช่เหตุผลที่จะนำมาตัดสินว่าสมควรคบหาผู้ใดเป็นสหายหรือไม่ และยิ่งมิอาจนำมาเป็นเหตุผลเพื่อตัดสินตนสมควรจะมีความรักต่อคนผู้หนึ่งหรือไม่
ทั้งมันย่อมมิอาจตัดสินพฤติกรรมของผู้คนเพียงเพราะคำร่ำลือเท่านั้น
ก๊วยไต้โล่วจึงเข้าใจ “คำร่ำลือในวงนักเลงจึงน่าสะพรึงกลัว” ยิ่งกว่าผู้ที่ถูกร่ำลือเสียอีก
เยี่ยงนี้--บุคคลเยี่ยงอี้ฉิกและก๊วยไต้โล่วจึงเต็มไปด้วยความสุขสำราญสืบไป
ในชีวิตของพวกมันจึงมีแต่ความสำราญ
น่าเสียดายที่บุคคลทั่วไปมักเชื่อในคำร่ำลือมากกว่าจะคิดพิสูจน์ความเป็นจริง
มักเชื่อคำร่ำลือที่สอดคล้องกับความคิดความเห็นของตนมากกว่าที่จะเชื่อถือหรือรับฟังความเป็นจริงอีกด้านหนึ่ง
คำร่ำลือว่าคนผู้หนึ่งดีงาม คำร่ำลือว่าคนผู้หนึ่งชั่วร้าย จึงมิเคยผ่านการพิสูจน์ว่าดีงามจริงหรือไม่ ชั่วร้ายจริงหรือไม่
เยี่ยงนี้- ผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงสามารถประสบความสำเร็จและเป็นคนดีงามในสายตาผู้คนทั่วไปได้ เพราะสามารถสร้างภาพที่ดีงามของตนให้ผู้คนร่ำลือได้
น่าเสียดายที่คนประเภทหนึ่งกลับสามารถสร้างความนิยมชมชอบจากผู้คนทั่วไปได้เพียงเพราะมีความสามารถสร้างกระแสร่ำลือความดีงามของตนให้แผ่กระจายไปควบคู่กับการร่ำลือคำ “จอมโฉดชั่วแห่งแผ่นดิน” ให้กับผู้ที่เป็นศัตรูของตนได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งๆ ที่ใดความเป็นจริงแล้วต่างก็เป็นบุคคลประเภทเดียวกัน!
สาม- ลิ้มไท้เพ้ง
ในเดือนหนึ่ง อี้ฉิกจะออกจากเคหารุ่มรวยไปเพียงลำพังสองหรือสามครั้ง โดยมิว่าผู้ใดก็มิทราบว่ามันไปที่ใด และกระทำเรื่องราวใดมา รู้เพียงว่าเมื่อมันกลับมาย่อมนำสิ่งประหลาดพิสดารมาด้วยทุกครั้ง
บางที่เป็นถึงเท้าคู่หนึ่ง
เป็นเป็ดย่างไฟแดง
เป็นแมวตัวหนึ่ง สุนัขตัวหนึ่ง นกคีรีบูนตัวหนึ่ง ฯลฯ
ที่พิสดารยิ่งกว่า เมื่อมันกลับมาในต้นฤดูหนาว มันกลับโอบอุ้มบุรุษหนุ่มแบบบางคล้ายอิสตรีคนหนึ่งกลับมา
ลิ้มไท้เพ้ง- นามของบุรุษหนุ่มผู้นั้นคือไท้เพ้ง ไท้เพ้งที่แปลว่าสันติภาพ
ลิ้มไท้เพ้งก็มีความลับ
ที่แท้ลิ้มไท้เพ้งเป็นบุตรชายอ้วยฮูหยินกับพญามังกรแดนดิน
นับตั้งแต่เติบใหญ่มันเพียงพบหน้ามารดา สำหรับบิดาของมันได้พรากจากพวกมันไปตั้งแต่มันอายุเพียงหกขวบ
ลิ้มไท้เพ้งความจริงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่มีความสุขสบายยิ่ง และบางครั้งกลับดูเหมือนว่าจะสุขสบายเกินไป มันคล้ายกับไม่ต้องการความสุขสบายเยี่ยงนั้น
อ้วยฮูหยินนับเป็นมารดาที่มีความปรารถนาดีต่อบุตรยิ่งผู้หนึ่ง แต่บางครั้งก็คล้ายกับนางปรารถนาดีต่อบุตรจนเกินไป จนกระทั่งทำให้ลิ้มไท้เพ้งคล้ายกับไม่เป็นตัวของตัวเอง คล้ายกับมิใช่บุรุษ และยิ่งมิใช่บุรุษผู้โลกแล่นในวงบู๊ลิ้ม
สิ่งที่มารดามอบให้แก่มันคล้ายกับมิอาจให้ความสุขแก่มันแม้แต่น้อย
ท่ามกลางความสะดวกสบายในบ้านหลังใหญ่ที่มารดามอบให้แก่มันกลับทำให้ชีวิตของมันว้าเหว่เดียวดายยิ่ง
เงียบเหงายิ่ง!
เมื่ออ้วยฮูหยินหมั้นหมายอิสตรีนางหนึ่งให้แก่มัน มันจึงได้แต่หนีออกจากบ้าน
หลีกเลี่ยงการแต่งงานกับอิสตรีที่มารดาจัดการหมั้นหมายให้กับมันโดยที่มันมิได้มีส่วนรู้เห็นแม้แต่น้อย
ที่มันหลีกเลี่ยงเนื่องเพราะอิสตรีนางนั้นไม่งดงาม?
ที่มันหลบเลี่ยงเนื่องเพราะมันไม่ชมชอบอิสตรีนางนั้น?
แท้ที่จริงอิสตรีที่มารดาหมั้นหมายให้กับลิ้มไท้เพ้งนับว่าสะคราญยิ่ง
มีวิชาฝีมือสูงส่งยิ่ง
นามของนางเง็กเหล็งล้ง!
เนื่องเพราะเหตุเยี่ยงนี้ลิ้มไท้เพ้งจึงได้แต่หลีกหนีจากมา เนื่องเพราะมันสำนึกว่าตนเองมิอาจมีที่ใดที่สามารถเทียบกับนางได้จึงหนีจากมา มันได้แต่อธิบายต่อนาง
“เป็นเราไม่คู่ควรกับท่านต่างหาก และผู้ที่เสื่อมเสียหน้าก็คือเรา หาใช่ท่านไม่”
อิสตรีที่บุรุษเพศต้องการย่อมมิใช่อิสตรีเยี่ยงเง็กเหล็งล้ง ความงามย่อมมิใช่เป็นสิ่งที่บุรุษเพศชมชอบเสมอไป
“งามสะคราญจะมีประโยชน์ใด ตอนที่บุรุษเลือกสตรี หาใช่เพียงเพ่งพิศใบหน้านางเท่านั้น”
“ต้องดูว่านางอ่อนโยนนุ่มนวล รู้จักเอาอกเอาใจสามีหรือไม่ มิเช่นนั้นต่อให้นางงามสะคราญปานเทพธิดาหยาดฟ้า ก็ไม่เป็นที่ชมชอบของผู้อื่น”
ให้มันแต่งงานกับอิสตรีที่เข้มแข็งกว่ามันทุกประการ ไยมิใช่สร้างความลำบากใจให้กับลิ้มไท้เพ้งอย่างยิ่ง ลิ้มไท้เพ้งจึงได้แต่หนีจากมา
มันต้องหนีจากอ้อมอกของมารดาเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับตนเอง เพื่อให้ตนเองแปรเปลี่ยนเป็นบุรุษเพศอย่างแท้จริง แปรเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เนื่องเพราะมันมีความเห็น
บุรุษผู้หนึ่งพอเติบใหญ่ สามารถท่องเที่ยวที่เบื้องนอกเพียงลำพัง เพาะพูนประสบการณ์แก่ตนเอง นับว่ามีคุณค่าต่ออนาคตมันอย่างยิ่ง
ทรัพย์สมบัติทั้งมวลจึงมิใช่เป็นสิ่งที่ลิ้มไท้เพ้งปรารถนาจะได้มาครอบครอง และย่อมมิใช่เป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดในชีวิต แต่สิ่งที่มันต้องการมิว่าผู้ใดก็มิอาจให้แก่มันได้ นอกจากตัวของมันเอง สิ่งที่ลิ้มไท้เพ้งต้องการคือ อิสรเสรี ความรักและความสุขสราญ อันทรัพย์สินเงินทองที่มิว่าบิดาหรือมารดาของมันมีอยู่ก็ย่อมมิอาจแลกเปลี่ยนมาได้แม้แต่น้อย สิ่งที่สามารถแลกเปลี่ยนได้มีแต่ความเชื่อมั่นและความจริงใจของมันเท่านั้น
ท่านหากต้องการอิสรเสรี ความรักและสุขสำราญ มีแต่ใช้ความเชื่อมั่น การตกลงใจและความจริงใจเข้าแลกมา
เยี่ยงนี้--มีแต่เคหารุ่มรวยและสหายของมันและตัวของมันเองเท่านั้นที่สามารถทำให้ชีวิตของมันสุขสำราญได้!
นี่คือชีวิตและความปรารถนาของลิ้มไท้เพ้งที่อ้วยฮูหยินและพญามังกรแดนดินมิเคยเข้าใจมัน
สี่ - เฮ้งต๋งหรือเฮ้งปุกต๋ง
มีแต่คนตายที่ไม่เคลื่อนไหว มันแม้มิใช่คนตายแต่กลับไม่ได้เคลื่อนไหวกว่าคนตายมากนัก แม้ว่ามันจะมีชื่อเฮ้งต๋งที่แปลว่าเฮ้งเคลื่อนไหวก็ตาม
ในสายตาของผู้คนที่พบเห็นมัน มันสมควรเรียกเป็นเฮ้งปุกต๋ง--เฮ้งไม่เคลื่อนไหวจึงถูกต้อง
ที่แท้มันสมควรเรียกเป็นเฮ้งต๋งหรือเฮ้งปุกต๋ง?
หากเฮ้งต๋งมิคิดเคลื่อนไหว ต่อให้ทองคำแท่งจำนวนสักเท่าใดหล่นจากฟ้าต่อหน้ามัน มิว่าผู้ใดต้องหยิบฉวยมันกลับไม่เคลื่อนไหวไม่หยิบฉวย ต่อให้โฉมสะคราญอันดับหนึ่งของแผ่นดินมาเปลื้องอาภรณ์แอบอิงในอ้อมอกมัน มันยังคงไม่เคลื่อนไหว
มันไม่เคลื่อนไหวก็แล้วกันไป แต่คราใดที่มันเคลื่อนไหว ถึงกับแตกตื่นสะท้านโลก
คราใดที่มันยินยอมเคลื่อนไหว?
เฮ้งต๋งอาจเคลื่อนไหวตีลังกาถึงสามร้อยแปดสิบสองทอดโดยมิหยุดยั้งเพียงเพื่อให้ทารกชายที่เพิ่มสูญเสียมารดาได้หัวร่อออกมาคราหนึ่ง
เฮ้งต๋งเคยเคลื่อนไหวเดินทางหนึ่งพันสี่ร้อยห้าสิบลี้ในเวลาสองวันสองคืนเพียงเพื่อได้พบหน้าสหายผู้หนึ่งเป็นครั้งสุดท้าย
เฮ้งต๋งเคยตะลุยค่ายโจรสี่แห่งภายในเวลาสามวันสามคืน ประมือกับผู้คนสองร้อยเจ็ดสิบสี่คน สังหารศัตรูหนึ่งร้อยสามคน เพียงเพราะแก๊งโจรเหล่านั้นปล้นฆ่าชาวนาสมถะฉุดค่าดรุณีไปสามนาง โดยที่มันมิเคยรู้จักชาวนาและดรุณีเหล่านั้นแม้แต่น้อย
แต่ในยามที่ผู้คนถ่มน้ำลายรดใบหน้ามัน ข่มเหงรังแกมัน
หยิบยื่นทรัพย์สินเงินทองแก่มัน
เฮ้งต๋งกลับกลายเป็นเฮ้งปุกต๋ง-- ปุกต๋งที่แปลว่าไม่เคลื่อนไหว
ผู้คนทั่วไปย่อมเห็นมันเป็นคนแปลกประหลาดยิ่ง
ในสายตาของบุคคลทั่วไป เฮ้งต๋งนับว่ามีพฤติกรรมที่สุดจะทนทานอย่างยิ่ง
ภายในเคหารุ่มรวยของเฮ้งต๋งมิมีทรัพย์สินใดๆ นอกเหนือจากเตียงใบหนึ่ง
เตียงใบหนึ่งที่มิได้เป็นเพียงที่หลับนอนของมันเท่านั้น แต่ยังเป็นทั้งห้องรับแขก เป็นสวนดอกไม้และเป็นโต๊ะอาหารของมัน เตียงของเฮ้งต๋งจึง “มัน” กว่าเขียงในครัวเสียอีก ทั้งอาจยังมีเศษอาหารหลงเหลืออยู่บนเตียงคล้ายเศษเนื้อติดเขียงอยู่ไม่น้อยเสมอ
กระนั้นเฮ้งต๋งกลับมิเคยคิดลงจากเตียง และมิเคยคิดปัดกวาดเตียงนอนของมันให้ดูสะอาดขึ้นแม้แต่น้อย
ท่านว่าเฮ้งต๋งนับเป็นคนแปลกประหลาดหรือไม่?
ในสายตาของก๊วยไต้โล่ว อี้ฉิก และลิ้มไท้เพ้ง มันแม้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง แต่ก็กลับน่าคนหาอย่างยิ่งเช่นกัน เยี่ยงนี้เพียงก๊วยไต้โล่วและพวกเดินทางเข้ามายังเคหารุ่มรวยของเฮ้งต๋ง พวกมันกลับมิมีผู้ใดคิดจากไปแม้แต่คนเดียว
ก๊วยไต้โล่วและพวกกลับยึดถือเฮ้งต๋งเป็นสหาย!
ไยก๊วยไต้โล่วและพวกมิใช่คนแปลกประหลาดเยี่ยงเดียวกัน?
ผู้คนจำพวกหนึ่งที่ยามมีผู้หยิบยื่นทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาลให้กลับไม่เคลื่อนไหว แต่ในยามที่พบเห็นผู้คนเดือดร้อนกลับทะยานเข้าช่วยเหลือ ท่านว่าใช่เป็นคนแปลกประหลาดหรือไม่?
ก๊วยไต้โล่วมีความลับ อี้ฉิกกับลิ้มไท้เพ้งก็มีความลับ
ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนมีความลับ
เฮ้งต๋งย่อมนับเป็นคนผู้หนึ่ง
เฮ้งต๋งย่อมเป็นผู้ที่มีความลับด้วยผู้หนึ่ง
เพียงแต่ในระหว่างสหาย ความลับใดที่สหายมิได้บ่งบอกออกไป พวกมันล้วนไม่ซักถาม พวกมันเพียงยึดถือ หากมันยินยอมนับผู้ใดเป็นสหายมันย่อมเชื่อในสหาย
มิว่าสหายจะเป็นเยี่ยงไรมันย่อมยังคงเป็นสหาย
ทั้งนี้เนื่องจากพวกมันเพียงเชื่อถือ แม้สหายจักมีความลับใด มีความเป็นมาหรือพื้นเพเบื้องหลังเป็นอย่างไร มันยังคงเชื่อว่าสหายของมันย่อมไม่มีพฤติกรรมใดที่นับเป็นเรื่องละอายต่อมโนธรรมของตนเอง
พวกมันเมื่อยอมรับกันและกันเป็นสหาย พวกมันย่อมมีความเชื่อมั่นในระหว่างกัน เชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์ของกันและกัน
ในความคิดของพวกมัน
ข้าพเจ้าไยต้องขุดคุ้ยความลับของบุคคลอื่น? ความลับบางประการสุดที่ท่านจะขุดค้นทราบได้ แต่เมื่อถึงเวลา ท่านแม้ไม่ขุดคุ้ยก็ทราบเอง
เยี่ยงนี้-- เมื่อเป็นความลับของสหาย พวกมันจึงได้แต่ยินยอมรับรู้เมื่อสหายของมันยินยอมบ่งบอกออกมาเท่านั้น
ในที่สุด เฮ้งต๋งก็ยินยอมบอกเรื่องราวความหลังของตนออกมา
ยินยอมบ่งบอกความลับของตนออกมา
“เนื่องเพราะเราคือพญาอินทรีเหินฟ้า”
พญาอินทรีเหินฟ้าที่เป็นหนึ่งในห้ากลุ่มคนที่ไม่นับว่ามีพฤติกรรมไม่ดีไม่งามกลุ่มหนึ่ง
เจ่กปวยชงเทียนป่าเอ็งอ้วง-- พญาอินทรีเหินฟ้า
กิ่วโค้วกิ่วลั้งอั้งเนี้ยจื้อ-- นางพญาแดงสลายทุกข์
โชยชิ่วโชยงั่วโง้วกังซิ้ง-- จ้าตะขาบพันกรพันตา
เจ่กเกี่ยงซังจงซุยเมี่ยฮู้-- ยันต์คร่าวิญญาณ พบพานชีวันดับสูญ
บ้อคงปุกยิกเชียะเลี่ยงจั้ง-- อสรพิษด้ายแดงแทรกซึมทุกแห่งหน
“เฮ้งต๋งหาใช่ไม่ชมชอบเคลื่อนไหวมาแต่กำเนิด
เมื่ออายุยังเยาว์ เฮ้งต๋งมิเพียงชมชอบเคลื่อนไหว ทั้งยังเคลื่อนไหวอย่างเหลือร้ายนัก”
เมื่อมันมีอายุมากขึ้น ย่อมชมชอบเคลื่อนไหวมากยิ่งขึ้น จากที่เคยออกจากบ้านเที่ยวท่องไปทั้งวันและกลับบ้านในภายในวันเดียว มันกลับกลายเป็นสองสามวันกลับบ้านครั้งหนึ่ง และในที่สุดเมื่อมันเป็นหนุ่มอายุสิบเจ็ดปี มันจึงตัดสินใจออกจากบ้านท่องเที่ยวไปในโลกกว้างคิดเป็นจอมยุทธ์
และนั่นย่อมหมายถึงมันได้พบกับนางพญาแดงสลายทุกข์ที่เข้ามาสอดแทรกในความรู้สึกว้าเหว่เดียวดายของคนจากบ้านผู้หนึ่งของมัน
นับเป็นการเริ่มชีวิตที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานอย่างยิ่งของคนผู้หนึ่ง
มันเพียงทราบว่า
“ลูกผู้ชายชาตรีพอกำเนิดขึ้น สมควรทดลองกระทำทุกเรื่องราว”
“คนผู้หนึ่งยามมีชีวิตต้องมีเงินทอง และมีชื่อเสียง เนื่องเพราะคนมีชีวิตอยู่เพื่อเสพย์สุข”
เพื่อให้ตนสามารถมีชื่อเสียง มีทรัพย์สินเงินทอง เฮ้งต๋งกลับไม่คำนึงถึงการกระทำทุกเรื่องราว
เพียงอายุไม่ถึงยี่สิบปี เฮ้งต๋งก็กลับกลายเป็นพญาอินทรีเหินฟ้าอันเลื่องชื่อ สวมใส่อาภรณ์หรูหราทรงค่า ดื่มสุราชั่งละสามตำลึง
เฮ้งต๋งกระทำเรื่องเหลวแหลกมากหลาย แต่กลับกลายเป็นมีชื่อเสียงอย่างคาดไม่ถึง
คนผู้หนึ่งคิดกระทำแต่เรื่องเหลวแหลกมากหลาย กลับกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงอย่างคาดไม่ถึง-- ไฉนสามารถเป็นได้เยี่ยงนี้
หรือชื่อเสียงของคนผู้หนึ่งกลับสามารถเสาะแสวงหามาได้โดยมิคำนึงถึงความผิดชอบชั่วดีใดๆ ทั้งสิ้น
หรือคนจำพวกหนึ่งเพียงสามารถสร้างภาพพจน์ตนเองเป็นผู้กล้า เป็นวีรบุรุษ หรือเป็นจอมยุทธ์ แม้พฤติกรรมจักเหลวแหลกประการใด จะกระทำในสิ่งชั่วร้ายไม่ดีงามหรือผิดต่อมโนธรรมของตนเองสักแค่ไหน ผู้คนจำพวกนี้ยังคงมีชื่อเสียงลือเลื่อง เป็นที่ยกย่องนับหน้าถือตาของผู้คนในสังคม
แม้กระทั่งสามารถเป็นคนดีของสังคม เป็นบุคคลตัวอย่างในสังคม!
เฮ้งต๋งในขณะนั้นความจริงย่อมสามารถเสพย์สุขได้อย่างเต็มที่ มันสมควรพอใจจึงถูกต้อง แต่ไฉนมันกลับเจ็บปวดรวดร้าวใจ กลัดกลุ้มรำคาญมากขึ้นตามลำดับ
นี่เนื่องเพราะมันมักไต่ถามตนเอง
“...เรื่องที่เรากระทำมา ถูกต้องสมควรหรือไม่?”
“...สหายที่เราคบหา เป็นมิตรแท้หรือไม่”
“...คนผู้หนึ่งนอกจากแสวงหาความสุขส่วนเอง มิทราบสมควรคำนึงถึงเรื่องอื่นหรือไม่
เฮ้งต๋งพลันคิดเป็นบุคคลอันเที่ยงธรรม เป็นบุคคลอันเที่ยงธรรมที่ยามหลับนอนก็สามารถนอนตาหลับ มิต้องคอยหวาดหวั่นผวา
ในที่สุดเฮ้งต๋งจึงหลบหนีจากมา
หลบหนีจากพวกมาซ่อนตัวอยู่ในเคหารุ่มรวย
รับประทาน และหลับนอนอยู่บนเตียงใบเดียวโดยยากนักที่มันจะเคลื่อนไหว
กลายกลับเป็นเฮ้งปุกต๋ง-- ปุกต๋งที่แปลว่าไม่เคลื่อนไหว
คนผู้หนึ่งยินยอมละทิ้งวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขสบาย มีชีวิตอยู่ในท่ามกลางทรัพย์สินเงินทองมหาศาล มีผู้ใดบ้างสามารถกระทำเยี่ยงนี้ได้บ้าง?
เห็นมีแต่มุ่งแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง มุ่งแสวงหาอำนาจความยิ่งใหญ่อย่างไม่รู้จักสิ้นสุด โดยมิไยดีต่อคุณธรรมความดีงามใดๆ ทั้งสิ้น
เฮ้งต๋งแม้อาจเป็นเฮ้งปุกต๋ง- เฮ้งไม่เคลื่อนไหว และบางครั้งกลับเป็นเฮ้งต๋ง- เฮ้งเคลื่อนไหว แต่ในใจของมันไยมิใช่ยิ่งมายิ่งเคลื่อนไหวไปสู่ความไม่เคลื่อนไหว ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจ ขื่อเสียง เหล่านี้ไยมิใช่เป็นสิ่งที่เฮ้งต๋งไม่ยินดีแสวงหา
มิเพียงแต่เฮ้งต๋งไม่ยินยอมแสวงหา ก๊วยไต้โล่ว อี้ฉิก และลิ้มไท้เพ้ง ไยมิใช่ประพฤติตนเป็นผู้ไม่ไยดีทรัพย์สินเงินทอง อำนาจ ชื่อเสียงเยี่ยงเดียวกับเฮ้งต๋งด้วย
เยี่ยงนี้-- ชีวิตของพวกเขาจึงสำราญ
ระหว่างพวกเขาจึงมีแต่คุณธรรมน้ำมิตรเป็นสิ่งหล่อหลอมให้ผูกพันกันและกัน
มุ่งหวังรังสรรค์สิ่งที่ดีงามเพื่อกันและกัน
พวกมันเพียงมีความคิดประการเดียว
ยามมีชีวิตพวกเราก็อยู่ร่วมกันอย่างสุขสำราญ หากแม้ต้องตาย พวกเราก็ขอตายร่วมกัน
นี่ย่อมต่างจากผู้คนอีกประเภทหนึ่งที่มั่วสุมรวมกันเพราะผลประโยชน์
เสแสร้งเป็นมีคุณธรรมน้ำมิตรเพียงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของกันและกัน !
ในหมู่พวกท่าน ขอเพียงมีความจริงใจต่อกันและกันครึ่งหนึ่ง
วันนี้ต้องยังมีชีวิตอยู่อย่างสุขสำราญ”
ธรรมะย่อมชนะอธรรม
คุณธรรมต้องชนะทรราช!
พลานุภาพที่ผนึกรวมรั้งคุณธรรมสหาย ต้องเข้มแข็งกว่าอำนาจทมิฬ
ที่มั่วสุมรวมกันเพราะผลประโยชน์
ความยุติธรรมและน้ำมิตรจักดำรงคงอยู่คู่ฟ้าดินตลอดกาล”
ห้า- ความรัก ความแค้น ความจริงใจ
ระหว่างผู้คนไยมิใช่ล้วนมีความสัมพันธ์ระหว่างกันในรูปลักษณ์ใดรูปลักษณ์หนึ่ง บางครั้งพวกมันอาจมีความรักความผูกพันระหว่างกันและกัน บางครั้งไยมิใช่มีความแค้นระหว่างกัน และบางครั้งสิ่งที่ผู้คนแสดงออกกลับดูคล้ายและมิคล้ายความจริงใจประการหนึ่ง
มีมิน้อยดูคล้ายกับเป็นความจริงใจและกลับกลายเป็นเพียงการเสแสร้ง
และมีไม่น้อยที่ดูคล้ายเป็นการเสแสร้งแต่กลับกลายเป็นเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ
บางครั้งดูคล้ายมีความรักซึ่งกันและกัน แต่ในใจของพวกมันกลับเต็มไปด้วยความคับแค้นอาฆาตพยาบาทยิ่ง
และบางครั้งดูคล้ายกับเต็มไปด้วยความคับแค้นอาฆาตพยาบาท แต่กลับเปี่ยมไปด้วยความรักที่ระอุคุกรุ่นยิ่ง
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนไยมิใช่นับว่าเป็นสิ่งแปลกพิสดารยิ่ง
โดยเฉพาะผู้คนในวงยุทธจักร!`
ระหว่างก๊วยไต้โล่วกับอี้ฉิก ทั้งสองกลับมีความหลังความลับที่มิอาจบ่งบอกต่อกัน เป็นอุปสรรคปัญหาความรัก เนื่องเพราะทั้งสองอาจไม่แน่ใจในความรักและความจริงใจของกันและกัน ดีที่เรื่องราวเหล่านั้นล้วนมิได้เกิดจากการกระทำของพวกมัน ดังนั้น--ต่อเมื่อกาลเวลาได้พิสูจน์ความจริงใจของพวกมัน ทั้งสองคล้ายเป็นผู้ที่มีความสุขมากกว่าผู้ใดทั้งสิ้น
อี้ฉิกคล้ายกับหวาดกลัวผู้อื่นไม่จริงใจต่อตน หวั่นเกรงว่าผู้อื่นไม่ต้องการตน ทั้งนี้เนื่องเพราะตนเป็นธิดาของบุคคลที่ชนชาวยุทธร่ำลือเป็นผู้โฉดชั่วยิ่งกว่าผู้ใดในแผ่นดิน
นางคล้ายกับไม่เคยไว้วางใจผู้ใด ทั้งยังไม่เคยได้รับความจริงใจจากผู้ใด
นางคล้ายกับรอจนใกล้ตายจึงบ่งบอกความลับของตนต่อก๊วยไต้โล่ว เพียงเพื่อให้สามารถตกตายไปด้วยความสุข
ก๊วยไต้โล่วเล่า--
ก๊วยไต้โล่วอาจอาจมีความลับความหลังที่ถูกอิสตรีนางหนึ่งซึ่งมันทุ่มเทความรักความจริงใจให้กับนาง แต่มันกลับถูกนางทอดทิ้งไปกับผู้ชายอื่น ก่อนพบกับอี้ฉิกและรู้ความจริงว่านางเป็นอิสตรีผู้หนึ่ง มันอาจดูคล้ายกับเป็นบุรุษเพศผู้กรุ้มกริ่มใครจะลวงหลอกสตรีสักหลายนาง แต่มันก็มิเคยลวงหลอกสตรีแม้แต่นางเดียว เนื่องเพราะในสำนึกของมัน ก๊วยไต้โล่วมิเคยมีความปรารถนาที่จะทำลายอิสตรีใด แม้กระทั่งกับสตรีที่ทอดทิ้งมัน มันอาจตำหนินางบ้างแต่มันก็มิเคยคิดทำลายนางแม้แต่น้อย
อย่าว่าแต่คิดจะทำลายชีวิตด้วยความโกรธแค้น แม้กระทั่งจะกล่าวโทษให้ร้ายสตรีผู้นั้นมันยังมิเคยกระทำ
ก๊วยไต้โล่วขณะนั้นคล้ายกับไม่มีความจริงใจต่อสตรีใด ยามอยู่เบื้องหน้าสตรี มันคล้ายคิดและเล็มหาเศษหาเลยกับสตรีนั้น คล้ายกับคิดแก้แค้นสตรีเนื่องเพราะตนเองเคยถูกสตรีหลอกลวง แต่มันไม่เคยกระทำแม้สักครั้งเดียว
นี่เนื่องเพราะมันแม้จะเคยถูกอิสตรีลวงหลอก แต่ในใจของมันมิเคยคิดลวงหลอกอิสตรีใด ที่มันรักมันล้วนแสดงความจริงใจของมันออกมา เยี่ยงนี้- แม้ความรักระหว่างมันกับอี้ฉิกจะผ่านการทดสอบด้วยชีวิต ด้วยความเป็นความตาย แต่ก็คล้ายกับไม่มีความคับแค้นทุกข์ทรมานใดๆ แม้แต่น้อย
ระหว่างมันกับอี้ฉิก- ความรักที่มันมีต่อนางจึงมิอาจมีสิ่งใดมาเปลี่ยนแปลงได้
มันยืนยัน--
เนื่องเพราะในใต้หล้า มิมีสิ่งใดผันแปรความรักที่ข้าพเจ้ามีต่อนาง แม้แต่ข้าพเจ้าเองก็ตาม
ความรักของก๊วยไต้โล่วจึงย่อมมิได้อยู่ที่ชาติตระกูลหรือทรัพย์สินเงินทองใด
ยิ่งมิได้อยู่ที่รูปโฉมของอิสตรี
แต่อยู่ที่ความรักความจริงใจที่มันทุ่มเทให้กับนางเท่านั้น
เป็นความรักความจริงใจที่ไม่อาจมีสิ่งใดมาผันแปรได้ แม้กระทั่งตัวของมันเอง
อี้ฉิกไยมิใช่เป็นเยี่ยงเดียวกัน
บุคคลเยี่ยงก๊วยไต้โล่วและอี้ฉิกเมื่อต่างยึดครองจิตใจซึ่งกันและกันจึงมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดกาล
ความรักของคนทั้งสองไยมิใช่สุขสมกว่าผู้อื่น และไยมิใช่สามารถผ่านการทดสอบได้อย่างรวดเร็วกว่าผู้อื่น แม้การทดสอบนั้นจะยากเข็ญสักเพียงไหนก็ตาม
ระหว่างลิ้มไท้เพ้งกับเง็กเหล็งล้งนับว่ายิ่งคับแค้นลำเค็ญมากกว่า เนื่องเพราะระหว่างมันทั้งสองผูกติดอยู่กับความแค้นระหว่างตระกูลที่ยากซึ่งจะเลิกแล้วต่อกันได้
เป็นบุญคุณความแค้นซึ่งกลายเป็นความสัมพันธ์พิสดารที่เชื่อมโยงคนทั้งสองเข้าด้วยกัน โดยที่ทั้งสองแม้จะรู้และเข้าใจเป็นอย่างดีก็ไม่อยากรับรู้ อยากจะลืมเลือนเรื่องราวเหล่านั้น
อยากจะลืมเลือนแม้กระทั่งตนเองว่าแท้ที่จริงแล้วตนคือใคร
ทั้งสองล้วนมีคำถามกับตนเอง
“เราเป็นใคร”
“มิมีผู้ใดทราบว่าเราเป็นใคร แม้แต่เราเองก็ไม่คิดใคร่ทราบ”
คนผู้หนึ่งแม้กระทั่งตัวเองแท้จริงเป็นใครก็มิคิดใคร่ทราบ ไยมิใช่ตนเองมีความคับแค้นใจอย่างยิ่ง
ไยมิใช่เรื่องราวแต่หลังล้วนสร้างความคับแค้นใจให้กับพวกมันอย่างยิ่ง?
ที่ลิ้มไท้เพ้งมิคิดจะทราบ เนื่องเพราะมันทราบมันเป็นบุตรของพญามังกรแดนดิน
ที่เง็กเหล็งล้งมิคิดจะทราบ เนื่องเพราะนางทราบเป็นบุตรีของศัตรูพญามังกรแดนดิน
เนื่องเพราะเง็กเหล็งล้งทราบ-- นางเป็นคู่หมั้นของลิ้มไท้เพ้งและเป็นศัตรูกับพญามังกรแดนดินที่เป็นบิดาของลิ้มไท้เพ้ง
ระหว่างตระกูลเง็กกับตระกูลลิ้มผูกพันความคิดมากว่ายี่สิบปี
เป็นความความอาฆาตแค้นที่รุนแรงยิ่ง
อาฆาตแค้นรุนแรงถึงขนาดที่พญามังกรแดนดินสาบานจะเข่นฆ่าตระกูลเง็กให้สิ้นซาก
ที่ลิ้มไท้เพ้งกับเง็กเหล็งล้งหมั้นหมายกันจึงมิได้เกิดจากความยินยอมพร้อมใจของบุคคลทั้งสอง แต่เกิดจากความปรารถนาของคนแซ่อ้วยสองคนที่ต้องการคลี่คล้ายหนี้แค้นรายนี้
เป็นอ้วยฮูหยินที่เป็นภรรยาของพญามังกรแดนดินกับเจ๊ม่วยของนางที่ตกแต่งกับความตระกูลเง็ก
เป็นอ้วยฮูหยินที่เป็นมารดาของลิ้มไท้เพ้งกับเจ๊ม่วยของนางที่เป็นมารดาเง็กเหล็งล้ง
ที่ลิ้มไท้เพ้งหนีจากบ้านมาเป็นเพราะไม่เข้าจิตเจตนาของมารดามัน?
ที่แท้มันสมควรเข้าใจ แต่ในความคิดเห็นของมัน ชายหญิงคู่หนึ่งที่แต่งงานกันมิใช่เพื่อเหตุผลใดนอกเหนือความรัก
ยิ่งย่อมมิใช่เหตุผลเพียงเพื่อคลึ่คลายความแค้นของสองตระกูล แต่กลับเพิ่มความคับแค้นใจให้กับคนอีกคู่หนึ่งตลอดชีวิต
มิหนำ ระหว่างมันกับพญามังกรก็คล้ายกับมีความคับแค้นต่อกัน
ลิ้มไท้เพ้งย่อมคับแค้นที่บิดามันทอดทิ้งให้มันอยู่เพียงลำพังกับมารดาโดยมิได้เหลียวแลแม้แต่น้อยนับตั้งแต่มันถือกำเนิดมาจนกระทั่งเติบใหญ่
เง็กเหล็งล้งก็เฉกเดียวกัน นางความจริงมิคิดที่จะเป็นสะใภ้ตระกูลลิ้ม นางกลับมีความเห็น- ตายด้วยน้ำมือของพญามังกรแดนดินกลับนับว่ามีเกียรติยิ่งกว่ามากนัก
แต่เมื่อความรักของทั้งลิ้มไท้เพ้งและเง็กเหล็งล้งก่อเกิดขึ้น พวกมันกลับทราบว่า แท้จริงความรักของผู้คนสองคนมิใช่เกิดขึ้นและเป็นไปเพื่อเป้าหมายอื่นใดนอกเหนือความรักซึ่งกันและกัน ยิ่งมิสมควรยึดถือเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อสลายความแค้นของผู้คน
ความรักที่แท้ยิ่งมิใช่เป็นเพียงเพื่อคิดเอาชัยชนะระหว่างกัน
ความรักที่แท้กลับเป็นความเข้าใจกันอย่างลึกซึ้งระหว่างผู้คนสองคนที่มิว่าผู้ใดก็มิอาจอธิบายแทนได้
เยี่ยงนี้ ความรักระหว่างทั้งสองจึงลึกซึ้งยิ่ง ตราตรึงยิ่ง เป็นความรักที่ไม่มีจุดประสงค์อื่นใดทั้งสิ้นนอกเหนือความความรัก
สำหรับลิ้มไท้เพ้ง เพราะเพื่อความรักที่มันมีต่อนาง มันกลับยินยอมเสียสละทุกสรรพสิ่ง เนื่องเพราะมันมีความเห็น- “เนื่องเพราะนางหากมีชีวิตอยู่ เราจึงมีชีวิตอยู่ได้” หากเง็กเหล็งล้งตายมันยินยอมตาย โดยมิได้คำนึงว่านางจะยินยอมตายเพื่อมันหรือไม่
นางจะยินยอมกระทำเพื่อมันเพื่อพิสูจน์ความรักหรือไม่ สำหรับลิ้มไท้เพ้งแล้วมันกลับมิคิดคำนึง เพราะมันถือว่านั่นย่อมเป็นเรื่องของนาง แต่สำหรับมันแล้วมันยินยอม
ยินยอมพร้อมใจด้วยความเต็มใจยิ่ง ยินยอมพร้อมใจโดยมิมุ่งปรารถนาสิ่งตอบแทนใดๆ จากนางทั้งสิ้น
เง็กเหล็งล้งไยมิใช่เฉกเดียวกัน
ความรักของทั้งสองย่อมมิได้มีเป้าหมายเพื่อคลี่คลายความแค้นของสองตระกูล แต่เมื่อเป็นความรักที่แท้ เป็นความจริงใจระหว่างกันแท้จริง ความอาฆาตแค้นทั้งมวลไยมิใช่สูญสลายไปด้วย
เป็นความรักที่แม้กระทั่งคนที่ไม่เคยรู้จักความรักที่แท้เยี่ยงพญามังกรแดนดินกลับกลายเป็นผู้คนที่มีความเป็น “คน” และเข้าใจในความเป็น “คน” ของผู้อื่น
สิ่งที่ทั้งสองปรารถนาจากความรักจึงมิใช่เพื่อสลายความแค้น ยิ่งมิใช่เพื่อทรัพย์สินเงินทองที่พวกตนจะได้รับ
เป็นความปรารถนาที่มิมีผู้ใดมอบให้แก่พวกมันได้ นอกเหนือพวกมันจะมอบให้ซึ่งกันและกัน
เป็นความรักที่มีต่อกัน เป็นความเข้าใจระหว่างกัน และเป็นความจริงใจที่มีต่อกันอย่างแท้จริง
ระหว่างเฮ้งต๋งกับนางพญาแดงสลายทุกข์
ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองเริ่มต้นด้วยการลวงหลอกและหวังในผลประโยชน์จากกันและกัน ไม่มีความจริงใจระหว่างกันแม้แต่น้อย วันเวลาแห่งความรักของทั้งคู่จึงคล้ายกับคับแค้นทรมานยิ่งกว่าผู้ใด
นี่เนื่องเพราะความสัมพันธ์ของพวกมันมิว่าจะเป็นเยี่ยงไรล้วนเกิดจากการกระทำของของพวกมันเองทั้งสิ้น
บุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง บางครั้งเพียงเพื่อให้ตนสามารถมีชื่อเสียง เพียงเพื่อเสริมสร้างชื่อเสียงของตนให้กระเดื่องทั่ววงบู๊ลิ้ม กลับไม่คำนึงถึงการกระทำทุกเรื่องราว
เฮ้งต๋งนับเป็นบุรุษหนุ่มประเภทนั้น
ในยามที่มันกำลังเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวยิ่ง จิตใจเวิ้งว้างว่างเปล่ายิ่ง มีความมุ่งมาดปรารถนาที่จะมีชื่อเสียงยิ่ง เมื่อนางพญาแดงสลายทุกข์ปรากฏกายและหยิบยื่นสิ่งเปล่านั้นให้กับมัน ทำให้มันไม่เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว ทำให้จิตใจของมันคล้ายถูกเติมเต็ม มันได้แต่รีบไขว่คว้าสิ่งที่นางหยิบยื่นให้โดยเร็ว
นางเข้าใจถึงความทะเยอทะยานของเฮ้งต๋ง รู้ซึ้งถึงความหม่นหมองตรอมตรมของเฮ้งต๋ง วาจาและพฤติการณ์ของนางจึงล้วนตอบสนองสิ่งที่เฮ้งต๋งขาดและปรารถนาทั้งสิ้น
นางพญาแดงนับว่ามีความสามารถใช้จุดอ่อนของเฮ้งต๋ง ดึงตัวเฮ้งต๋งให้เป็นพวกของนางได้
แต่การกระทำของนางล้วนเกิดจากความจริงใจกระนั้นหรือ?
เยี่ยงนั้น มันแม้มีอายุไม่ทันได้ยี่สิบปี ด้วยวิชาฝีมือของมัน เฮ้งต๋งกลับแปรเปลี่ยนเป็นพญาอินทรีเหินฟ้าอันเลื่องลือ สำหรับมันแล้วนับเป็นเรื่องที่น่าปลาบปลื้มประโลมใจประการหนึ่งอย่างยิ่ง
แต่เรื่องที่น่าปลาบปลื้มใจเยี่ยงนี้กลับได้มาแล้วสลายไป
ชื่อเสียงเยี่ยงนี้แม้ได้มาอย่างรวดเร็วยิ่ง กลับสูญสลายรวดเร็วยิ่งเช่นกัน เนื่องเพราะชื่อเสียงลือเลื่องที่เฮ้งต๋งได้มากลับมิใช่สิ่งที่ควรกระทำ
ทรัพย์สินเงินทองที่ได้มามากมายกลับมิอาจให้มันสามารถมีความสุขแม้แต่น้อย
ความรักที่นางพญาแดงมอบให้มันกลับเป็นเพียงการแสดงออกเพื่อหวังผลประโยชน์ทั้งสิ้น
เฮ้งต๋งกลับทราบ ที่นางพญาแดงและพวกดีต่อตนกลับเพียงหวังพึ่งพาตนปกป้องคุ้มครองและแสวงหาผลประโยชน์ให้กับพวกมัน
นางพญาแดงเพียงลวงหลอกเพื่อใช้ประโยชน์จากมัน !
เยี่ยงนี้เทื่อนางพญาแดงสืบเสาะพบเฮ้งต๋งและพวก ได้พบเห็นความสัมพันธ์และความจริงใจระหว่างกันของเฮ้งต๋งและสหาย จิตใจของนางไยมิใช่ต้องไหวหวั่นอย่างยิ่ง หวนนึกถึงความผิดพลาดครั้งเก่าก่อนอย่างยิ่ง?
แท้จริงนางพญาแดงก็เฉกเดียวกับเฮ้งต๋ง สำนึกที่แท้จริงของนางเต็มไปด้วยความดีงามไม่แพ้เฮ้งต๋ง แต่เพียงเพราะนางคบหาสหายที่เป็นเพียงผู้แสวงหาประโยชน์ซึ่งกันและกัน
คบหาสหายที่ไม่เคยเข้าใจความหมายของคำ “สหาย” อย่างแท้จริง
คบหาบุรุษเพศที่ไม่เคยเข้าใจคำ “ความรัก” ที่แท้จริง
วันเวลาของนางที่แท้จริงจึงล้วนผ่านไปด้วยความเงียบเหงาเปลี่ยวเปล่ายิ่ง หม่นหมองยิ่ง
ยามที่เฮ้งต๋งจากมานางจึงเริ่มเข้าใจ
ยามที่นางได้พบเห็นความสัมพันธ์ระหว่างเฮ้งต๋งและสหาย นางยิ่งเข้าใจ
“สิ่งลำค่าที่สุดในใต้หล้า ทั้งมิใช่ชื่อเสียง และมิใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคนต่อคน หากท่านได้มา พึงทะนุถนอมไว้ อย่าได้สร้างความผิดหวังแก่ตนเองและผู้อื่น”
“เนื่องเพราะมีแต่บุคคลที่เคยสูญเสียความรัก จึงทราบว่าน้ำใจควรคู่กับการถนอมกระไรปานนั้น หากท่านสูญเสียมันไป ต้องเจ็บปวดรวดร้าวเพียงไร เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวปานไหน”
เยี่ยงนี้เมื่อนางเสาะพบเฮ้งต๋ง พบว่าเฮ้งต๋งคับแค้นนางอย่างยิ่ง
เฉยชาต่อนางอย่างยิ่ง!
นางพญาแดงถึงกับปลาบปลื้มใจอย่างยิ่ง ทั้งนี้เนื่องเพราะนางทราบ-- ที่เฮ้งต๋งแสดงต่อนางเยี่ยงนั้นเนื่องเพราะมันไม่เคยลืมเลือนความสัมพันธ์ก่อนเก่าแม้แต่น้อย
เนื่องเพราะนางเริ่มเข้าใจ เฮ้งต๋งนับว่ารักใคร่ตัวนางอย่างยิ่ง หากมันไม่ดีต่อนางอย่างยิ่ง มันก็เป็นเยี่ยงบุรุษอื่นๆ ที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตและจากไปโดยไม่ไยดี และไม่โกรธแค้นชิงชังเมื่อนางคบหาบุรุษคนใหม่
นางพญาแดงจึงเข้าใจ-- “ท่านหากกรีดมีดใส่หน้าคนผู้หนึ่งอย่างลึกล้ำ ใบหน้ามันต้องปรากฏแผลเป็นอยู่สายหนึ่ง มิมีวันฟื้นคืนสู่สภาพเดิม แผลหัวใจก็เป็นเฉกเช่นกัน...”
คนผู้หนึ่งไม่เคยมีความรักอย่างแท้จริง ไม่เคยมีผู้ใดมอบความรักที่แท้จริงให้ หากมันทราบว่ามีคนแค้นมันเพราะมีความรักความจริงใจต่อมัน ไยมิใช่ความปลื้มปีติอย่างยิ่ง
สำหรับนางพญาแดง เพียงแค่ทราบมีคนผู้หนึ่งมีความรักและความจริงใจต่อนางอย่างยิ่ง ไยมิใช่ความสุข ความปลื้มปีติที่ควรค่าแก่การจดจำแล้ว?
สำหรับนาง หากคิดอยู่กับมันด้วยความจริงใจ จึงได้แต่อดทนและจำเป็นต้องอาศัยเวลาพิสูจน์ความจริงใจของตนให้มันเห็น
เนื่องเพราะข้าพเจ้าก็เป็นเฉกเช่นพญามังกรแดนดิน
มิทราบมาก่อนว่ารักแท้เกิดจากใจจริง ไม่จำเป็นต้องดำเนินวิธีใดๆ
ท่านหากคิดใคร่ได้รักแท้จากผู้อื่น มีแต่ใช้ความจริงใจของตนเข้าแลกมา”
ในที่สุดนางก็สามารถกระทำได้สำเร็จ เนื่องเพราะเฮ้งต๋งที่ดูคล้ายคนไร้น้ำใจกลับเปลี่ยมล้นด้วยน้ำใจที่มีต่อผู้คน เปี่ยมล้นด้วยความจริงใจต่อคนที่คนรักและสหายของตน
เป็นน้ำใจและความจริงใจที่แลกมาได้ด้วยน้ำใจและความจริงใจเยี่ยงกัน
พวกมันไยมิใช่มีความสุขอย่างยิ่ง
โก้วเล้งให้ข้อสรุป –
“เพชรต้องเจียระไนจึงเปล่งประกาย
ความรักและน้ำมิตรก็เป็นเฉกเช่นกัน
ความรักและน้ำมิตรที่ไม่อาจรับการทดสอบ ก็เฉกเช่นดอกไม้กระดาษ ทั้งปราศจากความหอมหวานของบุปผชาติ และไม่มีผลงอกเงย
ระหว่างก๊วยไต้โล่วกับอี้ฉิก ลิ้มไท้เพ้งกับเง็กเหล็งล้ง เฮ้งต๋งกับนางพญาแดง ไยมิใช่ผ่านการเจียระไนเยี่ยงนี้ ชีวิตของพวกเขาจึงสุขสมยิ่ง
น่าเสียดายที่ผู้คนในโลกจำนวนไม่น้อยไม่เคยเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ และไม่เคยคิดที่จะเข้าใจเรื่องราวเยี่ยง กลับปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันผูกติดอยู่ชื่อเสียงวงศ์ตระกูล อำนาจ แลทรัพย์ศฤงคารจนลืมเลือนความรักและความจริงใจระหว่างกันเสียสิ้น พวกเขาแม้จะมีชีวิตอยู่อย่างคล้ายกับว่ามีความสุขสบายอย่างยิ่ง แต่ไยมิใช่เต็มไปด้วยความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวยิ่ง
ผู้คนไม่น้อยดูราวกับว่ามีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขความสะดวกสบายอย่างยิ่ง
แต่พวกเขาใช่มีความ “สำราญ” หรือไม่?
หก- สุดลำเค็ญคือความตาย
ในชีวิตของคนผู้หนึ่ง ทุกคนล้วนเข้าใจ-- สิ่งที่หวาดผวากลัวเกรงมากที่สุดไม่พ้น “ความตาย”
เมื่อมีหนทางให้เลือก จะมีผู้ใดเล่าที่จักเลือกเดินหนทางตาย
ยิ่งคนผู้หนึ่งมีตัวเลือกระหว่าง “ทองคำ” และความตาย ยิ่งคล้ายกับว่ายากนักที่จะไม่มีผู้ใดเลือกทองคำ!
ทองคำนับเป็นเยี่ยงไร?
ความตายนับเป็นเยี่ยงไร?
นับแต่โบราณกาลมา มนุษย์ทุกรูปนามยากรอดพ้นจากความตาย
ความตายนับเป็นเรื่องน่าหวาดหวั่นสะพรึงกลัวที่สุด
ความหมายของมันคือท่านเสียชีวิตแล้ว ดับสูญสิ้นแล้ว นับแต่นี้ปราศจากความรู้สึกลำนึก ไม่มีความหวังใด ๆ สังขารเลือดเนื้อของท่านจะเน่าเปื่อยโดยเร็ว ชื่อแซ่ของท่านจะเลือนรางจากความทรงจำผู้คนภายในเวลาอันสั้น
ในใต้หล้ายังมีอันใดน่าสะพรึงกลัวกว่านี้อีก?
หากแม้ตายแล้วยังต้องลงนรก ย่อมน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า
ทั้งนี้เนื่องเพราะผู้คนล้วนมิทราบ ความตายนับเป็นเยี่ยงไร?
ความหมายของคำ ‘มิทราบ’ เป็นความน่าสะพรึงกลัวประการหนึ่ง อาจบางทีเป็นเรื่องน่าพรั่นพรึงสุดยอดของมนุษยชาติ
คนที่หวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อความตาย เนื่องเพราะมันมิทราบว่าความตายที่แท้เป็นรูปลักษณะเช่นไร
เนื่องเพราะผู้คนมิทราบ ที่แท้หลังจากตายตนจักดำรงอยู่เยี่ยงไร ต้องประสบกับความยากลำเค็ญเพียงใด
เยี่ยงนี้มีผู้ใดเล่าที่ไม่เกรงกลัวความตาย
เฮ้งต๋งก็เกรงกลัวความตาย
ก๊วยไต้โล่ว อี้ฉิก และลิ้มไท้เพ้งก็เกรงกลัวความตาย
เมื่อพวกมันต้องเผชิญหน้ากับความตาย รู้ว่าตนจักต้องตาย แม้นปากมันจะเอ่ย--”ท่านมิต้องเกรงกลัว หากแม้นพวกเราเสียชีวิตจริง ยังมีอันใดน่าพรั่นพรึง หากแม้นพวกเรายังไม่ตาย ยิ่งมิต้องเกรงกลัวแล้ว” แต่ไยมิใช่ แท้ที่จริงมันนับว่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงยิ่ง
เพียงแต่พวกมันเมื่อเผชิญหน้ากับความตายคล้ายจักสามารถมีความหาญกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความตาย
นี่เนื่องเพราะอะไร?
นับแต่ลิ้มไท้เพ้งออกจากบ้าน อ้วยฮูหยินคิดสืบเสาะหามัน แต่นางไหนเลยจะคาดคิดได้ว่า ลิ้มไท้เพ้งที่มีชีวิตความเป็นอยู่สะดวกสบายตั้งแต่เล็กจักยินยอมใช้ชีวิตอยู่อย่างลำบากยากเข็ญใน “เคหารุ่มรวย” นางอาจสืบเสาะพบว่ามันมีสหาย!
สหายของมันเป็นก๊วยไต้โล่วและอี้ฉิก นางได้แต่ใช้คนของนางสะกดรอยก๊วยไต้โล่วกับอี้ฉิก ได้แต่ใช้วิธีการต่างๆ เพื่อให้ก๊วยไต้โล่วกับอี้ฉิกบ่งบอกร่องรอยของลิ้มไท้เพ้งออกมา
อ้วยฮูหยินคิดพันธนาการพวกมันไว้ พวกมันกลับพันธนาการตนเองก่อนมิยอมจากไปเพื่อให้อ้วยฮูหยินสามารถสะกดรอยติดตามได้
อ้วยฮูหยินคิดใส่ยาพิษในอาหารใช้ความตายทดสอบพวกมัน ก๊วยไต้โล่วและอี้ฉิกแม้หวั่นหวาดสะพรึงกลัวต่อความตาย แต่พวกมันยินยอมตายโดยมิบอกร่องรอยของสหายออกมา คิดใช้ทองคำสุกปลั่งเหลืองอร่ามมากมายมหาศาลสร้างความไหวหวั่นให้ทั้งสอง แต่คนทั้งสองไฉนจะไหวหวั่นต่อทองคำเหล่านั้น?
มิว่าทรัพย์ศฤงคารจำนวนมหาศาล ทัณฑ์ทรมานจะเจ็บปวดสักเพียงไหน สำหรับก๊วยไต้โล่วกับอี้ฉิกแล้ว คิดให้มันบ่งบอกร่องรอยสหายนับเป็นเรื่องยากยิ่ง พวกมันยืนยัน- “คิดมีชีวิตสืบต่อหรือไม่เป็นเรื่องหนึ่ง บอกหรือไม่บอกเป็นเรื่องหนึ่ง” คิดมีชีวิตสืบต่อเป็นเรื่องของมัน แต่คิดบ่งบอกร่องรอยของสหายย่อมเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสหาย เมื่อมิสมควรบ่งบอกออกไปเพื่อความปลอดภัยของสหาย พวกมันมิยินยอมใช้สหายเป็นเครื่องต่อรองเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของตนเอง
มิยินยอมแลกสหายด้วยทองคำจำนวนหนึ่ง
ข้าพเจ้าเพียงทราบว่า ทองคำต้องมีวันใช้หมดสิ้น
สักวันหนึ่งคนต้องตาย
แต่คุณธรรมและน้ำมิตรจะคงความเป็นอมตะตลอดกาลนาน
ในที่สุดอ้วยฮูหยินจึงทราบ และภาคภูมิใจในบุตรชายของตน
ภาคภูมิใจที่บุตรชายของตนสามารถคบหาสหายที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมน้ำมิตรเยี่ยงเฮ้งต๋ง ก๊วยไต้โล่ว และอี้ฉิก นางจึงบ่งบอกความจริงและยินยอมให้ลิ้มไท้เพ้งอยู่กับสหายของมันโดยมิสืบเสาะค้นหาต่อไป
ทั้งนี้เนื่องเพราะนางทราบ ความตายแม้จักน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง แต่บุคคลที่สามารถอดทนความทุกข์ทรมานก่อนตายที่นับว่าลำเค็ญยิ่งกว่า อีกทั้งสามารถอดทนต่อสิ่งที่สร้างความเย้ายวนใจสร้างความหวั่นไหวอย่างยิ่งได้ นับว่าลำเค็ญกว่าความตายมากนัก นางได้แต่ยินยอมให้ลิ้มไท้เพ้งพำนักอยู่กับสหายของมัน
ตอนนี้เราทราบแล้วว่า สหายของมันมิเพียงยอมอดอาหาร ยินยอมตายเพื่อมัน ยังปฏิเสธการเย้ายวนต่างๆ นานาเพื่อมัน ซึ่งในสายตาของเรา เหล่านี้ยังลำเค็ญกว่าความตายมากนัก
ความตายสำหรับผู้คนนับว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง แต่เมื่อตายไปใช้สามารถลืมเลือนสิ้น ความน่าสะพรึงกลัว ความหวาดหวั่น ความทุกข์ทรมานไยมิใช่จบสิ้นไปด้วย แต่รสชาดของการอดอาหาร รดชาติของความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน รสชาดของความรู้สำนึกว่าที่แท้ตนเองยังมีชีวิตอยู่หรือตายจากไปแล้ว ไยมิใช่สามารถเคี่ยวเข็ญผู้คนได้ยิ่งกว่า
ความเย้ายวนของทรัพยศฤงคารมากมายมหาศาลไยมิใช่สามารถสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงและเคี่ยวเข็ญผู้คนได้ยิ่งกว่า
สหายที่สามารถผ่านการเคี่ยวกรำเยี่ยงนี้ได้ไยมิใช่สหายที่แท้
มารดาผู้หนึ่ง เมื่อบุตรของตนสามารถมีสหายเยี่ยงนี้มีอันใดต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป
อ้วยฮูหยินจึงมิจำเป็นต้องสืบเสาะให้รู้ว่าบุตรชายตนพำนักอยู่ที่ใดอีกต่อไป
เจ็ด - คนก็คือคน--
เนื่องเพราะพวกเขาคือคน พวกเขาจึงสุขสำราญยิ่ง
คน -- มีผู้ใดสามารถให้คำอธิบายได้ว่าที่แท้คืออะไร
ระหว่างคน- มีใครสามารถบ่งบอกความสัมพันธ์ที่คนมีต่อคนได้ว่าควรเป็นเยี่ยงไร
ความสุขสำราญของคน- มีคนผู้ใดสามารถอธิบายได้ว่าเยี่ยงใดจึงสมควรนับเป็นความสุขสำราญที่แท้จริง
เหล่านี้ย่อมยากแก่การอธิบายให้ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้
ย่อมยากที่จะบ่งบอกออกมาเป็นคำพูด
แต่นับว่าไม่ยากที่จะบ่งบอกออกมาให้เข้าใจได้ด้วยพฤติกรรมของผู้คนประเภทหนึ่ง
เฮ้งต๋งและพวกคือผู้คนประเภทนั้น
เฮ้งต๋งและพวกอาจเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมน้ำมิตรระหว่างกันและเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีต่อผู้คน
ในเคหารุ่มรวยของพวกมัน แม้จะมีชื่อ “รุ่มรวย” แต่พวกมันกลับยากจนทรัพย์ศฤงคาร บางครั้งถึงกับอดอยากติดต่อกันหลายวัน และบางครั้งพวกมันอาจสามารถดื่มกินอย่างสนุกสนาน แต่ในเคหารุ่มรวยกลับมิมีทรัพย์สินใดที่แสดงว่าพวกมันรุ่มรวยแม้แต่น้อย
ผู้คนในเคหารุ่มรวยกลับยากจนเงินทอง
แต่พวกมันกลับรุ่มรวยความสุขอย่างยิ่ง รุ่มรวยความสำราญอย่างยิ่ง
ระหว่างพวกมัน แม้บางครั้งจะมีความลับที่มิอาจบ่งอบอกต่อกันได้ แต่พวกมันล้วนเข้าใจในสหาย
พวกมันล้วนเข้าใจ มิว่าสหายจะเป็นเยี่ยงไร สหายยังคงเป็นสหายตลอดกาล
มิว่าเป็นสถานที่ใด หากมีสหายเยี่ยงนี้นับเป็นสถานที่ที่อบอุ่น เพียบพร้อมด้วยความสุขสำราญยิ่ง
สำหรับพวกมัน : -
...ขอเพียงมีสหาย ต่อให้ห้องหับทรุดโทรมซ่อมซ่อกว่านี้ ก็หาเป็นไรไม่
เนื่องเพราะที่ซึ่งมีสหาย มีความอบอุ่น เพียบพูนด้วยความสุข”
ที่ซึ่งปราศจากสหาย ต่อให้สะสมเต็มไปด้วยทองคำ ในสายตาพวกตน นั่นเป็นเพียงคุกคุมขังที่ก่อสร้างจากทองคำหลังหนึ่ง
ระหว่างคนรัก ความรักของพวกมันย่อมมิได้งอกเงยขึ้นมาจากเหตุผลอื่นใด นอกจากความรัก มิใช่เพราะชาติตระกูล มิใช่เพราะผลประโยชน์ และมิใช่เพราะผู้อื่นเห็นว่าเหมาะสม หรือมิใช่เป็นไปเพื่อมุ่งหวังผลประโยชน์อื่นใด
แต่ความรักของผู้คนย่อมก่อเกิดและเติบโตขึ้นเพียงเพื่อความรักความเข้าใจที่แท้จริง
ในความคิดของพวกมัน ระหว่างผู้คนจึงมิใช่ทรัพย์สมบัติล้ำเลอ ย่อมมิใช่ชื่อเสียง เกียรติยศ หรืออำนาจใดๆ ทั้งสิ้น แต่กลับเป็นความเชื่อมั่น
ความเชื่อมั่นว่า - “ขอเพียงเป็นคน ต้องมีมนุษยธรรมประจำใจ” จึงนับเป็นคนที่แท้
คนที่มิใช่เพียงมีชีวิตอยู่เพื่อตนเอง
คนหากคิดมีความสุขสำราญย่อมมิใช่เป็นคนที่คิดเพียงให้ตนเองมีความสุขสำราญเท่านั้น แต่ย่อมเป็นคนที่คิดหวังให้ผู้อื่นมีความสุขสำราญ
คนผู้หนึ่งหากสามารถทำให้ผู้อื่นมีความสุขสำราญได้ ไยมันมิใช่ย่อมมีความสุขสำราญอย่างยิ่ง
แท้ที่จริงคนผู้หนึ่งมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
แท้ที่จริงคนผู้หนึ่งสมควรใช้ชีวิตตนเยี่ยงไร
มีผู้ใดสามารถรู้ซึ้งถึงคุณค่าและความหมายของชีวิตตนเองบ้าง?
มีผู้ใดทราบ:- ในโลกอย่างไรจึงสามารถนับว่ามีความรุ่มรวยอย่างแท้จริง
เคหารุ่มรวยที่ซ่อมซ่อหรือคฤหาสน์หลังใหญ่โอฬาร ทองคำมูลค่ามหาศาล ชื่อเสียงเกียรติยศ
มีคุณธรรมน้ำมิตรและความรักผูกพันระหว่างผู้คน หรือมีอำนาจอันยิ่งใหญ่ให้ผู้คนยินยอมสยบ
ที่แท้คนผู้หนึ่งมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?
เรื่องราวของเฮ้งต๋งและพวกไยมิใช่บอกแก่พวกท่านแล้ว
“ตอนนี้ท่านคงทราบแล้วว่า ทุกผู้คนมิได้เป็นเฉกเช่นท่านที่มีชีวิตอยู่เพื่อตนเอง ในโลกยังมีเรื่องราวมากมายที่สำคัญยิ่งกว่าการมีชีวิตอีก”
คนผู้หนึ่งไยมีความคิดขอเพียงตนเองสามารถมีชีวิตอยู่ ไยมีความคิดเพียงเพื่อให้ตนสามารถเสาะแสวงหาทรัพย์สินเงินทองมูลค่ามหาศาล ดิ้นรนเพื่อการมีอำนาจเหนือผู้อื่น มุ่งแสวงหาให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศของตน โดยมิคำนึงถึงว่าจะใช้ชีวิตของผู้อื่นสักเท่าไรแลกให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ
ในที่สุดสิ่งที่คนผู้หนึ่งได้มาเหล่านั้น สามารถทำให้ชีวิตของพวกมันมีความสุขสำราญที่แท้จริงหรือไม่?
ในโลกมีเรื่องราวที่พึงกระทำมากมายกว่าการดิ้นรนเพื่อให้ตนสามารถมีชีวิตอยู่ แต่ไฉนมีน้อยคนนักที่คิดจะกระทำเรื่องราวเหล่านั้น
เรื่องราวที่มีคุณค่าและความหมายต่อชีวิตยิ่งกว่าการมีชีวิตอยู่
สำหรับตัวละครของโก้วเล้ง
ก๊วยไต้โล่ว เฮ้งต๋ง และพวก--แม้พวกมันยากจนอย่างยิ่ง“..แต่ยังสำราญรมย์ เนื่องเพราะพวกมันรู้ซึ้งถึงคุณค่าความหมายของชีวิต วีรกรรมของพวกมันจึงบรรเจิดเพริศแพร้ว เปล่งประกายเจิดจ้าจำรัส” พวกมันจึงสมควรนับเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง
และมีวีรบุรุษที่แท้จริงเยี่ยงพวกมันเท่านั้น จึงสามารถนับเป็นวีรบุรุษสำราญได้
“ผู้ใดว่าวีรบุรุษเงียบเหงา วีรบุรุษของพวกเราล้วนสำราญ!”
หมาป่าโดดเดี่ยว คนเดียวดาย
วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
จอมโจรและวิญญูชน
(1)
ในบู๊ลิ้มขณะนั้นล้วนร่ำลือถึงบุคคลผู้หนึ่ง ในคำร่ำลือนั้นถึงกับกล่าวว่าคนผู้นั้นนับเป็นจอมโจรชั่วร้ายที่มิอาจมีผู้ใดในยุคนั้นชั่วร้ายอำมหิตยิ่งกว่าแล้ว
เป็น ‘เซียวจับอิดนึ้ง’!
เป็นเซียวจับอิดนึ้งที่มีวิชาฝีมือเป็นเลิศยากจะหาผู้ใดทาบติด
เป็นเซียวจับอิดนึ้งที่ชั่วร้ายอำมหิตยากที่จะมีผู้ใดเสมอเหมือน
เป็นจอมโจรอื้อฉาวที่มีเพียงวิญญูชนไร้ตำหนิเยี่ยงเลี่ยงเซี้ยเปียะเท่านั้นที่พอจะสามารถรับมือได้
เลี่ยงเซี้ยเปียะนับเป็นวิญญูชนไร้ตำหนิในยุคนั้นจริงๆ!?
วิชาฝีมือของคนทั้งสอง-หนึ่งแกร่งกร้าวสุดยอด หนึ่งอ่อนหยุ่นถึงขีดสุด กลับคล้ายเป็นศัตรูคู่อริมาแต่กำเนิด
ระหว่างมันทั้งสอง กลับหมายปองอิสตรีคนเดียวกัน
ซิมเปียะกุน!
โก้วเล้งมักบอกต่อผู้คน:-
“เรื่องที่ตนเองเห็นมากับตา ยังมิแน่นักจะยึดถือเป็นจริงเป็นจังได้ อย่าว่าแต่เพียงรับทราบจากคำร่ำลือ”
เรื่องราวที่เกี่ยวกับเซียวจับอิดนึ้งล้วนเป็นผู้คนร่ำลือ
พฤติกรรมของเลี่ยงเซี้ยเปียะอาจมีผู้คนจำนวนไม่น้อยเห็นมากับตา แต่ใช่ทุกประการสามารถเห็นกับตาได้หรือไม่?
ที่แท้คำร่ำลือจอมโจรชั่วร้าย ฉายาวิญญูชนไร้ตำหนิล้วนสามารถยึดถือเป็นข้อเท็จจริงได้ทั้งสิ้น?
ชนชาวบู๊ลิ้มยุคนั้นพากันกล่าวคำร่ำลือถึงวิชาฝีมือเซียวจับอิดนึ้งและเลี่ยงเซี้ยเปียะ:-
“...เซียวจับอิดนึ้งเป็นอัจฉริยะบู๊ลิ้มผู้หนึ่ง เพลงดาบเป็นเอกเทศ นับแต่ออกท่องเที่ยวมิเคยเผชิญพบคู่มือเปรียบติด...”
“เพลงดาบเซียวจับอิดนึ้ง คล้ายฟ้าแลบลั่นอสนีทลาย เพลงกระบี่เลี่ยงเซี้ยเปียะ กลับคล้ายสายลมชุนเทียนโชยลูบไล้ แสงจันทร์สกาวอาบไล้ ทั้งสอง หนึ่งแกร่งกร้าวหนึ่งอ่อนหยุ่น ล้วนบรรลุถึงจุดสูงสุด นับแต่โบราณกาลมา อ่อนหยุ่นสามารถสยบแกร่งกร้าว ทอดตาทั่ววงนักเลง หากบอกว่ามีคนเอาชัย เซียวจับอิดนึ้งได้ เกรงว่ามีแต่เลี่ยงเซี้ยเปียะคนเดียว!”
ในด้านพฤติกรรมของบุคคลทั้งสอง ที่ชนชาวบู๊ลิ้มรับรู้ เซียวจับอิดนึ้งย่อมเป็นโจรร้ายอำมหิตยิ่ง :-
“เซียวจับอิดนึ้งเป็นมหาโจรที่ฆ่าโดยมิกระพริบตา พลังฝีมือสูงล้ำสุดยอด ชาติกำเนิดเร้นลับปริศนา ร่องรอยลี้ลับยากคำนวณ น้อยคนนักที่สามารถเห็นโฉมหน้าแท้จริงของมัน”
มีบ้างบางคนถึงกับกล่าว :-
“เซียวจับอิดนึ้ง? ระหว่างนี้เราไฉนได้ยินแต่นามคนผู้นี้ร่ำไป คล้ายกับเรื่องชั่วร้ายในใต้หล้า ล้วนถูกมันกระทำหมดสิ้น”
แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็เป็นดั่งเอี้ยไคไถ่ที่เพียงฟังแต่คำร่ำลือ แม้พวกมันกำลังเผชิญหน้าอยู่กับเซียวจับอิดนึ้งแล้ว มันกลับมิรู้จัก เซียวจับอิดนึ้งจึงเป็นเพียงผู้ที่ผู้คนทั่วไปรู้จักจากคำร่ำลือเท่านั้น
“เราแม้ไม่รู้จักมัน แต่ทราบว่ามันเป็นจอมโจรประกอบแต่ความชั่วร้าย บุคคลเยี่ยงนี้มิว่าผู้ใดก็สามารถฆ่าทิ้ง เราไหนเลยไม่อาจตัดใจได้”
มีผู้ใดสามารถเห็นเซียวจับอิดนึ้งประกอบเรื่องไร้คุณธรรมเป็นจอมโจรอำมหิตกับตาตนเองบ้างหรือไม่?
เลี่ยงเซี้ยเปียะในสายตาของชนชาวบู๊ลิ้มขณะนั้นกลับแตกต่างไปจากเซียวจับอิดนึ้ง
เลี่ยงเซี้ยเปียะกลับได้รับการยกย่องเป็นวิญญูชน
เป็นวิญญูชนไร้ตำหนิแห่งบ้อเฮี้ยซัวจึง
เป็นหนึ่งใน“ลักกุนจื้อ”-หกวิญญูชนรุ่นเยาว์ที่มีชื่อเสียงกระเดื่องบู๊ลิ้มยิ่งยุคนั้น
หกวิญญูชนที่ประกอบด้วยมัน- เลี่ยงเซี้ยเปียะ เอี้ยไคไถ่ ลิ้วเส็กแช ลี้กัง จูแป๊ะจุ้ย และฉื่อแชติ้ง
สำหรับเลี่ยงเซี้ยเปียะแล้ว ในหกวิญญูชนมันนับว่าโดดเด่นที่สุด
โดดเด่นทั้งวิชาฝีมือที่เลิศล้ำและชาติตระกูลที่สูงส่ง
โดดเด่นทั้งภาพของความเป็นวิญญูชนที่ควรแก่การยกย่อง
“เลี่ยงเซี้ยเปียะเป็นทายาทตระกูลสูงศักดิ์ ประพฤติเมตตาเที่ยงธรรม ไม่มุ่งหวังชื่อเสียงเกียรติภูมิ กระทำเพื่อบุคคลอื่น คู่ควรกับการรับคำไต้เฮี้ยบ(วีรบุรุษ) มิว่ามันไปถึงที่ใด ผู้อื่นล้วนให้ความเคารพนบนอบ กล่าวได้ว่ามันเข้าถึงจิตใจผู้คน ได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้น”
ผู้คนล้วนยกย่องพวกมัน:- “...หากวิจารณ์ด้านเกียรติภูมิและพลังฝีมือ มิมีผู้ใดเหนือกว่าคนทั้งหกนี้” พวกมันนอกจากเป็นทายาทตระกูลเลื่องชื่อ เป็นศิษย์สำนักมาตรฐานแล้ว ชนชาวบู๊ลิ้มยังเห็นว่า ทั้งหมดล้วนประพฤติเที่ยงธรรมเปิดเผยหมดจดยิ่ง
หากมีผู้ใดบอกว่าเลี่ยงเซี้ยเปียะและเหล่าวิญญูชนทั้งหลายมีพฤติการณ์บางประการที่ปราศจากคุณธรรม ย่อมมิมีผู้ใดเชื่อถือ
นอกจากมิยินยอมเชื่อถือแล้วมีไม่น้อยที่อาจออกรับแทนมัน
มีไม่น้อยที่เจ็บแค้นแทนมัน!
ระหว่างเซียวจับอิดนึ้งกับเลี่ยงเซี้ยเปียะกับพวกทั้งหกและเหล่าผู้ที่ได้รับการยกย่องเป็นวิญญูชนเกลื่อนวงบู๊ลิ้มขณะนั้นจึงนับได้ว่าแตกต่างกันยิ่ง
เซียวจับอิดนึ้งมีใดที่สามารถสู้เลี่ยงเซี้ยเปียะทั้งหกได้
บุตรสารถีควบขับรถอันธรรมดาสามัญ วิชาฝีมือที่มิอาจยืนยันได้มาได้รับการถ่ายทอดจากปรมาจารย์สำนักมาตรฐานแห่งใด เยี่ยงนี้มีอันใดสามารถสู้กับเลี่ยงเซี้ยเปียะได้!
แต่พฤติการณ์ของบุคคลทั้งหมดนี้ ผู้ใดสมควรถูกประณามเป็นโจรร้ายหรือสมควรได้รับการยกย่องเป็นวิญญูชนที่แท้จริง
เพียงคำร่ำลือสามารถยึดถือเป็นจริงเป็นจังได้?
เพียงพฤติกรรมบางประการสามารถตัดสินความดีงามหรือชั่วร้ายของผู้ผู้คนอย่างแน่ชัดได้ ?
ซิมเปียะกุนอาจถูกนับเป็นโฉมสะคราญอันดับหนึ่งของแผ่นดิน แท้จริงการที่นางได้หมั้นหมายกับเลี่ยงเซี้ยเปียะ ชาวบู๊ลิ้มล้วนกล่าวขวัญทั้งคู่มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง คล้ายดั่งเยี่ยงนี้ไม่เคยมีมาแต่โบราณกาลและยากที่จะมีอีกในอนาคต
ซิมเปียะกุนนับเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงามยิ่ง มีกิริยานุ่มนวลยิ่ง บริสุทธิ์ยิ่ง
นางนับเป็นกุลสตรีในห้องหอที่บริสุทธิ์ยิ่ง!
แต่นี่นับเป็นโชควาสนาหรือคราวเคราะห์ของนาง
หากนางไม่ได้เป็นโฉมสะคราญอันดับหนึ่งของแผ่นดิน และมิได้เป็นคู่หมั้นคู่หมายของเลี่ยงเซี้ยเปียะ นางคงไม่ประสบชะตากรรมที่แสนทราม ลำบากยากเข็ญยิ่งทั้งทางกายและทางจิตใจ
ไยนางมิใช่สามารถที่จะเสพสุขได้อย่างสุขสงบยิ่ง! มีครอบครัวที่มีความสุขยิ่ง
แต่หากไม่มีนาง มีผู้ใดสามารถเข้าใจถึงแก่นแท้ของเซียวจับอิดนึ้งกับเลี่ยง เซี้ยเปียะและพวกได้เล่า?
หากเทพสำราญมิมุ่งหวังในตัวของนางอันเนื่องมาจากกิตติศัพท์ความงามของนาง ซิมเปียะกุนย่อมตกแต่งกับเลี่ยงเซี้ยเปียะใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านไร้ตำหนิอย่างเงียบสงบ ปล่อยให้เซียวจับอิดนึ้งยังคงเป็นโจรร้ายอำมหิตตลอดกาล เลี่ยงเซี้ยเปียะยังคงเป็นวิญญูชนตลอดไป
เนื่องเพราะเทพสำราญวางแผนที่จะได้ตัวซิมเปียะกุน ทำให้เซียวจับอิดนึ้งต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้ พาตัวเข้าไปผูกมัดสัมพันธ์กับซิมเปียะกุนจนทำให้วิถีชีวิตอันแสนจะราบเรียบของนางต้องเปลี่ยนแปรไป
นางได้รู้จักจอมโจรเยี่ยงเซียวจับอิดนึ้งได้ลึกซึ้งขึ้น
เข้าใจความเป็น“วิญญูชน”ของเลี่ยงเซี้ยเปียะและพวกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เข้าใจถึงแก่นแท้ของบุคคลบางประเภทที่ได้รับการยกย่องเป็นวิญญูชนได้อย่างลึกซึ้งยิ่ง
คนผู้หนึ่งมิอาจที่จะคำนวณพฤติการณ์ว่าเป็นประพฤติตนเป็นผู้มีคุณธรรมประกอบแต่ความดีงามหรือเป็นบุคคลชั่วร้ายจากคำร่ำลือของผู้คนได้
ผู้คนบางคนคล้ายกับเป็นคนชั่วร้ายแต่พวกมันนับเป็นคนชั่วร้ายจริงหรือไม่?
ผู้คนบางคนคล้ายกับเป็นคนดีงาม แต่พฤติการณ์อันเป็นแก่นแท้ของพวกมันใช่สามารถนับเป็นคนดีงามได้จริงๆ หรือไม่?
วิญญูชนเยี่ยงดาบทองหมื่นชนะแพ้พงปวยและมือกระบี่หน้าหยกลิ้วย่งน้ำที่ดูสัตย์ซื่อมีคุณธรรมยิ่งไฉนที่คนหนึ่งกลับมีเบื้องหลังเป็นโจรราคะย่ำยีดรุณีในห้องหอเดือนหนึ่งอย่างน้อยเจ็ดแปดคน และอีกคนหนึ่งกลับใช้ฐานะสำนักคุ้มกันภัยของตนปล้นชิงเอาทรัพย์สินของลูกค้าสร้างฐานะความร่ำรวยให้แก่ตน
พวกมันเป็นสหายเลี่ยงเซี้ยเปียะแต่กลับมีพฤติการณ์คิดทำร้ายย่ำยีคู่หมั้นคู่หมายของเลี่ยงเซี้ยเปียะ!
เทพอสนีไท้โอ้วลุ้ยมั่วตึ้งและวิชชุแลบลั่นเล้งก้วงล้วนได้รับการยกย่องเป็นผู้เทิดทูนคุณธรรม เป็นชายชาตรีแห่งยุค
ลู่ตังซี่หงี- สี่ผู้กล้าแคว้นลู่ตัง ความจริงใช่แซ่ซิม ย่อมเป็นญาติห่างๆ ของเข็มทองตระกูลซิม แต่เหตุไฉนพวกมันจึงร่วมมือกับสองเทพอสนีวิชชุทำลายล้างตระกูลซิม
ไฉนพวกมันจึงยินยอมเป็นเครื่องมือของเทพสำราญทำลายล้างตระกูลซิม
หรือแท้ที่จริงแล้วชื่อเสียงความเป็นวิญญูชนผู้กอปรด้วยคุณธรรมของพวกมันกลับสามารถใช้เงินตราซื้อได้?
เตี่ยบ้อเก๊ก-เจ้าสำนักโซยเทียนบ้อเก็กมึ้ง ตู้เซ่าเทียน- ผู้กล้าแคว้นกวนตง ลี้กัง- หนึ่งในหกวิญญูชนรุ่นเยาว์ ซีทู้งตงเพ้ง- หัวหน้าสำนักคุ้มกันภัยผู้มีฉายาอึ้งยู่ไท้ซัว(มั่นคงดั่งบรรพตไท้ซัว) และไฮ้เล้งจื้อ- มือกระบี่ที่หลงเหลืออยู่เพียงคนเดียวของสำนักไฮ้น้ำ ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นผู้กล้าหาญนามกระเดื่องและเป็นสหายสนิทของเลี่ยงเซี้ยเปียะ
ในวันที่เซียวจับอิดนึ้งเดินทางมาส่งซิมเปียะกุนต่อเลี่ยงเซี้ยเปียะ พวกมันย่อมอยู่ด้วยกัน
พวกมันล้วนรับรู้แท้จริงแล้วเซียวจับอิดนึ้งอาจมิใช่คนเลวร้าย
อย่างน้อยเหตุการณ์ล้มล้างหมู่บ้านเม่งซาเอี้ยที่เกิดขึ้นในช่วงที่ซิมเปียะกุนอยู่กับเซียวจับอิดนึ้ง ย่อมมิใช่การกระทำของเซียวจับอิดนึ้งแน่นอน
ยิ่งเหตุการณ์เผาทำลายล้างหมู่บ้านตระกูลซิมก็ยิ่งแน่ชัดว่าเป็นการกระทำของผู้ใด
เนื่องเพราะพวกมันล้วนได้รับการยกย่องเป็นผู้มีคุณธรรม เป็นคนดีงามในวงบู๊ลิ้ม!
วาจาของพวกมันจึงน่านับถือยิ่ง
“เรื่องนี้อาจมิใช่การลงมือของเซียวจับอิดนึ้ง คดีอื่นอีกคงไม่ใช่มันลง มือ ครานี้พวกเราปรักปรำมัน เรื่องอื่นที่ผ่านมาอาจใส่ไคล้ปรักปรำมันเช่นกัน”
“เราท่านเมื่อประโคมโหมยกย่องตนเป็นวีรบุรุษผู้กล้า พฤติการณ์ที่กระทำขึ้นก็มิอาจฝืนคำ ‘คุณธรรม’ยินยอมปลดปล่อยคนชั่วร้ายพันคน ไม่ขอปรักปรำคนดีงามคนเดียว”
แต่ไฉนพวกมันยังต้องตามล่ากำจัดเซียวจับอิดนึ้ง
แผนการกำจัดเซียวจับอิดนึ้งของพวกมันกลับเพียบด้วยเล่ห์อุบายหยาบช้ายิ่ง
เป็นแผนการที่ไร้คุณธรรมอย่างยิ่ง!
พวกมันเพียงอ้างคำร่ำลือของวงบู๊ลิ้มกำจัดเซียวจับอิดนึ้งเพราะความแค้นส่วนตนเท่านั้น มิได้สนใจว่าแท้จริงแล้วเซียวจับอิดนึ้งเป็นจอมโจรชั่วร้ายจริงหรือไม่
เป็นการรุมล้อมสังหารผู้คนในยามเมามายไร้สติเท่านั้นเอง
แท้จริงที่พวกมันคิดสังหารเซียวจับอิดนึ้งย่อมมิใช่เพราะเซียวจับอิดนึ้งเป็นจอมโจรอื้อฉาวแห่งยุค
มิใช่เนื่องเพราะเซียวจับอิดนึ้งเป็นคนชั่วร้ายผู้หนึ่ง
ที่พวกมันคิดกำจัดเซียวจับอิดนึ้ง พวกมันย่อมไม่สนใจที่จะรู้ว่าแท้จริงแล้วเซียวจับอิดนึ้งนับเป็นคนเยี่ยงไร?
ที่พวกมันคิดกำจัดเพียงเพราะมีแต่เซียวจับอิดนึ้งตายพวกมันจึงสามารถนอนตาหลับได้ มิหนำเกียรติภูมิกลับเลื่องลือไกลอีกด้วย
ที่พวกมันทุ่มเทวิธีการทั้งมวล โดยมิได้คำนึงถึงคุณธรรมใดๆ ในการคิดกำจัดเซียวจับอิดนึ้ง เนื่องเพราะแท้จริงแล้วพวกมันล้วนกระทำเรื่องชั่วร้ายบางประการที่มิอาจบอกต่อผู้คนได้ และเรื่องชั่วร้ายเหล่านั้นล้วนถูกเซียวจับอิดนึ้งพบเห็น
พวกมันล้วนแสดงวาทกรรมประโคมโหมตนเป็นวิญญูชนคนดีงาม เป็นวีรบุรุษผู้กล้า แต่พฤติการณ์เบื้องหลังของพวกมันล้วนผิดแผกเป็นนัยกลับอย่างสิ้นเชิง !
ลี้กังได้รับการยกย่องเป็นวิญญูชนอันแท้จริงที่ไม่หวั่นไหวต่ออิสตรี แท้จริงแล้วใช่กระนั้นหรือ?
เซียวจับอิดนึ้งกลับพบว่า วิญญูชนเยี่ยงลี้กังนั้น
“...ยามอยู่เบื้องหน้าบุรุษมันอาจเป็นวิญญูชนสุภาพบุรุษ แต่พอเผชิญพบสตรีสะคราญโฉม ทั่วทั้งร่างมันคงมีแต่ผมเผ้าจึงสุภาพเรียบร้อย !”
เลี่ยงเซี้ยเปียะเล่า?
แท้จริงแล้วเลี่ยงเซี้ยเปียะเป็นวิญญูชนเยี่ยงไร ในเมื่อแท้จริงแล้วพฤติการณ์ของเตี่ยบ้อเก็กและพวกล้วนเกิดจากการกระตุ้นยุยงและกำหนดขึ้นจากความชาญฉลาดของพวกมัน
เลี่ยงเซี้ยเปียะไยต้องลงมือด้วยตนเอง!
“ซึ่งความจริงแต่ละบุคคล ล้วนมีโฉมหน้าสองประการ มีทั้งด้านดีงามและด้านชั่วร้าย มิฉะนั้นอันไม่อาจเพียงประกอบแผนการใหญ่ กระทั่งคิดมีชีวิตก็ไม่สามารถมีชีวิตสืบต่อ”
คนชั่วร้ายมิแน่ว่ามีบางครั้งสามารถประพฤติดีงามได้
คนดีงามก็มิแน่ว่ามีบางครั้งที่พวกมันมีพฤติการณ์ชั่วร้าย
มิหนำซ้ำคนที่ประโคมโหมเป็นวิญญูชนผู้สัตย์ซื่อประกอบแต่คุณธรรมความดีงาม บางครั้งกลับซ่อนเร้นพฤติการณ์อันชั่วร้ายยิ่งกว่าไว้เบื้องหลัง รอจนมนต์ขลังแห่งวาทกรรมที่พวกมันใช้ประโคมโหมความดีงามของตนเสื่อมคลาย ความจริงแท้จึงค่อยปรากฏดังที่เคยปรากฏมาแล้วในอดีตและจักปรากฏต่อไปในอนาคต
วาทกรรมมิอาจเป็นสิ่งยืนยันความเป็นวิญญูชนหรือคนชั่วร้ายของผู้คนได้ มีแต่พฤติการณ์เท่านั้นที่สามารถบ่งบอกได้ !
(2)
มือของเลี่ยงเซี้ยเปียะลูบคล้ำกระบี่ทองคำของมันอีกคราหนึ่ง นิ้วมือที่ร้อนผ่าวพอกระทบกระบี่ย่อมให้ความรู้สึกที่เย็นรื่นแก่มันประการหนึ่ง
เป็นความรู้สึกที่เย็นรื่นภายหลังความลิงโลดในชัยชนะที่มันสามารถมีเหนือเซียวจับอิดนึ้ง
เป็นความรู้สึกเย็นรื่นก่อนที่มันจักต้องตกตะลึงกับความเปลี่ยนแปรที่มันเองมิได้คาดคิดมาก่อน
ความเปลี่ยนแปรที่เกิดขึ้นบนตัวกระบี่ทองคำที่เหล่าผู้เฒ่าในท้องถิ่นมอบให้แก่มัน
ตัวกระบี่ทองคำที่เหล่าผู้เฒ่าท้องถิ่นลงนามหลังคำจารึก ‘เฮียบหงีบ้อซัง’- คุณธรรมไร้เทียมทาน ที่ยกย่องเกียรติคุณของมัน
เลี่ยงเซี้ยเปียะกลับพบว่าบัดนี้ข้อความอักษรที่จารึกได้เปลี่ยนไปแล้ว
มันพบว่าข้อความจารึกตัวอักษรส่วนหนึ่งตลบกลับ
‘เฮียบหงีบ้อซัง’กลับกลายเป็น‘เฮียบหงีซังบ้อ’- คุณธรรมไร้ทั้งสิ้น
เปลี่ยนรายชื่อผู้ลงนามเป็น ‘จอมโจรเซียวจับอิดนึ้งน้อมกำนัล’
หรือนี่เนื่องเพราะเกียรติคุณของความเป็นวิญญูชนผู้มีคุณธรรมไร้เทียมทานของมันล้วนมิใช่วิญญูชนผู้มีคุณธรรมไร้เทียมทานอีกต่อไป?
ในวงบู๊ลิ้มล้วนให้การยกย่องเลี่ยงเซี้ยเปียะเป็นวิญญูชนไร้ตำหนิ
แม้บ้านของมัน ผู้คนยังเรียกเป็นหมู่บ้านไร้ตำหนิ!
เป็นหมู่บ้านบ้อเฮี้ยซัวจึง-หมู่บ้านไร้ตำหนิที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางขุนเขา และตั้งตระหง่านอยู่ในจิตใจคน
เป็นวิญญูชนที่คล้ายกับเป็นผู้เปรื่องปราดยิ่ง เกิดในตระกูลสูงส่งยิ่ง!
บุคลิกคมคายสง่ายิ่ง!
ฝีมือวิชาการต่อสู้ล้ำเลิศยิ่ง!
ทันทีที่เซียวจับอิดนึ้งได้พบเห็นเลี่ยงเซี้ยเปียะ แม้มันไม่เคยรู้จักเลี่ยงเซี้ยเปียะแต่เมื่อพบเห็นบุรุษหนุ่มที่ท่วงท่าเรียบร้อยสำรวม ที่ในความเรียบร้อยนุ่มนวลนั้นกลับแฝงไว้ซึ่งอำนาจราศีอันสูงสง่าสุดอาจเอื้อมอยู่ เซียวจับอิดนึ้งย่อมรู้ได้ทันทีว่าบุรุษผู้นี้ย่อมเป็นเลี่ยงเซี้ยเปียะ
ทันที่ที่เลี่ยงเซี้ยเปียะเหลือบเห็นเซียวจับอิดนึ้ง มันก็คล้ายเห็นความผิดแผกแตกต่างไปจากผู้คนทั่วไปของเซียวจับอิดนึ้งที่มันเองมิอาจจะบอกได้
เลี่ยงเซี้ยเปียะคิดจะหยุดชมดูเซียวจับอิดนึ้ง แต่มันมิอาจกระทำได้เนื่องจากมันเป็นวิญญูชน
เป็นวิญญูชนที่เห็นว่าการเขม้นมองคนผู้หนึ่งเป็นเรื่องเสียมารยาทอย่างยิ่งยวด
ชั่วชีวิตของเลี่ยงเซี้ยเปียะ ไม่เคยเสียมารยาทต่อผู้ใดมาก่อน!
เป็นวิญญูชนที่ย่อมไม่เคยสร้างความยากลำบากใจแก่ผู้คนมาก่อน!
เป็นวิญญูชนที่ยึดถือมารยาทอย่างเคร่งครัด เรื่องที่บุคคลอื่นมิยอมบอก ย่อมไม่คุกคามเค้นถามเด็ดขาด
เป็นวิญญูชนที่ดูสงบเยือกเย็นและมั่นคงตลอดกาล
เลี่ยงเซี้ยเปียะเป็นวิญญูชน
โก้วเล้งมีความเห็น
“คนโง่งมย่อมมิใช่วิญญูชน แต่วิญญูชนจะมากน้อยต้องแฝงความโง่งม การประพฤติตนเป็นวิญญูชนมิใช่เรื่องชาญฉลาดจริงๆ”
การประพฤติตนเป็นวิญญูชนของเลี่ยงเซี้ยเปียะนับมิใช่เรื่องชาญฉลาดจริงๆ!
อย่างน้อยมันก็ทราบ
แต่เนื่องเพราะมันคิดเป็นวิญญูชน และเนื่องเพราะผู้คนทั่วไปล้วนยกย่องมันเป็นวิญญูชน ดังนั้นสิ่งที่มันคิดกระทำบางครั้งมันจึงมิอาจที่จะกระทำ
เลี่ยงเซี้ยเปียะหมั้นหมายกับซิมเปียะกุน
แม้มันจะรักนางอย่างยิ่ง ปรารถนาจะเคียงคู่นางตลอดเวลาอย่างยิ่ง แต่เนื่องเพราะมันเป็นวิญญูชน ดังนั้นสิ่งที่มันคิดกระทำจึงมิได้กระทำ
“บุคคลเช่นเลี่ยงเซี้ยเปียะ เพราะเพื่อศักดิ์ศรีเกียรติภูมิ กระทั่งชีวิตตนเองยังไม่คำนึง ย่อมละเลยลืมเลือนคู่หมั้นไปชั่วขณะ”
เสียวกงจื้อกล่าวไม่ผิด
“...เราหากเป็นสตรี ยินยอมแต่งงานกับเซียวจับอิดนึ้ง ไม่ขอแต่งกับเลี่ยงเซี้ยเปียะ”
เนื่องเพราะเซียวจับอิดนึ้งมิใช่วิญญูชน เซียวจับอิดนึ้งจึงผิดแผกไปจากเลี่ยง เซี้ยเปียะ
“คนเยี่ยงเซียวจับอิดนึ้ง หากรักใคร่สตรีนางหนึ่งจะไม่คำนึงถึงทุกสรรพสิ่ง แต่เลี่ยงเซี้ยเปียะมีเรื่องผูกพันกังวลมากไป การเป็นภรรยาคน เยี่ยงนีมิสุขสบายนัก”
ซิมเปียะกุนย่อมรับรู้คำร่ำลือเกี่ยวกับเซียวจับอิดนึ้งว่ามันนับเป็นจอมโจรผู้อื้อฉาวในวงบู๊ลิ้มยุคนั้น เป็นจอมโจรที่ผู้คนกล่าวขวัญถึง- มิว่าเรื่องราวชั่วร้ายประการใดล้วนเป็นการกระทำของเซียวจับอิดนึ้ง
ดูเหมือนว่าเรื่องราวที่เป็นความชั่วร้ายทั้งมวลในวงบู๊ลิ้มยุคนั้นล้วนถูกผู้คนยกให้เป็นการกระทำของเซียวจับอิดนึ้งทั้งสิ้น
แต่เมื่อชะตากรรมของซิมเปียะกุนผันแปร ได้มีโอกาสรู้จักและร่วมสุขร่วมทุกข์กับเซียวจับอิดนึ้ง นางกลับพบว่าคำร่ำลือเกี่ยวกับมันล้วนเป็นเพียงคำร่ำลือที่ไม่มีความจริงแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันนางก็เริ่มมองเห็นความจริงอีกด้านหนึ่งของเลี่ยงเซี้ยเปียะ
เป็นความจริงอีกด้านหนึ่งของวิญญูชนไร้ตำหนิเยี่ยงเลี่ยงเซี้ยเปียะ!
ระหว่างเซียวจับอิดนึ้งกับซิมเปียะกุน ความสัมพันธ์และความรักที่ก่อเกิดขึ้นในท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งย่อมทำให้ทั้งสองเข้าใจซึ้งถึงแก่นแท้ของฝ่ายตรงข้าม ในขณะที่ซิมเปียะกุนนับเป็นกุลสตรีดีงามยิ่ง จะอย่างไรนางก็หมั้นหมายอยู่กับเลี่ยงเซี้ยเปียะ ดังนั้นแม้นางจะรักเซียวจับอิดนึ้งอย่างยิ่ง นางก็มิอาจที่จะใช้ชีวิตร่วมอยู่ท่ามกลางหุบเขารกร้างกับมันได้ เซียวจับอิดนึ้งก็รักนางเกินกว่าที่จะเห็นแก่ตัวเหนี่ยวรั้งให้นางกระทำในสิ่งที่ผิดคุณธรรมของกุลสตรีได้ ดังนั้นเซียวจับอิดนึ้งจึงได้แต่ตัดสินใจส่งตัวซิมเปียะกุนกลับคืนให้กับเลี่ยงเซี้ยเปียะด้วยความปวดร้าวยิ่ง
ซิมเปียะกุนตัดสินใจจากเซียวจับอิดนึ้งกลับคืนสู่อ้อมอกของเลี่ยงเซี้ยเปียะด้วยเหตุผลสำคัญ- นางไม่ควรกระทำความผิดต่อเลี่ยงเซี้ยเปียะ แต่ชั่วระยะเพียงไม่ทันข้ามคืนนางกลับพบเห็นธาตุแท้ของวิญญูชนเยี่ยงเลี่ยงเซี้ยเปียะ
ซิมเปียะกุนกลับพบว่าที่แท้วิญญูชนเยี่ยงเลี่ยงเซี้ยเปียะกลับเป็นวิญญูชนจอมปลอมผู้หนึ่งเท่านั้น
เป็นบุคคลที่สวมหน้ากากความเป็นวิญญูชนผู้หนึ่งเท่านั้น!
เลี่ยงเซี้ยเปียะ- แท้ที่จริงมันนับเป็นบุคคลที่น่าเห็นใจยิ่ง บางครั้งกลับน่าเห็นใจยิ่งกว่าเซียวจับอิดนึ้ง ผู้คนรู้จักมันในฐานะของวิญญูชนไร้ตำหนิ คำ‘วิญญูชนไร้ตำหนิ’กลับเป็นพันธะผูกมัดมิให้มันสามารถกระทำในสิ่งที่มันคิดจักกระทำได้ มันแม้มีคู่หมั้นที่เพียงพร้อมไปด้วยความงามและความเป็นกุลสตรีที่ดีงาม แต่มันก็มิอาจที่จะแสดงออกถึงความรักระหว่างหนุ่มสาวได้อย่างอิสระ ความเป็นวิญญูชนไร้ตำหนิทำให้เลี่ยงเซี้ยเปียะต้องห่างเหินจากนางจนดูราวกับว่ามันมิได้ให้ความสำคัญกับนางมากนัก ดังนั้นเมื่อชะตากรรมได้ชักนำเซียวจับอิดนึ้งมาสอดแทรกกลางระหว่างบุคคลทั้งสอง โศกนาฏกรรมแห่งความรักจึงเกิดขึ้น
เนื่องเพราะเลี่ยงเซี้ยเปียะเกรงกลัวที่จะสูญเสียคนรัก
เนื่องเพราะเลี่ยงเซี้ยเปียะย่อมมีความรักต่อซิมเปียะกุนอย่างยิ่ง
เนื่องเพราะเลี่ยงเซี้ยเปียะรักซิมเปียะกุนลึกล้ำยิ่ง
ดังนั้นมันจึงแค้นเซียวจับอิดนึ้งอย่างยิ่ง แค้นเซียวจับอิดนึ้งลึกล้ำยิ่งดุจเดียวกัน
คำ‘วิญญูชนไร้ตำหนิ’ทำให้เลี่ยงเซี้ยเปียะมิอาจแสดงความรักและความแค้นที่มีอยู่ในใจของมันออกมาให้ผู้ใดมองเห็นได้
คำ‘วิญญูชนไร้ตำหนิ’จึงคล้ายเป็นคำที่ยิ่งทำให้ความรักและความแค้นของมันยิ่งล้ำลึกสุดหยั่งคาดได้
ธาตุแท้ที่เป็นความจริงอีกด้านหนึ่งของมนุษย์ที่ถูกคำ‘วิญญูชนไร้ตำหนิ’บีบบังคับกดดันไว้ในส่วนลึกของจิตใต้สำนึกจึงแสดงออกมาในอีกด้านหนึ่งของพฤติกรรมที่เลวร้ายสุดหยั่งคาดได้
และเนื่องเพราะคำ‘วิญญูชนไร้ตำหนิ’และ‘คุณธรรมไร้เทียมทาน’ ซึ่งนับเป็นเกียรติภูมิที่มันจักต้องรักษาไว้ แผนการชำระความแค้นทำลายล้างเซียวจับอิดนึ้งจึงยิ่งลึกล้ำยิ่ง โหดอำมหิตยิ่ง
เพื่อให้สามารถแก้แค้นได้สำเร็จ เพื่อรักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิ ชื่อเสียงและศักดิ์ศรี เลี่ยงเซี้ยเปียะจึงยินยอมทุกอย่าง แม้จะต้องใช้ชีวิตของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสหายและพวกพ้องบริวารของมัน เป็นเครือญาติหรือผู้สนิทชิดเชื้อกับมันสังเวยไปสักกี่มากน้อยก็ตาม
เลี่ยงเซี้ยเปียะจงใจให้เตียบ้อเก็กและพวกทั้งสี่รับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับเซียวจับอิดนึ้งจากปากของซิมเปียะกุน กระตุ้นให้พวกมันไปฆ่าเซียวจับอิดนึ้งแทนตน เพื่อตนจะได้พ้นมลทินข้อกล่าวหาไล่ล่าคนเมามายหมดหนทางสู้ ยังคงความเป็นวิญญูชนไว้ตลอดกาล เมื่อมีผู้รู้ซึ้งถึงธาตุแท้ของมันเยี่ยงซีทู้ตงเพ้ง
“ท่านมิได้ร่วมเดินทางไปกับพวกมัน เนื่องเพราะทราบว่า เซียวจับอิดนึ้งเมามายแล้ว เตี่ยบ้อเก็กและพวกต้องลงมือประสบผล ซึ่งความจริง ใจจริงท่านก็คิดใคร่ฆ่าเซียวจับอิดนึ้งถึงแก่ชีวิต มิหนำซ้ำเหตุผลของท่าน ยังมากมายเพียบพร้อมกว่าพวกเรา...”
“เราเพียงคิดบอกว่า เลี่ยงกงจื้อเมื่อครู่หากฆ่าเซียวจับอิดนึ้งลำบากเพียงยกมือ แต่หากถูกคนล่วงรู้ว่า เลี่ยงกงจื้อก็ฉกฉวยโอกาสที่ผู้อื่นประสบภัย ลงมือจู่โจมซ้ำเติม ไยมิใช่เสื่อมเสียเกียรติภูมิของท่าน...”
“...เมื่อมีคนมุ่งมั่นสังหารเซียวจับอิดนึ้ง เลี่ยงกงจื้อไยต้องลงมือด้วยตัวเอง?”
เลี่ยงเซี้ยเปียะได้แต่กำจัดสหายร่วมเส้นทางวิญญูชนเยี่ยงซีทู้ตงเพ้ง!
สังหารซีทู้ตงเพ้งเพียงเพื่อให้แผนการยืมมือผู้คนกำจัดเซียวจับอิดนึ้งของตนเป็นความลับตลอดกาล
แต่เมื่อเซียวจับอิดนึ้งสามารถรอดชีวิตสืบต่อไปได้ เลี่ยงเซี้ยเปียะกลับไม่รีบร้อนที่จะสังหารเซียวจับอิดนึ้งด้วยตนเอง
ความคิดและแผนการของเลี่ยงเซี้ยเปียะกลับยิ่งลึกซึ้งและโหดร้ายอำมหิตยิ่งขึ้น
เป็นแผนการที่มุ่งหวังให้เซียวจับอิดนึ้งจบสิ้นชีวิตลงไปพร้อมๆ กับความเป็นโจรร้ายผู้อื้อฉาวแห่งยุค
ให้คำร่ำลือ ‘จอมโจรชั่วร้าย’คงอยู่กับชื่อเซียวจับอิดนึ้งตลอดกาล!
ตอกตรึงให้ความเป็น‘จอมโจรชั่วร้าย’ของเซียวจับอิดนึ้งติดแน่นอยู่ในใจของซิมเปียะกุนตลอดกาล!
ให้คำ ‘คุณธรรมไร้เทียมทาน’ คงอยู่กับมันตลอดกาล!
แต่มันจักสามารถกระทำได้หรือ?
วันที่เซียวจับอิดนึ้งท้าสู้เทพสำราญ-เซียวเอี้ยโฮ้ว ณ ผาฆ่าคน เลี่ยงเซี้ยเปียะดูคล้ายคนผิดหวังที่เมามายไม่ได้สติผู้หนึ่ง
มันที่แท้มายมายจริงหรือแสร้งเมามาย?
เซียวจับอิดนึ้งอาจสามารถเอาชัยเหนือเทพสำราญได้ แต่ผู้ที่ได้ชัยอย่างแท้จริงในครั้งนั้นกลับมิใช่เซียวจับอิดนึ้ง
กลับเป็นเลี่ยงเซี้ยเปียะ!
ภายหลังที่เซียวจับอิดนึ้งสามารถเอาชัยเหนือเทพสำราญได้แล้ว ปรากฏหน่วยงานฟ้าของเทพสำราญขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง คล้ายดั่งว่าแท้จริงแล้วเทพสำราญยังมิจบชีวิตและมุ่งแก้แค้นเซียวจับอิดนึ้ง ขณะเดียวกันวิถีชีวิตของเซียวจับอิดนึ้งก็ถูกผู้คนบันดาลให้เปลี่ยนแปลงไป เปลี่ยนแปลงจากเซียวจับอิดนึ้งที่เป็นจอมโจรอื้อฉาวกลายเป็นวีรบุรุษผู้กล้าที่มีชื่อเสียงกระเดื่องวงบู๊ลิ้ม มีทรัพย์สมบัติมหาศาล
ไม่มีผู้ใดทราบว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่แท้จริงของแผนการร้ายครั้งนี้ กลับเป็นเลี่ยงเซี้ยเปียะ
เลี่ยงเซี้ยะเปียะที่เป็นวิญญูชนผู้มี ‘คุณธรรมไร้เทียมทาน’ ของวงบู๊ลิ้มยุคนั้น
หากเลี่ยงเซี้ยเปียะไม่บ่งบอกออกมาด้วยตนเอง แม้เซียวจับอิดนึ้งพอจะคาดเดาได้ แต่มันก็ไม่กล้ายืนยันอย่างเด็ดขาดได้เลยว่าเป็นแผนการของเลี่ยงเซี้ยเปียะ
เลี่ยงเซี้ยเปียะอาศัยเซียวจับอิดนึ้งกำจัดบริวารของเทพสำราญที่ไม่ยินยอมพร้อมใจให้มันเป็นผู้นำหน่วยงานฟ้าแทนตน อาศัยเซียวจับอิดนึ้งกำจัดผู้รู้ศักดิ์ศรีที่แท้จริงของมันแทนตน
เลี่ยงเซี้ยเปียะทุ่มเทวิธีการต่างๆ ทำให้เซียวจับอิดนึ้งมีชื่อเสียง มีทรัพย์สินเงินทองมหาศาลจนกระทั่งมีศักดิ์ศรีขึ้นถึงจุดสุดยอด จากนั้นจึงให้เซียวจับอิดนึ้งร่วงหล่นลงมา เพียงเพื่อให้เซียวจับอิดนึ้งมีชีวิตอยู่อย่างปวดร้าว ให้ซิมเปียะกุนสิ้นหวังในตัวของเซียวจับอิดนึ้งและยินยอมหวนกลับไปหามันทั้งกายและใจ
แผนการที่มันทุ่มเททั้งกายใจ ทรัพย์สินเงินทองและชีวิตผู้คนทั้งหมดของมันล้วนเป็นไปเพียงเพื่อกำจัดเซียวจับอิดนึ้งเพียงคนเดียว
เพื่อทำลายเซียวจับอิดนึ้งเพียงคนเดียว
เพื่อทำลายความรัก ความศรัทธาและความเชื่อมั่นที่ซิมเปียะกุนมีต่อเซียวจับอิดนึ้งเพียงประการเดียว
แท้จริงแผนการนี้ ยากนักที่จะมีผู้ใดต้านรับได้
แผนการที่ลึกซึ้งซับซ้อนเยี่ยงนี้ หากมิใช่ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งลึกซึ้งสุดพิสดารเยี่ยงเซียวจับอิดนึ้งแล้วยากนักที่จะสามารถต้านรับได้
หากแผนการของเลี่ยงเซี้ยเปียะสำเร็จ มิเพียงเซียวจับอิดนึ้งจะกลายเป็นคนไร้ค่า เป็นจอมโจรชั่วร้ายตลอดกาลเท่านั้น เลี่ยงเซี้ยเปียะกลับสามารถมีเกียรติภูมิ อำนาจและบารมีในวงบู๊ลิ้มอย่างยากที่จะหาผู้ใดเทียบเทียมได้
เลี่ยงเซี้ยเปียะก็จะเป็นเช่นหยกขาวไร้ตำหนิ มีคุณธรรมไร้ผู้เทียมทาน เป็นวีรบุรุษในวีรบุรุษ เป็นผู้กล้าในผู้กล้าตลอดกาล
หมู่ตึกไร้ตำหนิของมันจะเป็นสัญลักษณ์ของ‘คุณธรรม’ในจิตใจของผู้คน ได้รับการยกย่องจากอนุชนคนรุ่นหลังตราบนานเท่านาน
แต่ชัยชนะที่แท้จริงจะสามารถเกิดขึ้นกับวิญญูชนเยี่ยงเลี่ยงเซี้ยเปียะกระนั้นหรือ?
เลี่ยงเซี้ยเปียะกล่าวยอมรับกับซีทู้ตงเพ้ง
“ซึ่งความจริงแต่ละบุคคล ล้วนมีโฉมหน้าสองประการ มีทั้งด้านดีงามและชั่วร้าย มิฉะนั้นมันไม่เพียงอาจประกอบแผนการใหญ่ กระทั่งคิดมีชีวิตก็ไม่สามารถมีชีวิตสืบต่อ”
ชีวิตด้านหนึ่งของเลี่ยงเซี้ยเปียะย่อมเป็นวิญญูชนไร้ตำหนิผู้มีคุณธรรมไร้เทียมทาน แต่ในอีกด้านหนึ่งใช่สมควรนับเป็นผู้มีพฤติกรรมลึกซึ้งชั่วร้ายยิ่ง เช่นเดียวกับเซียวจับอิดนึ้ง ในคำร่ำลือของผู้คนล้วนบอกมันเป็นโจรชั่วอำมหิต เรื่องราวและพฤติการณ์ชั่วร้ายทั้งมวลล้วนบอกว่าเป็นมันกระทำทั้งสิ้น แท้จริงใครเป็นคนดีงามใครเป็นคนชั่วร้ายนับยากยิ่งที่จะระบุให้แน่ชัด
ยิ่งมิอาจระบุตัดสินแน่ชัดจากคำร่ำลือหรือพฤติการณ์ที่เป็นเปลือกนอกชั่วครั้งชั่วคราว
และยิ่งมิอาจยึดถือจากคำพูดของผู้คน!
ผู้คนที่คิดประกอบแผนการใหญ่เพื่อการมีอำนาจ มีชื่อเสียงเกียรติยศ มีทรัพย์สินเงินทองมหาศาล
และยิ่งมิอาจยึดถือจากวาทกรรมของผู้ยกย่องตนเองเป็นวิญญูชนผู้มีคุณธรรมไร้เทียมทาน!
บุคคลเยี่ยงเซียวจับอิดนึ้ง หากมันเป็นโจรร้ายผู้อื้อฉาวจริงย่อมมิยากต่อการที่จะกำจัด แต่บุคคลชั่วร้ายเยี่ยงเลี่ยงเซี้ยเปียะผู้อ้างตนเป็นวิญญูชนไร้ตำหนิ มีคุณธรรมไร้เทียมทานเล่ามีผู้ใดสามารถกำจัดได้
มิเพียงปล่อยให้บุคคลเยี่ยงมันมีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้น มิหนำมันยังสามารถเป็นผู้มีคุณธรรมความดีงามที่ได้รับการยกย่องจากผู้คนอีกด้วย
ในวงบู๊ลิ้มโก้วเล้งอาจสามารถพิสูจน์ให้ผู้คนยอมรับ- จอมโจรชั่วร้ายเยี่ยงเซียวจับอิดนึ้งที่แท้อาจเป็นคนดีงาม วิญญูชนไร้ตำหนิเยี่ยงเลี่ยงเซี้ยเปียะที่แท้กลับเป็นคนชั่วร้ายลึกซึ้งยิ่ง แต่ในโลกแห่งความจริงเล่าบุคคลเยี่ยงเซียวจับอิดนึ้งและเลี่ยงเซี้ยเปียะจะมีใครสามารถบ่งบอกได้ว่าผู้ใดเป็นคนดีงามเป็นคนชั่วร้าย
อาจบางที, ทั้งเซียวจับอิดนึ้งและเลี่ยงเซี้ยเปียะล้วนเป็นคนดีงาม
อาจบางที, ทั้งเซียวจับอิดนึ้งและเลี่ยงเซี้ยเปียะล้วนเป็นคนชั่วร้าย
ดีงามหรือชั่วร้ายแท้จริงแล้วใครสามารถตัดสินพิพากษาได้?
น่าเสียดายที่บุคคลในยุคสมัยนี้มักยึดเอาคำร่ำลือและพฤติการณ์เพียงบางด้านที่เป็นเปลือกนอกเป็นเครื่องตัดสินพิพากษาผู้อื่น
ยึดอคติส่วนตนที่ชอบหรือไม่ชอบเป็นเครื่องมือในการตัดสินพิพากษาชีวิตของผู้อื่น
หรือนี่คือโศกนาฏกรรมประการหนึ่งของมนุษยชาติ?!
ในบู๊ลิ้มขณะนั้นล้วนร่ำลือถึงบุคคลผู้หนึ่ง ในคำร่ำลือนั้นถึงกับกล่าวว่าคนผู้นั้นนับเป็นจอมโจรชั่วร้ายที่มิอาจมีผู้ใดในยุคนั้นชั่วร้ายอำมหิตยิ่งกว่าแล้ว
เป็น ‘เซียวจับอิดนึ้ง’!
เป็นเซียวจับอิดนึ้งที่มีวิชาฝีมือเป็นเลิศยากจะหาผู้ใดทาบติด
เป็นเซียวจับอิดนึ้งที่ชั่วร้ายอำมหิตยากที่จะมีผู้ใดเสมอเหมือน
เป็นจอมโจรอื้อฉาวที่มีเพียงวิญญูชนไร้ตำหนิเยี่ยงเลี่ยงเซี้ยเปียะเท่านั้นที่พอจะสามารถรับมือได้
เลี่ยงเซี้ยเปียะนับเป็นวิญญูชนไร้ตำหนิในยุคนั้นจริงๆ!?
วิชาฝีมือของคนทั้งสอง-หนึ่งแกร่งกร้าวสุดยอด หนึ่งอ่อนหยุ่นถึงขีดสุด กลับคล้ายเป็นศัตรูคู่อริมาแต่กำเนิด
ระหว่างมันทั้งสอง กลับหมายปองอิสตรีคนเดียวกัน
ซิมเปียะกุน!
โก้วเล้งมักบอกต่อผู้คน:-
“เรื่องที่ตนเองเห็นมากับตา ยังมิแน่นักจะยึดถือเป็นจริงเป็นจังได้ อย่าว่าแต่เพียงรับทราบจากคำร่ำลือ”
เรื่องราวที่เกี่ยวกับเซียวจับอิดนึ้งล้วนเป็นผู้คนร่ำลือ
พฤติกรรมของเลี่ยงเซี้ยเปียะอาจมีผู้คนจำนวนไม่น้อยเห็นมากับตา แต่ใช่ทุกประการสามารถเห็นกับตาได้หรือไม่?
ที่แท้คำร่ำลือจอมโจรชั่วร้าย ฉายาวิญญูชนไร้ตำหนิล้วนสามารถยึดถือเป็นข้อเท็จจริงได้ทั้งสิ้น?
ชนชาวบู๊ลิ้มยุคนั้นพากันกล่าวคำร่ำลือถึงวิชาฝีมือเซียวจับอิดนึ้งและเลี่ยงเซี้ยเปียะ:-
“...เซียวจับอิดนึ้งเป็นอัจฉริยะบู๊ลิ้มผู้หนึ่ง เพลงดาบเป็นเอกเทศ นับแต่ออกท่องเที่ยวมิเคยเผชิญพบคู่มือเปรียบติด...”
“เพลงดาบเซียวจับอิดนึ้ง คล้ายฟ้าแลบลั่นอสนีทลาย เพลงกระบี่เลี่ยงเซี้ยเปียะ กลับคล้ายสายลมชุนเทียนโชยลูบไล้ แสงจันทร์สกาวอาบไล้ ทั้งสอง หนึ่งแกร่งกร้าวหนึ่งอ่อนหยุ่น ล้วนบรรลุถึงจุดสูงสุด นับแต่โบราณกาลมา อ่อนหยุ่นสามารถสยบแกร่งกร้าว ทอดตาทั่ววงนักเลง หากบอกว่ามีคนเอาชัย เซียวจับอิดนึ้งได้ เกรงว่ามีแต่เลี่ยงเซี้ยเปียะคนเดียว!”
ในด้านพฤติกรรมของบุคคลทั้งสอง ที่ชนชาวบู๊ลิ้มรับรู้ เซียวจับอิดนึ้งย่อมเป็นโจรร้ายอำมหิตยิ่ง :-
“เซียวจับอิดนึ้งเป็นมหาโจรที่ฆ่าโดยมิกระพริบตา พลังฝีมือสูงล้ำสุดยอด ชาติกำเนิดเร้นลับปริศนา ร่องรอยลี้ลับยากคำนวณ น้อยคนนักที่สามารถเห็นโฉมหน้าแท้จริงของมัน”
มีบ้างบางคนถึงกับกล่าว :-
“เซียวจับอิดนึ้ง? ระหว่างนี้เราไฉนได้ยินแต่นามคนผู้นี้ร่ำไป คล้ายกับเรื่องชั่วร้ายในใต้หล้า ล้วนถูกมันกระทำหมดสิ้น”
แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็เป็นดั่งเอี้ยไคไถ่ที่เพียงฟังแต่คำร่ำลือ แม้พวกมันกำลังเผชิญหน้าอยู่กับเซียวจับอิดนึ้งแล้ว มันกลับมิรู้จัก เซียวจับอิดนึ้งจึงเป็นเพียงผู้ที่ผู้คนทั่วไปรู้จักจากคำร่ำลือเท่านั้น
“เราแม้ไม่รู้จักมัน แต่ทราบว่ามันเป็นจอมโจรประกอบแต่ความชั่วร้าย บุคคลเยี่ยงนี้มิว่าผู้ใดก็สามารถฆ่าทิ้ง เราไหนเลยไม่อาจตัดใจได้”
มีผู้ใดสามารถเห็นเซียวจับอิดนึ้งประกอบเรื่องไร้คุณธรรมเป็นจอมโจรอำมหิตกับตาตนเองบ้างหรือไม่?
เลี่ยงเซี้ยเปียะในสายตาของชนชาวบู๊ลิ้มขณะนั้นกลับแตกต่างไปจากเซียวจับอิดนึ้ง
เลี่ยงเซี้ยเปียะกลับได้รับการยกย่องเป็นวิญญูชน
เป็นวิญญูชนไร้ตำหนิแห่งบ้อเฮี้ยซัวจึง
เป็นหนึ่งใน“ลักกุนจื้อ”-หกวิญญูชนรุ่นเยาว์ที่มีชื่อเสียงกระเดื่องบู๊ลิ้มยิ่งยุคนั้น
หกวิญญูชนที่ประกอบด้วยมัน- เลี่ยงเซี้ยเปียะ เอี้ยไคไถ่ ลิ้วเส็กแช ลี้กัง จูแป๊ะจุ้ย และฉื่อแชติ้ง
สำหรับเลี่ยงเซี้ยเปียะแล้ว ในหกวิญญูชนมันนับว่าโดดเด่นที่สุด
โดดเด่นทั้งวิชาฝีมือที่เลิศล้ำและชาติตระกูลที่สูงส่ง
โดดเด่นทั้งภาพของความเป็นวิญญูชนที่ควรแก่การยกย่อง
“เลี่ยงเซี้ยเปียะเป็นทายาทตระกูลสูงศักดิ์ ประพฤติเมตตาเที่ยงธรรม ไม่มุ่งหวังชื่อเสียงเกียรติภูมิ กระทำเพื่อบุคคลอื่น คู่ควรกับการรับคำไต้เฮี้ยบ(วีรบุรุษ) มิว่ามันไปถึงที่ใด ผู้อื่นล้วนให้ความเคารพนบนอบ กล่าวได้ว่ามันเข้าถึงจิตใจผู้คน ได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้น”
ผู้คนล้วนยกย่องพวกมัน:- “...หากวิจารณ์ด้านเกียรติภูมิและพลังฝีมือ มิมีผู้ใดเหนือกว่าคนทั้งหกนี้” พวกมันนอกจากเป็นทายาทตระกูลเลื่องชื่อ เป็นศิษย์สำนักมาตรฐานแล้ว ชนชาวบู๊ลิ้มยังเห็นว่า ทั้งหมดล้วนประพฤติเที่ยงธรรมเปิดเผยหมดจดยิ่ง
หากมีผู้ใดบอกว่าเลี่ยงเซี้ยเปียะและเหล่าวิญญูชนทั้งหลายมีพฤติการณ์บางประการที่ปราศจากคุณธรรม ย่อมมิมีผู้ใดเชื่อถือ
นอกจากมิยินยอมเชื่อถือแล้วมีไม่น้อยที่อาจออกรับแทนมัน
มีไม่น้อยที่เจ็บแค้นแทนมัน!
ระหว่างเซียวจับอิดนึ้งกับเลี่ยงเซี้ยเปียะกับพวกทั้งหกและเหล่าผู้ที่ได้รับการยกย่องเป็นวิญญูชนเกลื่อนวงบู๊ลิ้มขณะนั้นจึงนับได้ว่าแตกต่างกันยิ่ง
เซียวจับอิดนึ้งมีใดที่สามารถสู้เลี่ยงเซี้ยเปียะทั้งหกได้
บุตรสารถีควบขับรถอันธรรมดาสามัญ วิชาฝีมือที่มิอาจยืนยันได้มาได้รับการถ่ายทอดจากปรมาจารย์สำนักมาตรฐานแห่งใด เยี่ยงนี้มีอันใดสามารถสู้กับเลี่ยงเซี้ยเปียะได้!
แต่พฤติการณ์ของบุคคลทั้งหมดนี้ ผู้ใดสมควรถูกประณามเป็นโจรร้ายหรือสมควรได้รับการยกย่องเป็นวิญญูชนที่แท้จริง
เพียงคำร่ำลือสามารถยึดถือเป็นจริงเป็นจังได้?
เพียงพฤติกรรมบางประการสามารถตัดสินความดีงามหรือชั่วร้ายของผู้ผู้คนอย่างแน่ชัดได้ ?
ซิมเปียะกุนอาจถูกนับเป็นโฉมสะคราญอันดับหนึ่งของแผ่นดิน แท้จริงการที่นางได้หมั้นหมายกับเลี่ยงเซี้ยเปียะ ชาวบู๊ลิ้มล้วนกล่าวขวัญทั้งคู่มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง คล้ายดั่งเยี่ยงนี้ไม่เคยมีมาแต่โบราณกาลและยากที่จะมีอีกในอนาคต
ซิมเปียะกุนนับเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงามยิ่ง มีกิริยานุ่มนวลยิ่ง บริสุทธิ์ยิ่ง
นางนับเป็นกุลสตรีในห้องหอที่บริสุทธิ์ยิ่ง!
แต่นี่นับเป็นโชควาสนาหรือคราวเคราะห์ของนาง
หากนางไม่ได้เป็นโฉมสะคราญอันดับหนึ่งของแผ่นดิน และมิได้เป็นคู่หมั้นคู่หมายของเลี่ยงเซี้ยเปียะ นางคงไม่ประสบชะตากรรมที่แสนทราม ลำบากยากเข็ญยิ่งทั้งทางกายและทางจิตใจ
ไยนางมิใช่สามารถที่จะเสพสุขได้อย่างสุขสงบยิ่ง! มีครอบครัวที่มีความสุขยิ่ง
แต่หากไม่มีนาง มีผู้ใดสามารถเข้าใจถึงแก่นแท้ของเซียวจับอิดนึ้งกับเลี่ยง เซี้ยเปียะและพวกได้เล่า?
หากเทพสำราญมิมุ่งหวังในตัวของนางอันเนื่องมาจากกิตติศัพท์ความงามของนาง ซิมเปียะกุนย่อมตกแต่งกับเลี่ยงเซี้ยเปียะใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านไร้ตำหนิอย่างเงียบสงบ ปล่อยให้เซียวจับอิดนึ้งยังคงเป็นโจรร้ายอำมหิตตลอดกาล เลี่ยงเซี้ยเปียะยังคงเป็นวิญญูชนตลอดไป
เนื่องเพราะเทพสำราญวางแผนที่จะได้ตัวซิมเปียะกุน ทำให้เซียวจับอิดนึ้งต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้ พาตัวเข้าไปผูกมัดสัมพันธ์กับซิมเปียะกุนจนทำให้วิถีชีวิตอันแสนจะราบเรียบของนางต้องเปลี่ยนแปรไป
นางได้รู้จักจอมโจรเยี่ยงเซียวจับอิดนึ้งได้ลึกซึ้งขึ้น
เข้าใจความเป็น“วิญญูชน”ของเลี่ยงเซี้ยเปียะและพวกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เข้าใจถึงแก่นแท้ของบุคคลบางประเภทที่ได้รับการยกย่องเป็นวิญญูชนได้อย่างลึกซึ้งยิ่ง
คนผู้หนึ่งมิอาจที่จะคำนวณพฤติการณ์ว่าเป็นประพฤติตนเป็นผู้มีคุณธรรมประกอบแต่ความดีงามหรือเป็นบุคคลชั่วร้ายจากคำร่ำลือของผู้คนได้
ผู้คนบางคนคล้ายกับเป็นคนชั่วร้ายแต่พวกมันนับเป็นคนชั่วร้ายจริงหรือไม่?
ผู้คนบางคนคล้ายกับเป็นคนดีงาม แต่พฤติการณ์อันเป็นแก่นแท้ของพวกมันใช่สามารถนับเป็นคนดีงามได้จริงๆ หรือไม่?
วิญญูชนเยี่ยงดาบทองหมื่นชนะแพ้พงปวยและมือกระบี่หน้าหยกลิ้วย่งน้ำที่ดูสัตย์ซื่อมีคุณธรรมยิ่งไฉนที่คนหนึ่งกลับมีเบื้องหลังเป็นโจรราคะย่ำยีดรุณีในห้องหอเดือนหนึ่งอย่างน้อยเจ็ดแปดคน และอีกคนหนึ่งกลับใช้ฐานะสำนักคุ้มกันภัยของตนปล้นชิงเอาทรัพย์สินของลูกค้าสร้างฐานะความร่ำรวยให้แก่ตน
พวกมันเป็นสหายเลี่ยงเซี้ยเปียะแต่กลับมีพฤติการณ์คิดทำร้ายย่ำยีคู่หมั้นคู่หมายของเลี่ยงเซี้ยเปียะ!
เทพอสนีไท้โอ้วลุ้ยมั่วตึ้งและวิชชุแลบลั่นเล้งก้วงล้วนได้รับการยกย่องเป็นผู้เทิดทูนคุณธรรม เป็นชายชาตรีแห่งยุค
ลู่ตังซี่หงี- สี่ผู้กล้าแคว้นลู่ตัง ความจริงใช่แซ่ซิม ย่อมเป็นญาติห่างๆ ของเข็มทองตระกูลซิม แต่เหตุไฉนพวกมันจึงร่วมมือกับสองเทพอสนีวิชชุทำลายล้างตระกูลซิม
ไฉนพวกมันจึงยินยอมเป็นเครื่องมือของเทพสำราญทำลายล้างตระกูลซิม
หรือแท้ที่จริงแล้วชื่อเสียงความเป็นวิญญูชนผู้กอปรด้วยคุณธรรมของพวกมันกลับสามารถใช้เงินตราซื้อได้?
เตี่ยบ้อเก๊ก-เจ้าสำนักโซยเทียนบ้อเก็กมึ้ง ตู้เซ่าเทียน- ผู้กล้าแคว้นกวนตง ลี้กัง- หนึ่งในหกวิญญูชนรุ่นเยาว์ ซีทู้งตงเพ้ง- หัวหน้าสำนักคุ้มกันภัยผู้มีฉายาอึ้งยู่ไท้ซัว(มั่นคงดั่งบรรพตไท้ซัว) และไฮ้เล้งจื้อ- มือกระบี่ที่หลงเหลืออยู่เพียงคนเดียวของสำนักไฮ้น้ำ ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นผู้กล้าหาญนามกระเดื่องและเป็นสหายสนิทของเลี่ยงเซี้ยเปียะ
ในวันที่เซียวจับอิดนึ้งเดินทางมาส่งซิมเปียะกุนต่อเลี่ยงเซี้ยเปียะ พวกมันย่อมอยู่ด้วยกัน
พวกมันล้วนรับรู้แท้จริงแล้วเซียวจับอิดนึ้งอาจมิใช่คนเลวร้าย
อย่างน้อยเหตุการณ์ล้มล้างหมู่บ้านเม่งซาเอี้ยที่เกิดขึ้นในช่วงที่ซิมเปียะกุนอยู่กับเซียวจับอิดนึ้ง ย่อมมิใช่การกระทำของเซียวจับอิดนึ้งแน่นอน
ยิ่งเหตุการณ์เผาทำลายล้างหมู่บ้านตระกูลซิมก็ยิ่งแน่ชัดว่าเป็นการกระทำของผู้ใด
เนื่องเพราะพวกมันล้วนได้รับการยกย่องเป็นผู้มีคุณธรรม เป็นคนดีงามในวงบู๊ลิ้ม!
วาจาของพวกมันจึงน่านับถือยิ่ง
“เรื่องนี้อาจมิใช่การลงมือของเซียวจับอิดนึ้ง คดีอื่นอีกคงไม่ใช่มันลง มือ ครานี้พวกเราปรักปรำมัน เรื่องอื่นที่ผ่านมาอาจใส่ไคล้ปรักปรำมันเช่นกัน”
“เราท่านเมื่อประโคมโหมยกย่องตนเป็นวีรบุรุษผู้กล้า พฤติการณ์ที่กระทำขึ้นก็มิอาจฝืนคำ ‘คุณธรรม’ยินยอมปลดปล่อยคนชั่วร้ายพันคน ไม่ขอปรักปรำคนดีงามคนเดียว”
แต่ไฉนพวกมันยังต้องตามล่ากำจัดเซียวจับอิดนึ้ง
แผนการกำจัดเซียวจับอิดนึ้งของพวกมันกลับเพียบด้วยเล่ห์อุบายหยาบช้ายิ่ง
เป็นแผนการที่ไร้คุณธรรมอย่างยิ่ง!
พวกมันเพียงอ้างคำร่ำลือของวงบู๊ลิ้มกำจัดเซียวจับอิดนึ้งเพราะความแค้นส่วนตนเท่านั้น มิได้สนใจว่าแท้จริงแล้วเซียวจับอิดนึ้งเป็นจอมโจรชั่วร้ายจริงหรือไม่
เป็นการรุมล้อมสังหารผู้คนในยามเมามายไร้สติเท่านั้นเอง
แท้จริงที่พวกมันคิดสังหารเซียวจับอิดนึ้งย่อมมิใช่เพราะเซียวจับอิดนึ้งเป็นจอมโจรอื้อฉาวแห่งยุค
มิใช่เนื่องเพราะเซียวจับอิดนึ้งเป็นคนชั่วร้ายผู้หนึ่ง
ที่พวกมันคิดกำจัดเซียวจับอิดนึ้ง พวกมันย่อมไม่สนใจที่จะรู้ว่าแท้จริงแล้วเซียวจับอิดนึ้งนับเป็นคนเยี่ยงไร?
ที่พวกมันคิดกำจัดเพียงเพราะมีแต่เซียวจับอิดนึ้งตายพวกมันจึงสามารถนอนตาหลับได้ มิหนำเกียรติภูมิกลับเลื่องลือไกลอีกด้วย
ที่พวกมันทุ่มเทวิธีการทั้งมวล โดยมิได้คำนึงถึงคุณธรรมใดๆ ในการคิดกำจัดเซียวจับอิดนึ้ง เนื่องเพราะแท้จริงแล้วพวกมันล้วนกระทำเรื่องชั่วร้ายบางประการที่มิอาจบอกต่อผู้คนได้ และเรื่องชั่วร้ายเหล่านั้นล้วนถูกเซียวจับอิดนึ้งพบเห็น
พวกมันล้วนแสดงวาทกรรมประโคมโหมตนเป็นวิญญูชนคนดีงาม เป็นวีรบุรุษผู้กล้า แต่พฤติการณ์เบื้องหลังของพวกมันล้วนผิดแผกเป็นนัยกลับอย่างสิ้นเชิง !
ลี้กังได้รับการยกย่องเป็นวิญญูชนอันแท้จริงที่ไม่หวั่นไหวต่ออิสตรี แท้จริงแล้วใช่กระนั้นหรือ?
เซียวจับอิดนึ้งกลับพบว่า วิญญูชนเยี่ยงลี้กังนั้น
“...ยามอยู่เบื้องหน้าบุรุษมันอาจเป็นวิญญูชนสุภาพบุรุษ แต่พอเผชิญพบสตรีสะคราญโฉม ทั่วทั้งร่างมันคงมีแต่ผมเผ้าจึงสุภาพเรียบร้อย !”
เลี่ยงเซี้ยเปียะเล่า?
แท้จริงแล้วเลี่ยงเซี้ยเปียะเป็นวิญญูชนเยี่ยงไร ในเมื่อแท้จริงแล้วพฤติการณ์ของเตี่ยบ้อเก็กและพวกล้วนเกิดจากการกระตุ้นยุยงและกำหนดขึ้นจากความชาญฉลาดของพวกมัน
เลี่ยงเซี้ยเปียะไยต้องลงมือด้วยตนเอง!
“ซึ่งความจริงแต่ละบุคคล ล้วนมีโฉมหน้าสองประการ มีทั้งด้านดีงามและด้านชั่วร้าย มิฉะนั้นอันไม่อาจเพียงประกอบแผนการใหญ่ กระทั่งคิดมีชีวิตก็ไม่สามารถมีชีวิตสืบต่อ”
คนชั่วร้ายมิแน่ว่ามีบางครั้งสามารถประพฤติดีงามได้
คนดีงามก็มิแน่ว่ามีบางครั้งที่พวกมันมีพฤติการณ์ชั่วร้าย
มิหนำซ้ำคนที่ประโคมโหมเป็นวิญญูชนผู้สัตย์ซื่อประกอบแต่คุณธรรมความดีงาม บางครั้งกลับซ่อนเร้นพฤติการณ์อันชั่วร้ายยิ่งกว่าไว้เบื้องหลัง รอจนมนต์ขลังแห่งวาทกรรมที่พวกมันใช้ประโคมโหมความดีงามของตนเสื่อมคลาย ความจริงแท้จึงค่อยปรากฏดังที่เคยปรากฏมาแล้วในอดีตและจักปรากฏต่อไปในอนาคต
วาทกรรมมิอาจเป็นสิ่งยืนยันความเป็นวิญญูชนหรือคนชั่วร้ายของผู้คนได้ มีแต่พฤติการณ์เท่านั้นที่สามารถบ่งบอกได้ !
(2)
มือของเลี่ยงเซี้ยเปียะลูบคล้ำกระบี่ทองคำของมันอีกคราหนึ่ง นิ้วมือที่ร้อนผ่าวพอกระทบกระบี่ย่อมให้ความรู้สึกที่เย็นรื่นแก่มันประการหนึ่ง
เป็นความรู้สึกที่เย็นรื่นภายหลังความลิงโลดในชัยชนะที่มันสามารถมีเหนือเซียวจับอิดนึ้ง
เป็นความรู้สึกเย็นรื่นก่อนที่มันจักต้องตกตะลึงกับความเปลี่ยนแปรที่มันเองมิได้คาดคิดมาก่อน
ความเปลี่ยนแปรที่เกิดขึ้นบนตัวกระบี่ทองคำที่เหล่าผู้เฒ่าในท้องถิ่นมอบให้แก่มัน
ตัวกระบี่ทองคำที่เหล่าผู้เฒ่าท้องถิ่นลงนามหลังคำจารึก ‘เฮียบหงีบ้อซัง’- คุณธรรมไร้เทียมทาน ที่ยกย่องเกียรติคุณของมัน
เลี่ยงเซี้ยเปียะกลับพบว่าบัดนี้ข้อความอักษรที่จารึกได้เปลี่ยนไปแล้ว
มันพบว่าข้อความจารึกตัวอักษรส่วนหนึ่งตลบกลับ
‘เฮียบหงีบ้อซัง’กลับกลายเป็น‘เฮียบหงีซังบ้อ’- คุณธรรมไร้ทั้งสิ้น
เปลี่ยนรายชื่อผู้ลงนามเป็น ‘จอมโจรเซียวจับอิดนึ้งน้อมกำนัล’
หรือนี่เนื่องเพราะเกียรติคุณของความเป็นวิญญูชนผู้มีคุณธรรมไร้เทียมทานของมันล้วนมิใช่วิญญูชนผู้มีคุณธรรมไร้เทียมทานอีกต่อไป?
ในวงบู๊ลิ้มล้วนให้การยกย่องเลี่ยงเซี้ยเปียะเป็นวิญญูชนไร้ตำหนิ
แม้บ้านของมัน ผู้คนยังเรียกเป็นหมู่บ้านไร้ตำหนิ!
เป็นหมู่บ้านบ้อเฮี้ยซัวจึง-หมู่บ้านไร้ตำหนิที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางขุนเขา และตั้งตระหง่านอยู่ในจิตใจคน
เป็นวิญญูชนที่คล้ายกับเป็นผู้เปรื่องปราดยิ่ง เกิดในตระกูลสูงส่งยิ่ง!
บุคลิกคมคายสง่ายิ่ง!
ฝีมือวิชาการต่อสู้ล้ำเลิศยิ่ง!
ทันทีที่เซียวจับอิดนึ้งได้พบเห็นเลี่ยงเซี้ยเปียะ แม้มันไม่เคยรู้จักเลี่ยงเซี้ยเปียะแต่เมื่อพบเห็นบุรุษหนุ่มที่ท่วงท่าเรียบร้อยสำรวม ที่ในความเรียบร้อยนุ่มนวลนั้นกลับแฝงไว้ซึ่งอำนาจราศีอันสูงสง่าสุดอาจเอื้อมอยู่ เซียวจับอิดนึ้งย่อมรู้ได้ทันทีว่าบุรุษผู้นี้ย่อมเป็นเลี่ยงเซี้ยเปียะ
ทันที่ที่เลี่ยงเซี้ยเปียะเหลือบเห็นเซียวจับอิดนึ้ง มันก็คล้ายเห็นความผิดแผกแตกต่างไปจากผู้คนทั่วไปของเซียวจับอิดนึ้งที่มันเองมิอาจจะบอกได้
เลี่ยงเซี้ยเปียะคิดจะหยุดชมดูเซียวจับอิดนึ้ง แต่มันมิอาจกระทำได้เนื่องจากมันเป็นวิญญูชน
เป็นวิญญูชนที่เห็นว่าการเขม้นมองคนผู้หนึ่งเป็นเรื่องเสียมารยาทอย่างยิ่งยวด
ชั่วชีวิตของเลี่ยงเซี้ยเปียะ ไม่เคยเสียมารยาทต่อผู้ใดมาก่อน!
เป็นวิญญูชนที่ย่อมไม่เคยสร้างความยากลำบากใจแก่ผู้คนมาก่อน!
เป็นวิญญูชนที่ยึดถือมารยาทอย่างเคร่งครัด เรื่องที่บุคคลอื่นมิยอมบอก ย่อมไม่คุกคามเค้นถามเด็ดขาด
เป็นวิญญูชนที่ดูสงบเยือกเย็นและมั่นคงตลอดกาล
เลี่ยงเซี้ยเปียะเป็นวิญญูชน
โก้วเล้งมีความเห็น
“คนโง่งมย่อมมิใช่วิญญูชน แต่วิญญูชนจะมากน้อยต้องแฝงความโง่งม การประพฤติตนเป็นวิญญูชนมิใช่เรื่องชาญฉลาดจริงๆ”
การประพฤติตนเป็นวิญญูชนของเลี่ยงเซี้ยเปียะนับมิใช่เรื่องชาญฉลาดจริงๆ!
อย่างน้อยมันก็ทราบ
แต่เนื่องเพราะมันคิดเป็นวิญญูชน และเนื่องเพราะผู้คนทั่วไปล้วนยกย่องมันเป็นวิญญูชน ดังนั้นสิ่งที่มันคิดกระทำบางครั้งมันจึงมิอาจที่จะกระทำ
เลี่ยงเซี้ยเปียะหมั้นหมายกับซิมเปียะกุน
แม้มันจะรักนางอย่างยิ่ง ปรารถนาจะเคียงคู่นางตลอดเวลาอย่างยิ่ง แต่เนื่องเพราะมันเป็นวิญญูชน ดังนั้นสิ่งที่มันคิดกระทำจึงมิได้กระทำ
“บุคคลเช่นเลี่ยงเซี้ยเปียะ เพราะเพื่อศักดิ์ศรีเกียรติภูมิ กระทั่งชีวิตตนเองยังไม่คำนึง ย่อมละเลยลืมเลือนคู่หมั้นไปชั่วขณะ”
เสียวกงจื้อกล่าวไม่ผิด
“...เราหากเป็นสตรี ยินยอมแต่งงานกับเซียวจับอิดนึ้ง ไม่ขอแต่งกับเลี่ยงเซี้ยเปียะ”
เนื่องเพราะเซียวจับอิดนึ้งมิใช่วิญญูชน เซียวจับอิดนึ้งจึงผิดแผกไปจากเลี่ยง เซี้ยเปียะ
“คนเยี่ยงเซียวจับอิดนึ้ง หากรักใคร่สตรีนางหนึ่งจะไม่คำนึงถึงทุกสรรพสิ่ง แต่เลี่ยงเซี้ยเปียะมีเรื่องผูกพันกังวลมากไป การเป็นภรรยาคน เยี่ยงนีมิสุขสบายนัก”
ซิมเปียะกุนย่อมรับรู้คำร่ำลือเกี่ยวกับเซียวจับอิดนึ้งว่ามันนับเป็นจอมโจรผู้อื้อฉาวในวงบู๊ลิ้มยุคนั้น เป็นจอมโจรที่ผู้คนกล่าวขวัญถึง- มิว่าเรื่องราวชั่วร้ายประการใดล้วนเป็นการกระทำของเซียวจับอิดนึ้ง
ดูเหมือนว่าเรื่องราวที่เป็นความชั่วร้ายทั้งมวลในวงบู๊ลิ้มยุคนั้นล้วนถูกผู้คนยกให้เป็นการกระทำของเซียวจับอิดนึ้งทั้งสิ้น
แต่เมื่อชะตากรรมของซิมเปียะกุนผันแปร ได้มีโอกาสรู้จักและร่วมสุขร่วมทุกข์กับเซียวจับอิดนึ้ง นางกลับพบว่าคำร่ำลือเกี่ยวกับมันล้วนเป็นเพียงคำร่ำลือที่ไม่มีความจริงแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันนางก็เริ่มมองเห็นความจริงอีกด้านหนึ่งของเลี่ยงเซี้ยเปียะ
เป็นความจริงอีกด้านหนึ่งของวิญญูชนไร้ตำหนิเยี่ยงเลี่ยงเซี้ยเปียะ!
ระหว่างเซียวจับอิดนึ้งกับซิมเปียะกุน ความสัมพันธ์และความรักที่ก่อเกิดขึ้นในท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งย่อมทำให้ทั้งสองเข้าใจซึ้งถึงแก่นแท้ของฝ่ายตรงข้าม ในขณะที่ซิมเปียะกุนนับเป็นกุลสตรีดีงามยิ่ง จะอย่างไรนางก็หมั้นหมายอยู่กับเลี่ยงเซี้ยเปียะ ดังนั้นแม้นางจะรักเซียวจับอิดนึ้งอย่างยิ่ง นางก็มิอาจที่จะใช้ชีวิตร่วมอยู่ท่ามกลางหุบเขารกร้างกับมันได้ เซียวจับอิดนึ้งก็รักนางเกินกว่าที่จะเห็นแก่ตัวเหนี่ยวรั้งให้นางกระทำในสิ่งที่ผิดคุณธรรมของกุลสตรีได้ ดังนั้นเซียวจับอิดนึ้งจึงได้แต่ตัดสินใจส่งตัวซิมเปียะกุนกลับคืนให้กับเลี่ยงเซี้ยเปียะด้วยความปวดร้าวยิ่ง
ซิมเปียะกุนตัดสินใจจากเซียวจับอิดนึ้งกลับคืนสู่อ้อมอกของเลี่ยงเซี้ยเปียะด้วยเหตุผลสำคัญ- นางไม่ควรกระทำความผิดต่อเลี่ยงเซี้ยเปียะ แต่ชั่วระยะเพียงไม่ทันข้ามคืนนางกลับพบเห็นธาตุแท้ของวิญญูชนเยี่ยงเลี่ยงเซี้ยเปียะ
ซิมเปียะกุนกลับพบว่าที่แท้วิญญูชนเยี่ยงเลี่ยงเซี้ยเปียะกลับเป็นวิญญูชนจอมปลอมผู้หนึ่งเท่านั้น
เป็นบุคคลที่สวมหน้ากากความเป็นวิญญูชนผู้หนึ่งเท่านั้น!
เลี่ยงเซี้ยเปียะ- แท้ที่จริงมันนับเป็นบุคคลที่น่าเห็นใจยิ่ง บางครั้งกลับน่าเห็นใจยิ่งกว่าเซียวจับอิดนึ้ง ผู้คนรู้จักมันในฐานะของวิญญูชนไร้ตำหนิ คำ‘วิญญูชนไร้ตำหนิ’กลับเป็นพันธะผูกมัดมิให้มันสามารถกระทำในสิ่งที่มันคิดจักกระทำได้ มันแม้มีคู่หมั้นที่เพียงพร้อมไปด้วยความงามและความเป็นกุลสตรีที่ดีงาม แต่มันก็มิอาจที่จะแสดงออกถึงความรักระหว่างหนุ่มสาวได้อย่างอิสระ ความเป็นวิญญูชนไร้ตำหนิทำให้เลี่ยงเซี้ยเปียะต้องห่างเหินจากนางจนดูราวกับว่ามันมิได้ให้ความสำคัญกับนางมากนัก ดังนั้นเมื่อชะตากรรมได้ชักนำเซียวจับอิดนึ้งมาสอดแทรกกลางระหว่างบุคคลทั้งสอง โศกนาฏกรรมแห่งความรักจึงเกิดขึ้น
เนื่องเพราะเลี่ยงเซี้ยเปียะเกรงกลัวที่จะสูญเสียคนรัก
เนื่องเพราะเลี่ยงเซี้ยเปียะย่อมมีความรักต่อซิมเปียะกุนอย่างยิ่ง
เนื่องเพราะเลี่ยงเซี้ยเปียะรักซิมเปียะกุนลึกล้ำยิ่ง
ดังนั้นมันจึงแค้นเซียวจับอิดนึ้งอย่างยิ่ง แค้นเซียวจับอิดนึ้งลึกล้ำยิ่งดุจเดียวกัน
คำ‘วิญญูชนไร้ตำหนิ’ทำให้เลี่ยงเซี้ยเปียะมิอาจแสดงความรักและความแค้นที่มีอยู่ในใจของมันออกมาให้ผู้ใดมองเห็นได้
คำ‘วิญญูชนไร้ตำหนิ’จึงคล้ายเป็นคำที่ยิ่งทำให้ความรักและความแค้นของมันยิ่งล้ำลึกสุดหยั่งคาดได้
ธาตุแท้ที่เป็นความจริงอีกด้านหนึ่งของมนุษย์ที่ถูกคำ‘วิญญูชนไร้ตำหนิ’บีบบังคับกดดันไว้ในส่วนลึกของจิตใต้สำนึกจึงแสดงออกมาในอีกด้านหนึ่งของพฤติกรรมที่เลวร้ายสุดหยั่งคาดได้
และเนื่องเพราะคำ‘วิญญูชนไร้ตำหนิ’และ‘คุณธรรมไร้เทียมทาน’ ซึ่งนับเป็นเกียรติภูมิที่มันจักต้องรักษาไว้ แผนการชำระความแค้นทำลายล้างเซียวจับอิดนึ้งจึงยิ่งลึกล้ำยิ่ง โหดอำมหิตยิ่ง
เพื่อให้สามารถแก้แค้นได้สำเร็จ เพื่อรักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิ ชื่อเสียงและศักดิ์ศรี เลี่ยงเซี้ยเปียะจึงยินยอมทุกอย่าง แม้จะต้องใช้ชีวิตของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสหายและพวกพ้องบริวารของมัน เป็นเครือญาติหรือผู้สนิทชิดเชื้อกับมันสังเวยไปสักกี่มากน้อยก็ตาม
เลี่ยงเซี้ยเปียะจงใจให้เตียบ้อเก็กและพวกทั้งสี่รับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับเซียวจับอิดนึ้งจากปากของซิมเปียะกุน กระตุ้นให้พวกมันไปฆ่าเซียวจับอิดนึ้งแทนตน เพื่อตนจะได้พ้นมลทินข้อกล่าวหาไล่ล่าคนเมามายหมดหนทางสู้ ยังคงความเป็นวิญญูชนไว้ตลอดกาล เมื่อมีผู้รู้ซึ้งถึงธาตุแท้ของมันเยี่ยงซีทู้ตงเพ้ง
“ท่านมิได้ร่วมเดินทางไปกับพวกมัน เนื่องเพราะทราบว่า เซียวจับอิดนึ้งเมามายแล้ว เตี่ยบ้อเก็กและพวกต้องลงมือประสบผล ซึ่งความจริง ใจจริงท่านก็คิดใคร่ฆ่าเซียวจับอิดนึ้งถึงแก่ชีวิต มิหนำซ้ำเหตุผลของท่าน ยังมากมายเพียบพร้อมกว่าพวกเรา...”
“เราเพียงคิดบอกว่า เลี่ยงกงจื้อเมื่อครู่หากฆ่าเซียวจับอิดนึ้งลำบากเพียงยกมือ แต่หากถูกคนล่วงรู้ว่า เลี่ยงกงจื้อก็ฉกฉวยโอกาสที่ผู้อื่นประสบภัย ลงมือจู่โจมซ้ำเติม ไยมิใช่เสื่อมเสียเกียรติภูมิของท่าน...”
“...เมื่อมีคนมุ่งมั่นสังหารเซียวจับอิดนึ้ง เลี่ยงกงจื้อไยต้องลงมือด้วยตัวเอง?”
เลี่ยงเซี้ยเปียะได้แต่กำจัดสหายร่วมเส้นทางวิญญูชนเยี่ยงซีทู้ตงเพ้ง!
สังหารซีทู้ตงเพ้งเพียงเพื่อให้แผนการยืมมือผู้คนกำจัดเซียวจับอิดนึ้งของตนเป็นความลับตลอดกาล
แต่เมื่อเซียวจับอิดนึ้งสามารถรอดชีวิตสืบต่อไปได้ เลี่ยงเซี้ยเปียะกลับไม่รีบร้อนที่จะสังหารเซียวจับอิดนึ้งด้วยตนเอง
ความคิดและแผนการของเลี่ยงเซี้ยเปียะกลับยิ่งลึกซึ้งและโหดร้ายอำมหิตยิ่งขึ้น
เป็นแผนการที่มุ่งหวังให้เซียวจับอิดนึ้งจบสิ้นชีวิตลงไปพร้อมๆ กับความเป็นโจรร้ายผู้อื้อฉาวแห่งยุค
ให้คำร่ำลือ ‘จอมโจรชั่วร้าย’คงอยู่กับชื่อเซียวจับอิดนึ้งตลอดกาล!
ตอกตรึงให้ความเป็น‘จอมโจรชั่วร้าย’ของเซียวจับอิดนึ้งติดแน่นอยู่ในใจของซิมเปียะกุนตลอดกาล!
ให้คำ ‘คุณธรรมไร้เทียมทาน’ คงอยู่กับมันตลอดกาล!
แต่มันจักสามารถกระทำได้หรือ?
วันที่เซียวจับอิดนึ้งท้าสู้เทพสำราญ-เซียวเอี้ยโฮ้ว ณ ผาฆ่าคน เลี่ยงเซี้ยเปียะดูคล้ายคนผิดหวังที่เมามายไม่ได้สติผู้หนึ่ง
มันที่แท้มายมายจริงหรือแสร้งเมามาย?
เซียวจับอิดนึ้งอาจสามารถเอาชัยเหนือเทพสำราญได้ แต่ผู้ที่ได้ชัยอย่างแท้จริงในครั้งนั้นกลับมิใช่เซียวจับอิดนึ้ง
กลับเป็นเลี่ยงเซี้ยเปียะ!
ภายหลังที่เซียวจับอิดนึ้งสามารถเอาชัยเหนือเทพสำราญได้แล้ว ปรากฏหน่วยงานฟ้าของเทพสำราญขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง คล้ายดั่งว่าแท้จริงแล้วเทพสำราญยังมิจบชีวิตและมุ่งแก้แค้นเซียวจับอิดนึ้ง ขณะเดียวกันวิถีชีวิตของเซียวจับอิดนึ้งก็ถูกผู้คนบันดาลให้เปลี่ยนแปลงไป เปลี่ยนแปลงจากเซียวจับอิดนึ้งที่เป็นจอมโจรอื้อฉาวกลายเป็นวีรบุรุษผู้กล้าที่มีชื่อเสียงกระเดื่องวงบู๊ลิ้ม มีทรัพย์สมบัติมหาศาล
ไม่มีผู้ใดทราบว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่แท้จริงของแผนการร้ายครั้งนี้ กลับเป็นเลี่ยงเซี้ยเปียะ
เลี่ยงเซี้ยะเปียะที่เป็นวิญญูชนผู้มี ‘คุณธรรมไร้เทียมทาน’ ของวงบู๊ลิ้มยุคนั้น
หากเลี่ยงเซี้ยเปียะไม่บ่งบอกออกมาด้วยตนเอง แม้เซียวจับอิดนึ้งพอจะคาดเดาได้ แต่มันก็ไม่กล้ายืนยันอย่างเด็ดขาดได้เลยว่าเป็นแผนการของเลี่ยงเซี้ยเปียะ
เลี่ยงเซี้ยเปียะอาศัยเซียวจับอิดนึ้งกำจัดบริวารของเทพสำราญที่ไม่ยินยอมพร้อมใจให้มันเป็นผู้นำหน่วยงานฟ้าแทนตน อาศัยเซียวจับอิดนึ้งกำจัดผู้รู้ศักดิ์ศรีที่แท้จริงของมันแทนตน
เลี่ยงเซี้ยเปียะทุ่มเทวิธีการต่างๆ ทำให้เซียวจับอิดนึ้งมีชื่อเสียง มีทรัพย์สินเงินทองมหาศาลจนกระทั่งมีศักดิ์ศรีขึ้นถึงจุดสุดยอด จากนั้นจึงให้เซียวจับอิดนึ้งร่วงหล่นลงมา เพียงเพื่อให้เซียวจับอิดนึ้งมีชีวิตอยู่อย่างปวดร้าว ให้ซิมเปียะกุนสิ้นหวังในตัวของเซียวจับอิดนึ้งและยินยอมหวนกลับไปหามันทั้งกายและใจ
แผนการที่มันทุ่มเททั้งกายใจ ทรัพย์สินเงินทองและชีวิตผู้คนทั้งหมดของมันล้วนเป็นไปเพียงเพื่อกำจัดเซียวจับอิดนึ้งเพียงคนเดียว
เพื่อทำลายเซียวจับอิดนึ้งเพียงคนเดียว
เพื่อทำลายความรัก ความศรัทธาและความเชื่อมั่นที่ซิมเปียะกุนมีต่อเซียวจับอิดนึ้งเพียงประการเดียว
แท้จริงแผนการนี้ ยากนักที่จะมีผู้ใดต้านรับได้
แผนการที่ลึกซึ้งซับซ้อนเยี่ยงนี้ หากมิใช่ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งลึกซึ้งสุดพิสดารเยี่ยงเซียวจับอิดนึ้งแล้วยากนักที่จะสามารถต้านรับได้
หากแผนการของเลี่ยงเซี้ยเปียะสำเร็จ มิเพียงเซียวจับอิดนึ้งจะกลายเป็นคนไร้ค่า เป็นจอมโจรชั่วร้ายตลอดกาลเท่านั้น เลี่ยงเซี้ยเปียะกลับสามารถมีเกียรติภูมิ อำนาจและบารมีในวงบู๊ลิ้มอย่างยากที่จะหาผู้ใดเทียบเทียมได้
เลี่ยงเซี้ยเปียะก็จะเป็นเช่นหยกขาวไร้ตำหนิ มีคุณธรรมไร้ผู้เทียมทาน เป็นวีรบุรุษในวีรบุรุษ เป็นผู้กล้าในผู้กล้าตลอดกาล
หมู่ตึกไร้ตำหนิของมันจะเป็นสัญลักษณ์ของ‘คุณธรรม’ในจิตใจของผู้คน ได้รับการยกย่องจากอนุชนคนรุ่นหลังตราบนานเท่านาน
แต่ชัยชนะที่แท้จริงจะสามารถเกิดขึ้นกับวิญญูชนเยี่ยงเลี่ยงเซี้ยเปียะกระนั้นหรือ?
เลี่ยงเซี้ยเปียะกล่าวยอมรับกับซีทู้ตงเพ้ง
“ซึ่งความจริงแต่ละบุคคล ล้วนมีโฉมหน้าสองประการ มีทั้งด้านดีงามและชั่วร้าย มิฉะนั้นมันไม่เพียงอาจประกอบแผนการใหญ่ กระทั่งคิดมีชีวิตก็ไม่สามารถมีชีวิตสืบต่อ”
ชีวิตด้านหนึ่งของเลี่ยงเซี้ยเปียะย่อมเป็นวิญญูชนไร้ตำหนิผู้มีคุณธรรมไร้เทียมทาน แต่ในอีกด้านหนึ่งใช่สมควรนับเป็นผู้มีพฤติกรรมลึกซึ้งชั่วร้ายยิ่ง เช่นเดียวกับเซียวจับอิดนึ้ง ในคำร่ำลือของผู้คนล้วนบอกมันเป็นโจรชั่วอำมหิต เรื่องราวและพฤติการณ์ชั่วร้ายทั้งมวลล้วนบอกว่าเป็นมันกระทำทั้งสิ้น แท้จริงใครเป็นคนดีงามใครเป็นคนชั่วร้ายนับยากยิ่งที่จะระบุให้แน่ชัด
ยิ่งมิอาจระบุตัดสินแน่ชัดจากคำร่ำลือหรือพฤติการณ์ที่เป็นเปลือกนอกชั่วครั้งชั่วคราว
และยิ่งมิอาจยึดถือจากคำพูดของผู้คน!
ผู้คนที่คิดประกอบแผนการใหญ่เพื่อการมีอำนาจ มีชื่อเสียงเกียรติยศ มีทรัพย์สินเงินทองมหาศาล
และยิ่งมิอาจยึดถือจากวาทกรรมของผู้ยกย่องตนเองเป็นวิญญูชนผู้มีคุณธรรมไร้เทียมทาน!
บุคคลเยี่ยงเซียวจับอิดนึ้ง หากมันเป็นโจรร้ายผู้อื้อฉาวจริงย่อมมิยากต่อการที่จะกำจัด แต่บุคคลชั่วร้ายเยี่ยงเลี่ยงเซี้ยเปียะผู้อ้างตนเป็นวิญญูชนไร้ตำหนิ มีคุณธรรมไร้เทียมทานเล่ามีผู้ใดสามารถกำจัดได้
มิเพียงปล่อยให้บุคคลเยี่ยงมันมีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้น มิหนำมันยังสามารถเป็นผู้มีคุณธรรมความดีงามที่ได้รับการยกย่องจากผู้คนอีกด้วย
ในวงบู๊ลิ้มโก้วเล้งอาจสามารถพิสูจน์ให้ผู้คนยอมรับ- จอมโจรชั่วร้ายเยี่ยงเซียวจับอิดนึ้งที่แท้อาจเป็นคนดีงาม วิญญูชนไร้ตำหนิเยี่ยงเลี่ยงเซี้ยเปียะที่แท้กลับเป็นคนชั่วร้ายลึกซึ้งยิ่ง แต่ในโลกแห่งความจริงเล่าบุคคลเยี่ยงเซียวจับอิดนึ้งและเลี่ยงเซี้ยเปียะจะมีใครสามารถบ่งบอกได้ว่าผู้ใดเป็นคนดีงามเป็นคนชั่วร้าย
อาจบางที, ทั้งเซียวจับอิดนึ้งและเลี่ยงเซี้ยเปียะล้วนเป็นคนดีงาม
อาจบางที, ทั้งเซียวจับอิดนึ้งและเลี่ยงเซี้ยเปียะล้วนเป็นคนชั่วร้าย
ดีงามหรือชั่วร้ายแท้จริงแล้วใครสามารถตัดสินพิพากษาได้?
น่าเสียดายที่บุคคลในยุคสมัยนี้มักยึดเอาคำร่ำลือและพฤติการณ์เพียงบางด้านที่เป็นเปลือกนอกเป็นเครื่องตัดสินพิพากษาผู้อื่น
ยึดอคติส่วนตนที่ชอบหรือไม่ชอบเป็นเครื่องมือในการตัดสินพิพากษาชีวิตของผู้อื่น
หรือนี่คือโศกนาฏกรรมประการหนึ่งของมนุษยชาติ?!
สลักเรือหากระบี่ : ที่แท้ใครฉลาดใครโง่เขลา
“นี่เรียกว่าสลักเรือหากระบี่”
“ท่านทราบหรือไม่? นี่เป็นเรื่องที่โง่เขลาปานใด?”
“ข้าพเจ้าทราบ”
“ในเมื่อทราบ ไฉนยังต้องกระทำ?”
“เนื่องเพราะข้าพเจ้าพลันพบเห็น ในชั่วชีวิตหนึ่งของคนเรา จะมากจะน้อย
ก็ควรกระทำเรื่องโง่เขลาได้สักหลายราย อย่าว่าแต่...
“มีเรื่องบางประการที่กระทำด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา หรือเป็นฉลาด
ปราดเปรื่องกันแน่ มักจะไม่มีผู้ใดตัดสินได้”
(ศึกเสือหยกขาว 1: 204-205)
ในหนังสือ“หลี่สื้อชุนชิว”ได้บันทึกเรื่องราวของชายชาวเมืองฉู่ผู้“สลักแคมเรืองมกระ บี่”ไว้ว่า ขณะที่ชายชาวเมืองฉู่ผู้นี้นั่งเรือข้ามฟาก ขณะที่เรือกำลังแล่นอยู่กลางแม่น้ำเขาเผลอตัวทำกระบี่หล่นลงน้ำ ชายผู้นั้นจึงรีบสลักเครื่องหมายที่แคมเรือตรงที่ดาบหล่น เมื่อเรือแล่นถึงฝั่งเขาก็กระโดดลงน้ำตรงเครื่องหมายที่สลักเอาไว้งมหากระบี่ของตน การกระทำเยี่ยงนี้ผู้คนที่เห็นล้วนยึดถือเป็นการกระทำที่โง่เขลายิ่ง และนี่จึงเป็นที่มาของสำนวน“สลักเรือหากระบี่” หรือ “สลักแคมเรืองมกระบี่”
ที่แท้การกระทำของชายชาวเมืองฉู่ผู้นี้นับว่าโง่เขลาหรือไม่?
การกระทำเยี่ยงไรจึงสมควรนับว่าฉลาดหลักแหลม
ไฉนอี้จับซากลับกระทำเยี่ยงชายชาวเมืองฉู่ผู้นี้?
พลันที่อี้จับซาพบว่าซาเสียวเอี้ยเจี่ยเฮียวฮงได้ตายจากไป ความรู้สึกของมันขณะนั้นย่อมผิดหวังยิ่ง
ประกายในดวงใจของมันกลับสูญสลายไป
ประกายของกระบี่สูญสลายไป
สำหรับอี้จับซาในขณะนั้น ชีวิตของมันดูไร้ค่ายิ่ง !
อี้จับซาเดินทางสู่หมู่บ้านกระบี่เทพเจ้าเพื่อประลองกระบี่กับเจี่ยเฮียวฮง
เจี่ยเฮียวฮงที่เป็นซาเสียวเอี้ย- นายเล็กคนที่สาม ของหมู่บ้านกระบี่เทพเจ้า ผู้ที่ชนชาวยุทธยกย่องเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งของแผ่นดินในยุคนั้น
อี้จับซาก็นับเป็นมือกระบี่ที่ไร้ผู้ต่อต้าน เต๊าะเมี่ยจับซาเกี่ยม- บสามกระบี่คร่าชีวิต ของมันคล้ายดั่งไม่มีใครต้านติดมาก่อนแม้แต่น้อย
สำหรับอี้จับซา- ผู้ที่สมควรเป็นคู่ต่อสู้ของมันในยุคนั้นจึงมีแต่ซาเสียวเอี้ย
แม้ว่าอี้จับซาจะไม่มีความมั่นใจต้านกระบี่ของเจี่ยเฮียวฮงได้ และมันก็รู้ว่าการเดินทางสู่หมู่บ้านกระบี่เทพเจ้าในครั้งนี้มีแต่หนทางตายเพียงทางเดียวเท่านั้น มันก็ยังดั้นด้นไปให้ถึง
ฉายากระบี่ไร้ผู้ต่อต้านของมันคล้ายดั่งมีอำนาจบังคับควบคุมให้มันต้องกระทำเช่นนั้น!
เจี่ยเฮียวฮงตายแล้ว- ตายไปสิบเจ็ดวันแล้ว!
อี้จับซาจึงได้แต่อำลา นั่งเรือออกจากหมู่บ้านกระบี่เทพเจ้าอย่างเงียบงันยิ่ง ผิดหวังยิ่ง!
เรือลำน้อยแล่นถึงกลางทะเลสาบเล็กจุ้ยโอ้ว- ทะเลสาบวารีเขียว อี้จับซาคล้ายดั่งกระทำเรื่องราวที่โง่เขลาประการหนึ่ง
อี้จับซาพลันชักกระบี่ออกมา ขีดรูปกากบาทที่หัวเรือแล้วพุ่งกระบี่ของมันลงไปในใจกลางของทะเลสาบนั้น เรือถึงฝั่งมันเดินขึ้นจากเรืออย่างเงียบงันจากไป
นับแต่นั้นมาไม่มีผู้ใดในวงบู๊ลิ้มพบเห็นมันอีกต่อไป ตราบกระทั่ง.....
สลักเรือหากระบี่นับเป็นการกระทำที่โง่เขลายิ่ง?
ในสายตาของผู้คนทั่วไป การกระทำเยี่ยงนี้นับว่าโง่เขลายิ่งนัก อี้จับซาที่นับเป็นมือกระบี่ไร้ผู้ต่อต้านย่อมมิใช่คนโง่เขลาแม้แต่น้อย แต่ไฉนมันจึงกระทำเรื่องที่โง่เขลาปานนี้
หรือที่แท้มันคิดกระทำเรื่องที่โง่เขลาจริงๆ เสียบ้าง?
หรือที่แท้มันเองก็มิอาจตัดสินได้ว่า การกระทำเยี่ยงนั้นนับเป็นการกระทำที่โง่เขลาหรือชาญฉลาดกันแน่?
ที่แท้การกระทำแต่ละประการที่ผู้คนตัดสินว่าเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดหรือโง่เขลา มีเรื่องราวใดบ้างที่สมควรนับเป็นการกระทำที่ชาญฉลาด และเรื่องราวประการใดที่สมควรนับเป็นความโง่เขลา นี่ย่อมมิอาจยึดถือเป็นถูกต้องแน่นอนได้
การกระทำบางประการที่ผู้คนล้วนบอกโง่เขลาใช่นับเป็นความโง่เขลาจริงหรือไม่?
การกระทำบางประการที่ผู้คนบอกเป็นเรื่องชาญฉลาดยิ่ง ใช่สามารถนับเป็นเป็นการกระทำที่ฉลาดจริงๆ หรือไม่ ?
นี่ย่อมยากที่จะแยกแยะตัดสินให้แน่ชัดลงไปได้
แท้ที่จริงการกระทำเรื่องราวประการต่างๆ เหล่านี้ก็เป็นเฉกเดียวกับเหรียญที่มีสองด้าน เมื่อมองจากแง่มุมหนึ่งย่อมเห็นว่าถูกต้อง แต่ในยามที่มองจากอีกแง่มุมหนึ่งก็มิแน่ว่าจะผิดพลาด บางครั้งมาตรฐานของสังคมใช่ว่าจะสามารถตัดสินความผิดถูก ความโง่เขลาหรือฉลาดปราดเปรื่อง ความดีงามหรือชั่วร้ายให้แน่ชัดลงไปได้
แต่ไฉนผู้คนมักถือเป็นเรื่องจริงจังเกินไป
ไฉนผู้คนจึงมักยึดถือคำตัดสินของตนหรือพวกตนเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป ทั้งๆ ที่สิ่งที่ตนรับรู้หรือพบเห็นนั้นใช่ว่าตนจะสามารถเข้าใจความจริงที่เกิดขึ้นได้อย่างแน่ชัด
ดังนั้นโก้วเล้งจึงมักกล่าวเสมอ- อย่าว่าแต่เรื่องราวที่ฟังจากคำเล่าลือ แม้กระทั่งสิ่งที่สามารถเห็นด้วยตาตนเองก็มิอาจที่จะตัดสินได้ว่าเป็นดั่งที่ตนพบเห็นและรับรู้
แต่เหตุไฉนผู้คนมักแต่เชื่อถือคำเล่าลือเป็นเรื่องจริงจัง มักจะยึดสิ่งที่ตนพบเห็นเป็นความจริงที่แท้?
นี่มิใช่เพียงเพราะเรื่องราวเหล่านั้นถูกต้องตามความคิดความนิยมของตน สลอดคล้องกับประโยชน์ตน ใช่หรือไม่?
หรือนี่เป็นเพียงเพราะผู้คนเหล่านี้ล้วนเห็นว่าการคิดเยี่ยงนี้ การกระทำเยี่ยงนี้ ย่อมแสดงให้เห็นถึงความชาญฉลาดของตน?
ที่แท้ผู้ที่อ้างตนเป็นผู้ฉลาดใช่เป็นผู้ฉลาดจริงๆ !
ผู้ที่กระทำเรื่องราวบางประการประหนึ่งเป็นคนโง่เขลายิ่ง ใช่สมควรนับเป็นคนโง่เขลาจริงๆ ?
กระทำทำเยี่ยง“สลักเรือหากระบี่” สมควรนับเป็นการกระทำที่โง่เขลาใช่หรือไม่?
นับแต่อดีต-มีผู้คนบางประเภทได้รับการยกย่องจากสังคมให้เป็น“ผู้รู้”หรือเป็น “ปราชญ์” ผู้ฉลาดปราดเปรื่องในหมู่ชน
และก็มีบุคคลบางประเภทที่ถูกเรียกเป็น “คนโง่เขลา”
แต่มีไม่น้อยที่เป็นปัญหา- ปราชญ์ใช่เป็นปราชญ์ที่แท้จริงหรือไม่?
คนโง่- ใช่เป็นคนโง่เขลาจริงๆ?
มีบุคคลบางประเภทได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องรู้หลักแห่งเหตุและผล ใช้วาทกรรมอันอ้างเหตุและผลอธิบายการกระทำของตนให้ดูเป็นคนดีงาม กำหนดมาตรฐานผิดถูกชั่วดีให้กับสังคม วางกรอบขีดเส้นชะตาชีวิตให้กับผู้คนในสังคม แท้จริงสิ่งที่พวกมันรอบรู้อย่างแท้จริงมีอยู่สักแค่ไหน
หรือเป็นเพียงอ้างตนเป็นคนรอบรู้ ใช้“ศิลปะทางวาทะ”แสดงความรอบรู้ของตนหลอกลวงผู้คนเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น
ประดาพวกเหล่านี้จะแตกต่างอะไรกับบุคคลเยี่ยงแป๊ะเฮี่ยวเซ็งที่ตั้งตนเป็นปราชญ์ในการตัดสินพลานุภาพของอาวุธชนิดต่างๆ ในวงบู๊ลิ้มยุคหนึ่ง
เป็นผู้รอบรู้ที่ลี้คิมฮวงให้ความเห็น
"...คนประเภทนี้อวดอ้างว่าฉลาดปราดเปรื่องประโคมตัวเองสูงส่งเหนือธรรมดา เข้าใจว่ามันรอบรู้ในทุกเรื่องราว อาศัยคำพูดของพวกมัน ก็สามารถระบุชะตาชีวิตผู้อื่น ความจริงแล้ว เรื่องราวที่พวกมันรู้อย่างแท้จริง กลับมีอยู่สักเท่าใด?"
"เฮอะ เนื่องเพราะผู้อื่นต่างว่ามันรอบรู้ทุกศาสตร์สาขาเปรื่องปราดนทุกหลักวิชา พอถึงตอนหลัง มันก็มีแต่ต้องหลอกลวงตัวเอง อาศัยความรู้สึกนึกคิดไปยืนกรานระบุเรื่องราว"
ผู้ฉลาดปราดเปรื่องประเภทนี้เป็นเยี่ยงไร?
แท้จริงพวกมันอาจมีความฉลาดเป็นเลิศ อาจเป็นอัจฉริยะบุคคลจริงๆ แต่ผลบั้นปลายของผู้ฉลาดปราดเปรื่องเป็นเยี่ยงไร?
โก้วเล้งบอกว่า:-
ในโลกมีคนชนิดหนึ่ง มักประโคมยกตนเองเป็นเทพเจ้า
บุคคลประเภทนี้ย่อมเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์เป็นเลิศ แต่ก็นับเป็นคนบ้าคลั่ง
ผลบั้นปลายของคนบ้าคลั่ง มักอเนจอนาถยิ่ง สยดสยองยิ่ง
อัจฉริยะบุคคลที่ประสบผลบั้นปลายเยี่ยงนี้นับว่ามีมากมายยิ่ง ทั้งนี้เนื่องเพราะพวกมันก็ลืมหลงไปว่า แท้ที่จริงในบางคราพวกมันสมควรยินยอมโง่เขลาเสียบ้าง ยินยอมไม่แสดงออกถึงความฉลาดปราดเปรื่องเสียบ้างจึงจะสามารถเป็นผู้ฉลาดที่แท้จริง
“เนื่องเพราะจะอย่างไรผู้คนมิใช่เทพเจ้า ไม่สามารถกำหนดทุกสรรพสิ่งได้
กระทั่งเทพเจ้าก็ไม่สามารถ!
ประกาศิตของเทพเจ้าก็ไม่เป็นที่เคารพปฏิบัติของทุกผู้คน
คนผู้หนึ่งหากสามารถนึกถึงข้อนี้ กับผลได้ผลเสียของเรื่องประการหนึ่ง ก็ไม่ยึดถือจนสาหัสเกินไป
ความรู้สึกได้เสียของผู้คนหากเบาบางลง จะมีชีวิตอย่างสุขสมอีกมากนัก”
ดังนั้นโก้วเล้งจึงเห็นว่า
“ความโฉดเขลา(อาจ)สามารถทำให้คนผู้หนึ่งตกอยู่ในภาวการณ์โศกสลดและสามารถแปรเปลี่ยนเป็นน่าหัวร่อได้เช่นกัน”
ดังนั้น:-
“ผู้ที่สามารถปรับใจให้เป็นไปตามชะตาฟ้าดิน ปรับตัวให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมของตอนนั้นได้ จึงเป็นคนชาญฉลาดโดยแท้จริง คนประเภทนี้จึงสามารถมีชีวิตยืนยาว”
ทั้งนี้เนื่องเพราะในด้านหนึ่งของความเฉลียวฉลาดนั้นย่อมนำมาซึ่งความยุ่งยากหลายประการ นำมาซึ่งภาระและความผูกพันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นำมาซึ่งลาภยศชื่อเสียง ที่เป็นประหนึ่งขื่อคาตรึงแน่นจนยากที่จะสลัดหลุดได้มากขึ้นจนกลายเป็นพันธะผูกมัดยากที่จะมีอิสระในชีวิตได้
เยี่ยงนี้- บางครั้งหากสามารถยินยอมโง่เขลาได้ ชีวิตนับว่ามีความสุขยิ่ง ดังที่จวงจื๊อ(จวงจื๊อจอมปราชญ์, บุญศักดิ์ แสงระวี แปล, หน้า 225)กล่าวไว้ว่า
“คนเฉียบแหลมมักเหนื่อยยากลำบากกาย
คนฉลาดมักจะวิตกกังวล
คนไร้ความสามารถไม่ต้องการอะไร กินอิ่มแล้วก็ท่องเที่ยวไปทุกแห่งหน
ประดุจเรือเปล่าที่มิได้มีเชือกผูกติด เคลื่อนคล้อยโคลงเคลงไปบนสายน้ำ เป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง”
ผู้ที่เป็นปราชญ์ที่แท้จริง
ผู้ฉลาดปราดเปรื่องอย่างแท้จริงจึงย่อมเป็นไปดั่งที่เหล่าจื๊อ(วิถีแห่งเต๋า, พจนา จันทรสันติ แปล, หน้า 66) กล่าวไว้
“บุคคลผู้ชาญฉลาดแต่โบราณกาล
เปี่ยมล้นไปด้วยปรีชาญาณ
ล้ำลึกไปด้วยความรอบรู้
ลึกซึ้งจนมิอาจหยั่งถึง
และด้วยมิอาจหยั่งถึงนี้เอง
จึงจำเป็นจะต้องบรรยายลักษณะดังนี้
มีความรอบคอบ
คล้ายกำลังข้ามแม่น้ำที่แข็งตัวในฤดูหนาว
มีความระมัดระวัง
คล้ายกำลังป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในทุกที่
มีความสำรวม คล้ายกับกำลังปฏิบัติตนเป็นอาคันตุกะ
มีความอ่อนน้อม คล้ายกับหิมะที่เริ่มจะละลาย
มีความเปิดเผยซื่อตรง คล้ายกับไม้ที่ยังมิได้แกะสลัก
มีความว่าง คล้ายกับหุบเขา
และโง่งม คล้ายกับสายน้ำอันขุ่นข้น”
เยี่ยงนี้นับเป็นผู้ปราดเปรื่องอย่างแท้จริง!
ที่แท้ระหว่างอี้จับซากับแป๊ะเฮี่ยวเซ็งผู้ใดสมควรนับเป็นผู้ชาญฉลาดอย่างแท้จริง
อี้จับซานับเป็นมือกระบี่อัจฉริยะผู้หนึ่งในยุคนั้น
เป็นบุคคลที่สมควรนับเป็นผู้ชาญฉลาดในเชิงวิชากระบี่อย่างยิ่งผู้หนึ่งในยุคนั้น แต่บางครั้งการกระทำของมันไฉนจึงดูเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญายิ่ง แต่เนื่องเพราะมันสามารถกระทำในสิ่งที่โง่เขลายิ่งเยี่ยงนั้น ในบางช่วงตอนแห่งชีวิตมันจึงมีความสุขอยู่บ้าง และเนื่องเพราะมันรู้จัก “สลักเรือหากระบี่” การหายสาบสูญไปจากวงบู๊ลิ้มในครั้งนั้นจึงนับเป็นช่วงชีวิตที่มันมีความสุขอย่างแท้จริง
เป็นช่วงชีวิตที่มันสามารถมีอิสระอย่างแท้จริง!
นี่ย่อมแตกต่างไปจากแป๊ะเฮี่ยวเซ็งที่เป็น “ผู้รอบรู้” สามารถกำหนดชะตาชีวิตของผู้คนในวงบู๊ลิ้มได้ แต่เนื่องเพราะมันไม่ยินยอมที่จะเป็น “ผู้โง่เขลา” เสียบ้างในบางครั้ง ในที่สุดมันกลับติดกับดักความเป็นผู้รอบรู้ของตนเองจนมิอาจสลัดหลุด และต้องจบชีวิตลงเพราะสิ่งที่มันคิดว่ามันรอบรู้และเชี่ยวชาญที่สุด
ระหว่างอี้จับซากับแป๊ะเฮี่ยวเซ็ง ผู้ใดสมควรได้รับการยึดถือเป็นผู้ปราดเปรื่องอย่างแท้จริงเล่า?
ที่แท้ผู้ปราดเปรื่องในสังคมที่เห็นกันอยู่เป็นเยี่ยงแป๊ะเฮี่ยวเซ็งหรืออี้จับซา ?
จอมยุทธ์ผู้มีฝีมือเป็นเลิศ มีความรอบรู้ในสรรพวิชาและอาจสมควรนับเป็นอัจฉริยะในหมู่จอมยุทธ์ทั้งหลายที่เราท่านพบเห็น มีผู้ใดที่สมควรเป็นเยี่ยงอี้จับซาและผู้ใดสมควรเป็นเยี่ยงแป๊ะเฮี่ยวเซ็งบ้าง?
หรือจะคงมีแต่เหล่าจอมยุทธ์ที่มีเพียงความสามารถแลเฉลียวฉลาดในการแสดง “วาทะกรรม” หลอกลวงผู้คนเล่นไปวันๆ เพียงเพื่อให้สามารถไต่เต้าขึ้นสู่บัลลังก์แห่งอำนาจและสามารถปกป้องผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องให้คงอยู่สืบไปเท่านั้นเอง
เยี่ยงนี้ไยมิใช่สักวันหนึ่งอาจหลงวนอยู่ในกับดักแห่งความปราดเปรื่องของตนจนต้องประสบชะตากรรมเยี่ยงแป๊ะเฮี่ยวเซ็งในที่สุด
ไยมิยินยอมเป็นคนโง่เขลาเสียบ้าง ?
ไยมิยินยอม “สลักเรือหากระบี่” กันบ้าง ?
“ท่านทราบหรือไม่? นี่เป็นเรื่องที่โง่เขลาปานใด?”
“ข้าพเจ้าทราบ”
“ในเมื่อทราบ ไฉนยังต้องกระทำ?”
“เนื่องเพราะข้าพเจ้าพลันพบเห็น ในชั่วชีวิตหนึ่งของคนเรา จะมากจะน้อย
ก็ควรกระทำเรื่องโง่เขลาได้สักหลายราย อย่าว่าแต่...
“มีเรื่องบางประการที่กระทำด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา หรือเป็นฉลาด
ปราดเปรื่องกันแน่ มักจะไม่มีผู้ใดตัดสินได้”
(ศึกเสือหยกขาว 1: 204-205)
ในหนังสือ“หลี่สื้อชุนชิว”ได้บันทึกเรื่องราวของชายชาวเมืองฉู่ผู้“สลักแคมเรืองมกระ บี่”ไว้ว่า ขณะที่ชายชาวเมืองฉู่ผู้นี้นั่งเรือข้ามฟาก ขณะที่เรือกำลังแล่นอยู่กลางแม่น้ำเขาเผลอตัวทำกระบี่หล่นลงน้ำ ชายผู้นั้นจึงรีบสลักเครื่องหมายที่แคมเรือตรงที่ดาบหล่น เมื่อเรือแล่นถึงฝั่งเขาก็กระโดดลงน้ำตรงเครื่องหมายที่สลักเอาไว้งมหากระบี่ของตน การกระทำเยี่ยงนี้ผู้คนที่เห็นล้วนยึดถือเป็นการกระทำที่โง่เขลายิ่ง และนี่จึงเป็นที่มาของสำนวน“สลักเรือหากระบี่” หรือ “สลักแคมเรืองมกระบี่”
ที่แท้การกระทำของชายชาวเมืองฉู่ผู้นี้นับว่าโง่เขลาหรือไม่?
การกระทำเยี่ยงไรจึงสมควรนับว่าฉลาดหลักแหลม
ไฉนอี้จับซากลับกระทำเยี่ยงชายชาวเมืองฉู่ผู้นี้?
พลันที่อี้จับซาพบว่าซาเสียวเอี้ยเจี่ยเฮียวฮงได้ตายจากไป ความรู้สึกของมันขณะนั้นย่อมผิดหวังยิ่ง
ประกายในดวงใจของมันกลับสูญสลายไป
ประกายของกระบี่สูญสลายไป
สำหรับอี้จับซาในขณะนั้น ชีวิตของมันดูไร้ค่ายิ่ง !
อี้จับซาเดินทางสู่หมู่บ้านกระบี่เทพเจ้าเพื่อประลองกระบี่กับเจี่ยเฮียวฮง
เจี่ยเฮียวฮงที่เป็นซาเสียวเอี้ย- นายเล็กคนที่สาม ของหมู่บ้านกระบี่เทพเจ้า ผู้ที่ชนชาวยุทธยกย่องเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งของแผ่นดินในยุคนั้น
อี้จับซาก็นับเป็นมือกระบี่ที่ไร้ผู้ต่อต้าน เต๊าะเมี่ยจับซาเกี่ยม- บสามกระบี่คร่าชีวิต ของมันคล้ายดั่งไม่มีใครต้านติดมาก่อนแม้แต่น้อย
สำหรับอี้จับซา- ผู้ที่สมควรเป็นคู่ต่อสู้ของมันในยุคนั้นจึงมีแต่ซาเสียวเอี้ย
แม้ว่าอี้จับซาจะไม่มีความมั่นใจต้านกระบี่ของเจี่ยเฮียวฮงได้ และมันก็รู้ว่าการเดินทางสู่หมู่บ้านกระบี่เทพเจ้าในครั้งนี้มีแต่หนทางตายเพียงทางเดียวเท่านั้น มันก็ยังดั้นด้นไปให้ถึง
ฉายากระบี่ไร้ผู้ต่อต้านของมันคล้ายดั่งมีอำนาจบังคับควบคุมให้มันต้องกระทำเช่นนั้น!
เจี่ยเฮียวฮงตายแล้ว- ตายไปสิบเจ็ดวันแล้ว!
อี้จับซาจึงได้แต่อำลา นั่งเรือออกจากหมู่บ้านกระบี่เทพเจ้าอย่างเงียบงันยิ่ง ผิดหวังยิ่ง!
เรือลำน้อยแล่นถึงกลางทะเลสาบเล็กจุ้ยโอ้ว- ทะเลสาบวารีเขียว อี้จับซาคล้ายดั่งกระทำเรื่องราวที่โง่เขลาประการหนึ่ง
อี้จับซาพลันชักกระบี่ออกมา ขีดรูปกากบาทที่หัวเรือแล้วพุ่งกระบี่ของมันลงไปในใจกลางของทะเลสาบนั้น เรือถึงฝั่งมันเดินขึ้นจากเรืออย่างเงียบงันจากไป
นับแต่นั้นมาไม่มีผู้ใดในวงบู๊ลิ้มพบเห็นมันอีกต่อไป ตราบกระทั่ง.....
สลักเรือหากระบี่นับเป็นการกระทำที่โง่เขลายิ่ง?
ในสายตาของผู้คนทั่วไป การกระทำเยี่ยงนี้นับว่าโง่เขลายิ่งนัก อี้จับซาที่นับเป็นมือกระบี่ไร้ผู้ต่อต้านย่อมมิใช่คนโง่เขลาแม้แต่น้อย แต่ไฉนมันจึงกระทำเรื่องที่โง่เขลาปานนี้
หรือที่แท้มันคิดกระทำเรื่องที่โง่เขลาจริงๆ เสียบ้าง?
หรือที่แท้มันเองก็มิอาจตัดสินได้ว่า การกระทำเยี่ยงนั้นนับเป็นการกระทำที่โง่เขลาหรือชาญฉลาดกันแน่?
ที่แท้การกระทำแต่ละประการที่ผู้คนตัดสินว่าเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดหรือโง่เขลา มีเรื่องราวใดบ้างที่สมควรนับเป็นการกระทำที่ชาญฉลาด และเรื่องราวประการใดที่สมควรนับเป็นความโง่เขลา นี่ย่อมมิอาจยึดถือเป็นถูกต้องแน่นอนได้
การกระทำบางประการที่ผู้คนล้วนบอกโง่เขลาใช่นับเป็นความโง่เขลาจริงหรือไม่?
การกระทำบางประการที่ผู้คนบอกเป็นเรื่องชาญฉลาดยิ่ง ใช่สามารถนับเป็นเป็นการกระทำที่ฉลาดจริงๆ หรือไม่ ?
นี่ย่อมยากที่จะแยกแยะตัดสินให้แน่ชัดลงไปได้
แท้ที่จริงการกระทำเรื่องราวประการต่างๆ เหล่านี้ก็เป็นเฉกเดียวกับเหรียญที่มีสองด้าน เมื่อมองจากแง่มุมหนึ่งย่อมเห็นว่าถูกต้อง แต่ในยามที่มองจากอีกแง่มุมหนึ่งก็มิแน่ว่าจะผิดพลาด บางครั้งมาตรฐานของสังคมใช่ว่าจะสามารถตัดสินความผิดถูก ความโง่เขลาหรือฉลาดปราดเปรื่อง ความดีงามหรือชั่วร้ายให้แน่ชัดลงไปได้
แต่ไฉนผู้คนมักถือเป็นเรื่องจริงจังเกินไป
ไฉนผู้คนจึงมักยึดถือคำตัดสินของตนหรือพวกตนเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป ทั้งๆ ที่สิ่งที่ตนรับรู้หรือพบเห็นนั้นใช่ว่าตนจะสามารถเข้าใจความจริงที่เกิดขึ้นได้อย่างแน่ชัด
ดังนั้นโก้วเล้งจึงมักกล่าวเสมอ- อย่าว่าแต่เรื่องราวที่ฟังจากคำเล่าลือ แม้กระทั่งสิ่งที่สามารถเห็นด้วยตาตนเองก็มิอาจที่จะตัดสินได้ว่าเป็นดั่งที่ตนพบเห็นและรับรู้
แต่เหตุไฉนผู้คนมักแต่เชื่อถือคำเล่าลือเป็นเรื่องจริงจัง มักจะยึดสิ่งที่ตนพบเห็นเป็นความจริงที่แท้?
นี่มิใช่เพียงเพราะเรื่องราวเหล่านั้นถูกต้องตามความคิดความนิยมของตน สลอดคล้องกับประโยชน์ตน ใช่หรือไม่?
หรือนี่เป็นเพียงเพราะผู้คนเหล่านี้ล้วนเห็นว่าการคิดเยี่ยงนี้ การกระทำเยี่ยงนี้ ย่อมแสดงให้เห็นถึงความชาญฉลาดของตน?
ที่แท้ผู้ที่อ้างตนเป็นผู้ฉลาดใช่เป็นผู้ฉลาดจริงๆ !
ผู้ที่กระทำเรื่องราวบางประการประหนึ่งเป็นคนโง่เขลายิ่ง ใช่สมควรนับเป็นคนโง่เขลาจริงๆ ?
กระทำทำเยี่ยง“สลักเรือหากระบี่” สมควรนับเป็นการกระทำที่โง่เขลาใช่หรือไม่?
นับแต่อดีต-มีผู้คนบางประเภทได้รับการยกย่องจากสังคมให้เป็น“ผู้รู้”หรือเป็น “ปราชญ์” ผู้ฉลาดปราดเปรื่องในหมู่ชน
และก็มีบุคคลบางประเภทที่ถูกเรียกเป็น “คนโง่เขลา”
แต่มีไม่น้อยที่เป็นปัญหา- ปราชญ์ใช่เป็นปราชญ์ที่แท้จริงหรือไม่?
คนโง่- ใช่เป็นคนโง่เขลาจริงๆ?
มีบุคคลบางประเภทได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องรู้หลักแห่งเหตุและผล ใช้วาทกรรมอันอ้างเหตุและผลอธิบายการกระทำของตนให้ดูเป็นคนดีงาม กำหนดมาตรฐานผิดถูกชั่วดีให้กับสังคม วางกรอบขีดเส้นชะตาชีวิตให้กับผู้คนในสังคม แท้จริงสิ่งที่พวกมันรอบรู้อย่างแท้จริงมีอยู่สักแค่ไหน
หรือเป็นเพียงอ้างตนเป็นคนรอบรู้ ใช้“ศิลปะทางวาทะ”แสดงความรอบรู้ของตนหลอกลวงผู้คนเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น
ประดาพวกเหล่านี้จะแตกต่างอะไรกับบุคคลเยี่ยงแป๊ะเฮี่ยวเซ็งที่ตั้งตนเป็นปราชญ์ในการตัดสินพลานุภาพของอาวุธชนิดต่างๆ ในวงบู๊ลิ้มยุคหนึ่ง
เป็นผู้รอบรู้ที่ลี้คิมฮวงให้ความเห็น
"...คนประเภทนี้อวดอ้างว่าฉลาดปราดเปรื่องประโคมตัวเองสูงส่งเหนือธรรมดา เข้าใจว่ามันรอบรู้ในทุกเรื่องราว อาศัยคำพูดของพวกมัน ก็สามารถระบุชะตาชีวิตผู้อื่น ความจริงแล้ว เรื่องราวที่พวกมันรู้อย่างแท้จริง กลับมีอยู่สักเท่าใด?"
"เฮอะ เนื่องเพราะผู้อื่นต่างว่ามันรอบรู้ทุกศาสตร์สาขาเปรื่องปราดนทุกหลักวิชา พอถึงตอนหลัง มันก็มีแต่ต้องหลอกลวงตัวเอง อาศัยความรู้สึกนึกคิดไปยืนกรานระบุเรื่องราว"
ผู้ฉลาดปราดเปรื่องประเภทนี้เป็นเยี่ยงไร?
แท้จริงพวกมันอาจมีความฉลาดเป็นเลิศ อาจเป็นอัจฉริยะบุคคลจริงๆ แต่ผลบั้นปลายของผู้ฉลาดปราดเปรื่องเป็นเยี่ยงไร?
โก้วเล้งบอกว่า:-
ในโลกมีคนชนิดหนึ่ง มักประโคมยกตนเองเป็นเทพเจ้า
บุคคลประเภทนี้ย่อมเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์เป็นเลิศ แต่ก็นับเป็นคนบ้าคลั่ง
ผลบั้นปลายของคนบ้าคลั่ง มักอเนจอนาถยิ่ง สยดสยองยิ่ง
อัจฉริยะบุคคลที่ประสบผลบั้นปลายเยี่ยงนี้นับว่ามีมากมายยิ่ง ทั้งนี้เนื่องเพราะพวกมันก็ลืมหลงไปว่า แท้ที่จริงในบางคราพวกมันสมควรยินยอมโง่เขลาเสียบ้าง ยินยอมไม่แสดงออกถึงความฉลาดปราดเปรื่องเสียบ้างจึงจะสามารถเป็นผู้ฉลาดที่แท้จริง
“เนื่องเพราะจะอย่างไรผู้คนมิใช่เทพเจ้า ไม่สามารถกำหนดทุกสรรพสิ่งได้
กระทั่งเทพเจ้าก็ไม่สามารถ!
ประกาศิตของเทพเจ้าก็ไม่เป็นที่เคารพปฏิบัติของทุกผู้คน
คนผู้หนึ่งหากสามารถนึกถึงข้อนี้ กับผลได้ผลเสียของเรื่องประการหนึ่ง ก็ไม่ยึดถือจนสาหัสเกินไป
ความรู้สึกได้เสียของผู้คนหากเบาบางลง จะมีชีวิตอย่างสุขสมอีกมากนัก”
ดังนั้นโก้วเล้งจึงเห็นว่า
“ความโฉดเขลา(อาจ)สามารถทำให้คนผู้หนึ่งตกอยู่ในภาวการณ์โศกสลดและสามารถแปรเปลี่ยนเป็นน่าหัวร่อได้เช่นกัน”
ดังนั้น:-
“ผู้ที่สามารถปรับใจให้เป็นไปตามชะตาฟ้าดิน ปรับตัวให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมของตอนนั้นได้ จึงเป็นคนชาญฉลาดโดยแท้จริง คนประเภทนี้จึงสามารถมีชีวิตยืนยาว”
ทั้งนี้เนื่องเพราะในด้านหนึ่งของความเฉลียวฉลาดนั้นย่อมนำมาซึ่งความยุ่งยากหลายประการ นำมาซึ่งภาระและความผูกพันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นำมาซึ่งลาภยศชื่อเสียง ที่เป็นประหนึ่งขื่อคาตรึงแน่นจนยากที่จะสลัดหลุดได้มากขึ้นจนกลายเป็นพันธะผูกมัดยากที่จะมีอิสระในชีวิตได้
เยี่ยงนี้- บางครั้งหากสามารถยินยอมโง่เขลาได้ ชีวิตนับว่ามีความสุขยิ่ง ดังที่จวงจื๊อ(จวงจื๊อจอมปราชญ์, บุญศักดิ์ แสงระวี แปล, หน้า 225)กล่าวไว้ว่า
“คนเฉียบแหลมมักเหนื่อยยากลำบากกาย
คนฉลาดมักจะวิตกกังวล
คนไร้ความสามารถไม่ต้องการอะไร กินอิ่มแล้วก็ท่องเที่ยวไปทุกแห่งหน
ประดุจเรือเปล่าที่มิได้มีเชือกผูกติด เคลื่อนคล้อยโคลงเคลงไปบนสายน้ำ เป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง”
ผู้ที่เป็นปราชญ์ที่แท้จริง
ผู้ฉลาดปราดเปรื่องอย่างแท้จริงจึงย่อมเป็นไปดั่งที่เหล่าจื๊อ(วิถีแห่งเต๋า, พจนา จันทรสันติ แปล, หน้า 66) กล่าวไว้
“บุคคลผู้ชาญฉลาดแต่โบราณกาล
เปี่ยมล้นไปด้วยปรีชาญาณ
ล้ำลึกไปด้วยความรอบรู้
ลึกซึ้งจนมิอาจหยั่งถึง
และด้วยมิอาจหยั่งถึงนี้เอง
จึงจำเป็นจะต้องบรรยายลักษณะดังนี้
มีความรอบคอบ
คล้ายกำลังข้ามแม่น้ำที่แข็งตัวในฤดูหนาว
มีความระมัดระวัง
คล้ายกำลังป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในทุกที่
มีความสำรวม คล้ายกับกำลังปฏิบัติตนเป็นอาคันตุกะ
มีความอ่อนน้อม คล้ายกับหิมะที่เริ่มจะละลาย
มีความเปิดเผยซื่อตรง คล้ายกับไม้ที่ยังมิได้แกะสลัก
มีความว่าง คล้ายกับหุบเขา
และโง่งม คล้ายกับสายน้ำอันขุ่นข้น”
เยี่ยงนี้นับเป็นผู้ปราดเปรื่องอย่างแท้จริง!
ที่แท้ระหว่างอี้จับซากับแป๊ะเฮี่ยวเซ็งผู้ใดสมควรนับเป็นผู้ชาญฉลาดอย่างแท้จริง
อี้จับซานับเป็นมือกระบี่อัจฉริยะผู้หนึ่งในยุคนั้น
เป็นบุคคลที่สมควรนับเป็นผู้ชาญฉลาดในเชิงวิชากระบี่อย่างยิ่งผู้หนึ่งในยุคนั้น แต่บางครั้งการกระทำของมันไฉนจึงดูเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญายิ่ง แต่เนื่องเพราะมันสามารถกระทำในสิ่งที่โง่เขลายิ่งเยี่ยงนั้น ในบางช่วงตอนแห่งชีวิตมันจึงมีความสุขอยู่บ้าง และเนื่องเพราะมันรู้จัก “สลักเรือหากระบี่” การหายสาบสูญไปจากวงบู๊ลิ้มในครั้งนั้นจึงนับเป็นช่วงชีวิตที่มันมีความสุขอย่างแท้จริง
เป็นช่วงชีวิตที่มันสามารถมีอิสระอย่างแท้จริง!
นี่ย่อมแตกต่างไปจากแป๊ะเฮี่ยวเซ็งที่เป็น “ผู้รอบรู้” สามารถกำหนดชะตาชีวิตของผู้คนในวงบู๊ลิ้มได้ แต่เนื่องเพราะมันไม่ยินยอมที่จะเป็น “ผู้โง่เขลา” เสียบ้างในบางครั้ง ในที่สุดมันกลับติดกับดักความเป็นผู้รอบรู้ของตนเองจนมิอาจสลัดหลุด และต้องจบชีวิตลงเพราะสิ่งที่มันคิดว่ามันรอบรู้และเชี่ยวชาญที่สุด
ระหว่างอี้จับซากับแป๊ะเฮี่ยวเซ็ง ผู้ใดสมควรได้รับการยึดถือเป็นผู้ปราดเปรื่องอย่างแท้จริงเล่า?
ที่แท้ผู้ปราดเปรื่องในสังคมที่เห็นกันอยู่เป็นเยี่ยงแป๊ะเฮี่ยวเซ็งหรืออี้จับซา ?
จอมยุทธ์ผู้มีฝีมือเป็นเลิศ มีความรอบรู้ในสรรพวิชาและอาจสมควรนับเป็นอัจฉริยะในหมู่จอมยุทธ์ทั้งหลายที่เราท่านพบเห็น มีผู้ใดที่สมควรเป็นเยี่ยงอี้จับซาและผู้ใดสมควรเป็นเยี่ยงแป๊ะเฮี่ยวเซ็งบ้าง?
หรือจะคงมีแต่เหล่าจอมยุทธ์ที่มีเพียงความสามารถแลเฉลียวฉลาดในการแสดง “วาทะกรรม” หลอกลวงผู้คนเล่นไปวันๆ เพียงเพื่อให้สามารถไต่เต้าขึ้นสู่บัลลังก์แห่งอำนาจและสามารถปกป้องผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องให้คงอยู่สืบไปเท่านั้นเอง
เยี่ยงนี้ไยมิใช่สักวันหนึ่งอาจหลงวนอยู่ในกับดักแห่งความปราดเปรื่องของตนจนต้องประสบชะตากรรมเยี่ยงแป๊ะเฮี่ยวเซ็งในที่สุด
ไยมิยินยอมเป็นคนโง่เขลาเสียบ้าง ?
ไยมิยินยอม “สลักเรือหากระบี่” กันบ้าง ?
ธาตุแท้จอมยุทธ์ : จอกแหนลอยละล่องโดยไร้ราก เร่ร่อนยุทธจักรไร้จุดหมาย
(1)
ยืนโดดเดี่ยวอ้างว่างใจวังเวง
บุญคุณความแค้นสลายกับหมอกควัน
คงเหลือแต่ความร้าวรานอ้างว้าง
ร่องรอยดั่งจอกแหนตามสายน้ำ
วีรกรรมคงอยู่คู่หทัย
ความรักความในใจฝากไว้ผู้ใด
(กระบี่กู้บัลลังก์ เนี่ยอู้เซ็ง/น. นพรัตน์ )
ผู้เป็นจอมยุทธ์มักเติบโตมากับความแค้น
ความคับแค้นที่บรรพบุรุษของตนถูกทำร้ายหักหลัง ถูกเข่นฆ่าสังหารชีวิต
ดูเหมือนกับว่า ความคับแค้นเยี่ยงนี้จะคล้ายกับเป็นความคับแค้นที่ยิ่งใหญ่ยิ่ง เป็นความคับแค้นที่ “จอมยุทธ์” จะต้องมุ่งมั่น “ล้างแค้น” ให้สำเร็จ มิว่าจะต้องสูญเสียใดๆ ไปสักกี่มากน้อยก็ตาม
“บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ”
นี่คือหลักการของชนชาวบู๊ลิ้มที่ทุกคนมิอาจละเลยได้ บุตรหลานที่ไม่กระทำการแก้แค้นหรือมิอาจแก้ค้นให้กับบรรพบุรุษได้ นับเป็นบุตรหลานอกตัญญูมิอาจสู้หน้าบรรพบุรุษในปรโลกได้
สามารถล้างแค้นได้นับเป็นฉันใด?
ประวัติศาสตร์อาจไม่มีบันทึกเรื่องราวบางเรื่องราวไว้ ทั้งนี้เพราะประวัติศาสตร์เป็นเพียงผลงานของคนจำนวนหนึ่งที่ยากนักจะไม่มีอคติได้ ผู้ใดบันทึกประวัติศาสตร์ มันผู้นั้นย่อมบันทึกเพียงแต่วีรกรรม ความดีงามของตนเองและพวกพ้องหรือสังกัดของตน ขณะเดียวกันกลับละเว้นที่จะกล่าวถึงความผิดพลาดชั่วร้ายที่ฝ่ายตนก่อขึ้น ควบคู่กับบันทึกทางประวัติศาสตร์จึงอาจมีตำนาน มีนิทาน หรือนิยายที่สะท้อนความจริงอีกด้านหนึ่งของประวัติศาสตร์
นี่จึงเป็นตำนานการเข่นฆ่าสังหารชีวิตและการทรยศหักหลังกันของคนของสองตระกูลที่ฟาดฟันทำลายล้างกันเพื่อแย่งชิงอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน
เป็นตำนานการต่อสู้แย่งชิงแผ่นดินจีนระหว่างจูหยวนจางกับจางสือเฉิงที่นับเป็นพี่น้องร่วมสาบาน และเป็นศิษย์ของหลวงจีนเผิงด้วยกัน อันสืบสานความแค้นต่อจนกระทั่งถึงรุ่นบุตรหลานของทั้งคู่กรณีและบริวารผู้จงรักภักดีในยุทธจักรนิยาย“กระบี่กู้บัลลังก์” ของเนี่ยอู้เซ็ง”
ในขณะนั้นแผ่นดินจีนอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์หยวนอันเป็นชาวมองโกล ราชวงศ์หยวนกำลังอ่อนแอลงตามลำดับ ชาวจีนจำนวนไม่น้อยต่างก็คิดที่จะต่อสู้ขับไล่มองโกลออกจากแผ่นดินจีน จึงได้มีการรวบรวมกำลังขึ้นต่อต้านมองโกลเกือบในทุกพื้นที่ สองพี่น้องจูหยวนจางและจางสือเฉิงต่างก็มีปณิธานมุ่งมั่นที่จะขับไล่มองโกลเยี่ยงเดียวกัน
แลมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นใหญ่เหนือผู้ใดในแผ่นดินเยี่ยงเดียวกัน
ระหว่างขอทานน้อยจูหยวนจางกับพ่อค้าเกลือจางสือเฉิงภายหลังเมื่อสามารถสะสมกำลังผู้คนจนกลายเป็นกองทัพใหญ่เพื่อทำสงครามขับไล่มองโกล และเพื่อให้สามารถตั้งตนเป็นใหญ่มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน เพื่อให้สามารถขึ้นนั่งบนบัลลังก์มังกรได้สำเร็จ ก็ได้แต่ต้องกำจัดคู่แข่งทางการเมืองของตน เยี่ยงนี้--ในที่สุดจางสือเฉิงที่อาจอ่อนด้อยเล่ห์เพทุบายกว่า โหดเหี้ยมน้อยกว่าจึงต้องพ่ายแพ้และถูกกำจัด เพาะความแค้นให้กับบุตรหลานสืบทอดต่อมา
อีกทั้งยังเพาะความแค้นให้กับบุตรหลานของตระกูลตนและตระกูลเหล่าบริวารผู้จงรักภักดีอีกด้วย!
เป็นความแค้นที่ดูเหมือนว่านอกจากมีชีวิตของศัตรูเป็นเดิมพันแล้ว ยังมีผลต่อความเป็นไปของประเทศชาติด้วย
ระหว่างจางตันฟงกับหวินเหลยจึงนับเป็นศัตรูคู่แค้นที่ยากจะปรับความเข้าใจกันได้
หนึ่งนั้นเป็นทายาทรุ่นหลังของจางสือเฉิง หนึ่งนั้นเป็นทายาทของตระกูลที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์หมิงของปฐมกษัตริย์จูหยวนจาง
แต่ระหว่างทั้งสอง--ระหว่างความแค้นที่บรรพบุรุษมอบให้กับความรักที่ก่อตัวขึ้นในภายหลังพวกเขาจักเลือกประการใด นี่ย่อมเป็นเรื่องยุ่งยากใจมากแล้ว
หนี้แค้นรายนี้จักคลี่คลายลงฉันใด?
ฝ่ายหนึ่งต้องการแก้แค้นราชวงศ์หมิงและยึดครองแผ่นดินจีนที่ราชวงศ์หมิงปกครองกลับคืนเป็นของราชวงศ์โจว อีกฝ่ายหนึ่งกลับจงรักภักดีและปกป้องราชวงศ์หมิงยิ่งชีวิต
หนี้แค้นรายนี้จักคลี่คลายลงฉันใด?
บันทึกประวัติศาสตร์ต้าหมิงย่อมมิอาจมีเรื่องราวเกี่ยวกับจางสือเฉิงผู้ตั้งตนเป็นฮ่องเต้ก่อตั้งราชวงศ์โจวขึ้นที่เมืองซูโจวมากไปกว่าการกล่าวถึงคู่แข่งทางการเมืองที่พ่ายแพ้ผู้หนึ่ง ยิ่งเรื่องราวบุตรหลานของจางสือเฉิงก็ยิ่งมิใช่เรื่องที่จักต้องกล่าวถึง เรื่องราวของทายาทตระกูลจางจึงเป็นเพียงตำนาน
เป็นตำนานที่ยากจะสืบค้นข้อเท็จจริงได้
เป็นตำนานที่ไม่มีความจำเป็นต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริง
เพียงแต่พฤติกรรมของผู้คนในตำนานและในนิยายเหล่านี้กลับสามารถให้ความจริงประการหนึ่งแก่ผู้คน
เป็นความจริงที่มิใช่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ แต่เป็นความจริงในด้านหนึ่งของมนุษย์พันธุ์หนึ่ง
มนุษย์ผู้กระหายในอำนาจ เกียรติยศ และชื่อเสียง !
มนุษย์ที่กระหายในทรัพย์สมบัติ!
ในยุทธจักรนิยาย...
ในระหว่างสงครามแย่งชิงอำนาจระหว่างจูหยวนจางกับจางสือเฉิง บุตรชายของจางสือเฉิงคนหนึ่งสามารถหลบลี้หนีภัยออกจากซูโจวได้ เพื่อให้สามารถมีชีวิตสืบต่อและหวนกลับคืนแก้แค้นตระกูลจู(และแย่งชิงอำนาจกลับคืน) มันจึงเดินทางสู่แดนมองโกล คิดรับราชการกับราชสำนักมองโกลสะสมกองกำลังเพื่อแย่งชิงแผ่นดินจีนกับราชวงศ์หมิง
เพียงเพื่อให้สามารถได้อำนาจกลับคืนและมีอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดิน มันกลับกระทำทุกวิถีทางคล้ายเป็นการยืมมือชาวต่างชาติเป็นมาแย่งชิงอำนาจให้กับตน
ภายหลังบุตรชายของจางสือเฉิงเสียชีวิตลง บุตรชายของมัน-จางจงโจว-แซ่จางที่เป็นเผ่าพันธุ์โจว ได้สืบทอดความแค้นและเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ มุ่งมั่นใช้กองกำลังชนชาวมองโกลเผ่าอัวลารบสู้แย่งชิงอำนาจคืนจากราชวงศ์หมิง
จางจงโจวแม้เพียรพยายามดัดแปลงบทกลอนเพื่อรำลึกถึงดินแดนที่ตระกูลของตนเคยครอบครอง
ผู้ใดร้องครวญคลอเพลงซูหั่ง ดอกบัวบานตระการทั่วสิบลี้ มิคาดแมกไม้ไร้สิ้นไมตรี แม่น้ำแยงซีเกียงโศกศัลย์นิรันดร์”
แต่นี่ย่อมเป็นเพียงการครวญคร่ำถึงความรุ่งเรืองในอดีตของตนเท่านั้น
เป็นปณิธานที่เป็นไปเพียงเพื่อให้ตนสามารถมีอำนาจทางการเมืองดังในอดีตเท่านั้น
แท้ที่จริงระหว่างจางจงโจวกับราชสำนักมองโกล ผู้ใดคิดใช้ใครเป็นเครื่องมือในการล้มล้างราชวงศ์หมิงเพื่อความเป็นใหญ่ในแผ่นดินจีนอีกครั้งหนึ่ง
ความแค้นในใจของมนุษย์ยิ่งใหญ่ปานนี้หรือ?
หรือแท้ที่จริง ความกระหายในอำนาจกลับเป็นความกระหายที่ใหญ่ยิ่งกว่าความแค้นระหว่างผู้คนเสียอีก
เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ไยมิใช่พยายามที่จะกระทำทุกวิถีทาง มิว่าการกระทำเยี่ยงนั้นจะผิดหลักแห่งคุณธรรมเยี่ยงไร มิว่าการกระทำเยี่ยงนั้นจะทำลายล้างเลือดเนื้อและชีวิตผู้คนไปมากน้อยเพียงไหน ทำลายเกียรติภูมิของชาติบ้านเมืองขนาดไหน พวกมันกลับยินยอมกระทำโดยมิได้ละอายแก่ใจแม้แต่น้อย
ผู้มุ่งมาดปรารถนาที่จะมีอำนาจทางการเมืองไม่ว่ายุคสมัยใด แผ่นดินใด ไยมิใช่เป็นเช่นนี้?
เพียงเพื่อให้ตนสามารถมีอำนาจทางการเมืองอยู่ในมือ ทุกประการล้วนสามารถกระทำได้ทั้งสิ้น
เมื่อยามได้ในอำนาจ พยายามกระทำทุกวิถีทางเพื่อให้อำนาจนั้นอยู่กับตนและพวกพ้องได้ยาวนานที่สุด เมื่อยามอำนาจหลุดลอยจากไปก็พยายามทุกวิถีทาง ใช้ทุกวิธีการเพื่อให้สามารถได้อำนาจนั้นกลับคืนมา
คุณธรรมความดีงามใดๆ ในสายตาของผู้คนประเภทนี้ย่อมมิมีใดที่ควรค่าแก่การยึดถือมากไปกว่าความสามารถในอันที่จะได้ครองอำนาจ
คำ “เพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อประชาชน และเพื่อส่วนรวม” ที่ออกจากปากพวกมันไยมิใช่เป็นเพียงคำกล่าวเพื่อให้ดูดีในสายตาของผู้คนชาวโลกเท่านั้น
ทายาทจางสือเฉิง- จางจงโจวไยมิใช่เป็นเยี่ยงนี้?
ในยุทธจักรนิยาย...
หวินเจิ้งนับเป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์หมิง
มันสามารถนับเป็นขุนนางที่ดีคนหนึ่ง
เป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองผู้หนึ่ง
เป็นความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองที่อย่างน้อยกลับสามารถทำให้จางจงโจวแปรเปลี่ยนความคิดของตนได้ในระดับหนึ่ง
หวินเจิ้งนับเป็นราชทูตที่ราชวงศ์หมิงส่งไปเพื่อเจรจาสงบศึกกับข่านอัวลา ซึ่งเป็นชนเผ่ามองโกลที่มีอำนาจเหนือชนเผ่ามองโกลอื่นๆ ในยุคสมัยนั้น
จางจงโจวที่แค้นราชวงศ์หมิงอย่างรุนแรงถึงกับจับมันไปเลี้ยงม้าอยู่ในดินแดนตอนเหนืออันเยียบเย็นยิ่งนับเวลาได้ยี่สิบปี
มีผู้ใดบ้างที่ไม่คับแค้น?
น่าเสียดายที่หวินเจิ้งนำเอาความแค้นส่วนตัวนี้มาผูกมัดกับความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง
ความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองที่บางครั้งมันไม่สามารถแยกออกจากความจงรักภักดีต่อราชวงศ์หมิงได้
ความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองที่บางครั้งมันยึดถือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความจงรักภักดีต่อราชวงศ์หมิง
ในสายตาของหวินเจิ้ง ตระกูลจางมิเพียงมีความแค้นเป็นการส่วนตัวกับตนเท่านั้น แต่นับเป็นศัตรูของราชวงศ์หมิงและแผ่นดินจีนอีกด้วย
ยี่สิบปีมานี้ เราได้รับความลำบากนานัปการ กลางทะเลทรายไร้น้ำดื่ม บางครั้งต้องดื่มปัสสาวะม้าดับกระหาย เมื่อย่างเข้าฤดูฝน ต้องกัดหิมะเคี้ยวน้ำแข็ง นี่ยังไม่นับเป็นอย่างไร ที่น่าแค้นยิ่งกว่าคือ เดียรัจฉานนั้นส่งคนมาดูเรา ด่าประณามฮ่องเต้ต้าหมิงต่อหน้าเรา มันไม่ฆ่าเรา เพียงหยามเหยียบย่ำเรา”
มันได้แต่สั่งเสียให้บุตรหลานของมันแก้แค้นตระกูลจาง
“...ความแค้นนี้หากบุตรชายเราล้างไม่ได้ ก็ให้หลานเราชะล้าง สำหรับตระกูลจาง ต่อให้จางจงโจวตายไป มันก็มีทายาท ทายาทของมันต้องชดใช้กรรมแทนมัน...ขอเพียงพบสายเลือดของจางจงโจว ไม่ว่าเป็นบุรุษสตรีชราเยาว์วัย ต้องฆ่าพวกมันให้หมดสิ้น”
ความอาฆาตแค้นของผู้คนไยกลับลึกล้ำถึงเพียงนี้
หรือความแค้นนี้มิอาจคลี่คลายได้?
(2)
“ร่ำร้องเพลงดังในความโศกศัลย์
ดั่งราวสดับเสียงฆ่าฟัน
โก้วเจี้ยนสิ้นชาติไม่สิ้นปณิธาน
อู่จื่อซีหวนไห้นานเจ็ดวัน
ประเทศย่อยยับถึงคราอับจน
บุกป่าฝ่าดงผจญเสือร้าย
ในอกสั่งสมความแค้นยิ่งใหญ่
มิยอมให้ชาติล่มแผ่นดินทลาย”
(เนี่ยอู้เซ็ง/น. นพรัตน์ กระบี่กู้บัลลังก์)
คนผู้หนึ่งเมื่อมีโอกาสได้ครองอำนาจ ได้ลิ้มรสของการมีอำนาจ มีลาภ มียศถาบรรดาศักดิ์ ไยมิใช่ความคิดและจิตใจของมันแปรเปลี่ยนไป
บางครั้งถึงกับสามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นเหมือนคนละคน
ยามมีอำนาจก็ไม่อยากให้อำนาจหลุดลอยไปจากตน
อยากให้บุตรหลานและพวกพ้องบริวารของตนสามารถสืบทอดอำนาจนั้นต่อไปตราบนานเท่านาน
และในยามที่อำนาจหลุดลอยจากไป ไยมิใช่ล้วนพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้สามารถช่วงชิงอำนาจนั้นกลับคืนมา
ระหว่างจางสือเฉิงกับจูหยวนจางไยมิใช่คนประเภทนี้ ?
จางสือเฉิงสถาปนาราชวงศ์ต้าโจว คิดให้ต้าโจวของตนสามารถครอบครองผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลมีอายุยืนยาวชั่วกาลนาน บุตรหลานสืบทอดอำนาจรุ่นแล้วรุ่นเล่า ทั้งนี้เนื่องเพราะมันความจริงพบว่า เพียงระยะเวลาที่ได้อำนาจมาไม่นานนัก วิถีชีวิตของมันเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ทรัพย์สมบัติมหาศาลมันล้วนได้มาครอบครอง
จากชายหนุ่มยากแค้นที่ต้องดำรงชีวิตให้อยู่รอดได้ด้วยอาชีพพ่อค้าเกลือเถื่อน ยามมีอำนาจไยมิใช่เป็นความสุขสมหวังเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับจูหยวนจาง- จูหยวนจางอาจสถาปนาราชวงศ์หมิงขึ้นภายหลังต้าโจว แต่เนื่องเพราะจูหยวนจางมีกำลังที่เข้มแข็งกว่า เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติ“หน้าด้านใจดำ”ยิ่งกว่า ดังนั้นแผ่นดินจีนอันกว้างใหญ่ไพศาลจึงตกอยู่ภายใต้อำนาจของตระกูลจู อีกทั้งตระกูลจูก็สามารถครองอำนาจอยู่ได้อย่างยาวนานมากกว่า
จางสือเฉิงสิ้นอำนาจ กลับมุ่งหวังให้บุตรหลานของตนสามารถฟื้นฟูอำนาจที่ตนเคยมีขึ้นมาอีกครั้ง
ในขณะที่จูหยวนจางเมื่อสามารถครองอำนาจได้สำเร็จ ก็ได้แต่พยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้สามารถครองอำนาจนั้นให้ยาวนานที่สุด ในทัศนะของฮ่องเต้ราชวงศ์หมิง ผู้ที่เป็นศัตรูทางการเมืองของตนย่อมเป็นตระกูลจาง
เป็นตระกูลจางที่ถูกนับเป็นมหาโจร!
เป็นตระกูลจางที่มีศํกยภาพพอที่จะล้มล้างราชวงศ์หมิงได้ จูหยวนจางที่เป็นบรรพบุรุษฮ่องเต้หมิงจึงได้แต่มีพระบัญชาบุตรหลานของตน “กำจัดทายาทตระกูลจาง ค้นหาที่ซ่อนขุมทรัพย์ของจางสือเฉิง” แล้วแผ่นดินจีนจะสงบมั่นคง อายุของราชวงศ์หมิงก็จะยืนยาวสืบไป
ผู้ที่อำนาจหลุดลอยพยายามดิ้นทวงถามอำนาจของตนกลับคืน
ผู้ที่ครองอำนาจอยู่ ก็พยายามรักษาอำนาจของตนให้คงอยู่ด้วยวิธีการต่างๆ นานา
เยี่ยงนี้นี่ไยมิใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในทุกยุคสมัย และจะเกิดต่อไปอีกในเบื้องหน้าอันไกลโพ้น
“จูแค้นจาง จางแค้นโจว” นี่ไยมิใช่ความคับแค้นระหว่างตระกูลที่ลึกซึ้งยิ่ง?
ตระกูลจูกลัวตระกูลจางแย่งชิงอำนาจกลับคืน ตระกูลจางคับแค้นตระกูลจูคิดแก้แค้นและฟื้นฟูอำนาจตน และเนื่องเพราะความอาฆาตแค้นการแย่งชิงอำนาจของทายาทสองตระกูลนี้ กลับเพาะความแค้นให้เกิดขึ้นกับผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย
มิหนำเนื่องเพราะความแค้นนี้ กลับสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนที่มิได้เกี่ยวข้องใดๆ อีกเป็นจำนวนมหาศาล
เมื่อใดเล่าความแค้นจักสูญสลาย
เมื่อไรที่เพลิงแค้นจัดสงบและมอดดับลง?
จางตันฟง-ทายาทรุ่นที่สามของจางสือเฉิงหลบหนีจากดินแดนชนเผ่าอัวลา(มองโกลเผ่าหนึ่ง)กลับสู่ดินแดนตงง้วน หนึ่งนั้นอาจสืบเนื่องจากไม่พอใจที่บิดาคิดอาศัยกำลังเผ่าอัวลาแย่งอำนาจคืนจากราชวงศ์หมิง แต่อีกหนึ่งนั้นมันย่อมคิดแก้แค้นราชวงศ์หมิง
ในใจของมันขณะนั้นย่อมหยิ่งทะนงในความสามารถของตนยิ่งกว่าบิดา อีกทั้งยังเข้าใจถึงสภาพความเป็นจริงของการแย่งชิงผืนแผ่นดินจีนยิ่งกว่าบิดา จางตันฟงรู้ดีว่าผู้นำเผ่าอัวลาก็คิดที่จะยึดครองแผ่นดินจีนเยี่ยงเดียวกัน
ฟื้นฟูอำนาจราชวงศ์หยวนที่เคยยิ่งใหญ่ในแผ่นดินจีนเยี่ยงเดียวกัน
จางตันฟงจึงไม่เห็นด้วยที่บิดาคิดยืมกำลังเผ่าอัวลาแก้แค้นราชวงศ์หมิงและยึดแผ่นดินจีนคืนจากราชวงศ์หมิง
ความคิดเมื่อแรกเดินทางกลับแผ่นดินตงง้วนของจางตันฟงจึงเป็น-
“ข้าพเจ้าหลังจากเข้าด่าน ได้ศึกษาข้อเท็จจริงพบว่าราชวงศ์หมิงมีสภาพเหลวแหลก คิดล้างแค้นไม่ยากนัก หากข้าพเจ้าเสาะพบขุมทรัพย์แผนที่ คบหาผู้มีความรู้ความสามารถชูธงก่อการ สามารถช่วงชิงแผ่นดินจากราชวงศ์หมิงไม่ยากนัก”
แต่เมื่อจางตันฟงได้เร่ร่อนไปในยุทธจักร ได้สัมผัสกับชนชาวยุทธ ได้รู้และเข้าใจเกี่ยวกับวิถีและคุณธรรมของชนชาวยุทธ ประกอบกับคำที่เซียะเทียนหัวผู้เป็นซือแป๋สอนสั่งให้สำนึกว่าตนเป็นชาวฮั่น ความคิดของมันก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ยิ่งเมื่อความรักระหว่างมันกับหวินเหลยที่เป็นทายาทศัตรูของบิดา มันคล้ายเริ่มเข้าใจแก่นแท้ของความรักและความแค้นได้ชัดเจนขึ้น คำทักท้วงของหวินเหลยที่ว่า
“เป็นฮ่องเต้หรือไม่ ไม่มีใดน่าประหลาด เพียงแต่ท่านหากคิดชิงแผ่นดินต้าหมิง ไม่ว่าท่านยินยอมหรือไม่ ต้องเข่นฆ่าผู้คนทั้งเมือง หลั่งเลือดเนืองนองเป็นท้องธาร อย่าว่าแต่ตอนนี้มองโกลคิดรุกรานเข้ามา หากท่านลงมือต่อฮ่องเต้ต้าหมิง ไยมิใช่กลับเป็นฝ่ายช่วยเผ่าอัวลาอีกแรงหนึ่ง?”
จึงมีผลต่อความคิดของจางตันฟงไม่น้อย
ความแค้นระหว่างตระกูลจึงสมควรได้รับการคลี่คลาย
และที่สามารถคลี่คลายความแค้นได้ก็เห็นจะมีแต่ความรักและความหวังดี
ระหว่างมันกับหวินเหลยนับเป็นความแค้นที่บรรพบุรุษสร้างขึ้นไว้ แน่นอนว่าจางตันฟงย่อมไม่เกี่ยวข้องกับความแค้นนี้ในฐานะของผู้ก่อ และมันย่อมไม่มีความแค้นอันใดกับตระกูลหวิน การที่มันจะใช้ความรักและความหวังดีต่อตระกูลหวินเพื่อสลายความแค้น แท้จริงมันยินยอมพร้อมใจอย่างยิ่ง เพราะนี่ย่อมเป็นไปเพื่อตัวของมันเอง เพื่อความรักของมัน
แต่ความแค้นระหว่างตระกูลจางกับตระกูลจูเล่า สิ่งที่มันถูกบิดาสั่งสอนและสร้างสำนึกมาตลอดคือจักต้องแก้แค้นราชวงศ์หมิง ช่วงชิงแผ่นดินจีนคืนจากตระกูลจู มันสามารถล้มเลิกความคิดเยี่ยงนี้ได้หรือไม่?
ทีแรกจางตันฟงเพียงคิด หากสามารถช่วงชิงแผ่นดินจีนคืนจากราชวงศ์หมิงได้สำเร็จ สามารถเป็นฮ่องเต้ปกครองแผ่นดินจีน ก็จักสามารถสร้างความสงบสันติให้เกิดขึ้นในแผ่นดินได้ตลอดไป แต่ในที่สุดมันก็พบว่า แท้ที่จริงสามารถเป็นจริงไปได้กระนั้นหรือ
ความแค้นระหว่างคนสองคนบางครั้งทำให้ผู้คนอีกไม่น้อยต้องเดือดร้อน
ความแค้นระหว่างตระกูลที่มีเดิมพันด้วยแผ่นดินอันไพศาลไยมิใช่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้คนมากกว่าเป็นหลายเท่านัก
เนื่องเพราะเพียงต้องการตระกูลหวินต้องการแก้แค้นตระกูลจาง ไยมิใช่สามารถทำให้มันเป็นทุกข์อย่างยิ่งแล้ว หากมันมุ่งมั่นที่จะแก้แค้นตระกูลจูไยมิใช่สร้างความเดือดร้อนทุกข์ยากอย่างมหันต์แก่ผู้คนทั้งแผ่นดิน
ที่สูญเสียอย่างแท้จริงย่อมมิใช่ตระกูลจางและตระกูลจู แต่เป็นแผ่นดินจีน
นี่จึงคล้ายดั่งปณิธานของมัน
“ชีวิตคนนี้สั้นนัก เพียงหวังสงบสุขสันต์ ถือกำเนิดผู้ปราดเปรื่องตลอดกาล สมมาดปรารถนาไยต้องเป็นโอรสแห่งฟ้า”
นี่จึงเป็นปณิธานของจอมยุทธ์ที่แท้จริง
เป็นปณิธานของวีรบุรุษที่แท้จริง
เป็นปณิธานที่มุ่งมั่นให้เกิดเป็นจริงโดยไม่มุ่งหวังผลตอบแทนเพื่อให้ตนมีอำนาจ ลาภยศ หรือชื่อเสียงใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากความรักแท้จากสตรีนางหนึ่งเท่านั้น
นี่ย่อมแตกต่างไปจากคำพูดของผู้คนทั่วไปที่มักกล่าวอ้างเพื่อสร้างความสงบสุขให้กับมวลประชาและแผ่นดินแต่พฤติกรรมที่แท้กลับมุ่งหวังมีอำนาจและใช้อำนาจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตนและพวกพ้องที่มีอยู่กลาดเกลื่อนทั่วแผ่นดินขณะนั้น(และขณะนี้)
การเดินทางเข้าสู่ดินแดนตงง้วนของจางตันฟงจึงกลับเป็นไปเพื่อช่วยเหลือราชวงศ์หมิงแทนการล้มล้างเพื่อการแก้แค้น
มันย่อมยังคงมีความคับแค้นต่อราชวงศ์หมิง แต่เพียงเพื่อให้แผ่นดินสามารถอยู่รอดปลอดภัย มันได้แต่ลืมเลือนความแค้นเก่า ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างช่วยราชวงศ์หมิงให้รอดพ้นจากเภทภัยที่กำลังย่างกรายเข้ามา
เพียงแค่ฮ่องเต้ราชวงศ์หมิงมิยินยอมจำนนต่อศัตรู รู้จักจำแนกขุนนางตงฉินกังฉินไม่คิดทำร้ายขุนนางตงฉิน และคิดต่อต้านศัตรูภายนอก ความคิดที่มันมีต่อราชวงศ์หมิงนับว่าสามารถคลี่คลายได้
ขุมทรัพย์จำนวนมหาศาลที่จางสือเฉิงมุ่งหวังให้ทายาทใช้ในการแก้แค้นยึดครองแผ่นดินจากราชวงศ์หมิงจึงกลับถูกจางตันฟงค้นหาและยกให้ขุนนางราชวงศ์หมิงนำไปใช้จ่ายในทางการทหารต่อสู้กับมองโกล
แผนที่ทางการทหารของหลวงจีนเผิงผู้เป็นอาจารย์ของจูหยวนจางและจางสือเฉิง กลับถูกจางตันฟงนำส่งต่อกับแม่ทัพราชวงศ์หมิงเพื่อใช้ในการรบสู้กับมองโกลด้วยตนเอง
จางตันฟงจึงบอกต่อผู้คนตระกูลตันไถที่ทำหน้าที่เฝ้าขุมทรัพย์ให้กับตระกูลจางมาถึงสามชั่วคนว่า
“ขอท่านฟังเราเฉลยกล่าวขาน ยอดเขาตระหง่านใต้นภาลัย ในใต้หล้าก็มีชายชาติอาชาไนย ไขว้กระบี่ยืนหยัดท้าฟ้าดิน สมบัติยศศักดิ์ล้วนไร้ความหมาย คิดใช้ม้วนภาพกวาดพสุธา”
มิเพียงทรัพย์สมบัติและแผนที่ทางการทหารเท่านั้น แม้แต่ตัวของมันเองก็ยินยอมเสียสละช่วยเหลืออิงจงฮ่องเต้ที่ถูกอัวลาจับกุมตัวส่งกลับคืนแผ่นดินต้าหมิงได้สำเร็จ
ทั้งยังสามารถทำให้จางจงโจวเข้าใจ คลี่คลายความแค้นที่มีมาแต่เดิม ความคิดช่วงชิงแผ่นดินจากต้าหมิงสลายมลายสิ้น เข้าใจถึงแก่นแท้แห่งชีวิต
“เราล้วนทราบทั้งสิ้น ชีวิตคนเพียงหวังไม่ละอายแก่ใจ ไยต้องช่วงชิงความเป็นใหญ่”
แต่ฮ่องเต้ราชวงศ์หมิงเล่า?
ดูเหมือนวีรกรรมของจางตันฟงจะมิทำให้ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หมิงสามารถเข้าใจได้แม้แต่น้อยนิดเลยว่า ที่แท้จางตันฟงมุ่งหวังอะไร
การแย่งชิงอำนาจกันเองของคนในตระกูลจูกลับมิเคยจบสิ้น
จูฉีอี้ที่เป็นพระอนุชาของอิงจงฮ่องเต้ซึ่งได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นฮ่องเต้ชั่วคราวตามแผนการสู้รบกับมองโกลกลับไม่ยืมคืนราชบัลลังก์ให้พระเชษฐา มิหนำซ้ำกลับนำตัวอิงจงฮ่องเต้กักขังเอาไว้ ยามศึกสงบกลับลิดรอนอำนาจขุนนางตงฉิน ลุ่มหลงกับอำนาจและความสุขจากการเสวยอำนาจ โปรดปรานขันทีกังฉิน ปล่อยให้เหล่าขุนนางกังฉินและขันทีขึ้นมีอำนาจ ความเหลวแหลกภายในราชสำนักหมิงจึงไม่ได้รับการแก้ไขและยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นตามลำดับ
ความมุ่งหวัง “แผ่นดินสงบสันติ” ของจางตันฟงไยมิกลายเป็นความว่างเปล่าไปสิ้น
จางตันฟงยินยอมสลายความแค้นส่วนตน ช่วยเหลือราชวงศ์หมิงกอบกู้เกียรติภูมิและป้องกันภัยให้แผ่นดิน ให้แผ่นดินมาตุภูมิรอดพ้นจากการรุกรานของชนต่างชาติ แต่ในที่สุดแล้วประชาชนกลับมิเคยปลอดภัยจากผู้มีอำนาจในแผ่นดินเลยแม้แต่น้อย
เยี่ยงนี้ บั้นปลายชีวิตของจางตันฟงไยมิใช่เป็นดั่ง “จอกแหนลอยละล่องไร้ราก เร่ร่อนยุทธจักรไร้จุดหมาย” ดีแต่ความแค้นระหว่างตระกูลจางกับตระกูลหวินกลับคลี่คลายสลายสิ้น ความรักสุขสมหวัง แม้นจัก “เร่ร่อนยุทธจักรไร้จุดหมาย” ใช่สามารถมีความสุขยิ่งกว่าการได้ครองอำนาจเป็นใหญ่เหนือผู้คน แต่เต็มไปด้วยศัตรูผู้อาฆาตแค้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แน่นอน--หากตระกูลจางสามารถแย่งชิงแผ่นดินต้าหมิงได้สำเร็จ พวกมันกลับต้องระแวดระวังตระกูลจูแย่งชิงอำนาจคืนกลับ มิเพียงตนต้องตกอยู่ท่ามกลางความเคียดแค้นของผู้คน มิหนำซ้ำประชาชนทั่วทั้งแผ่นดินย่อมประสบความเดือดร้อนไปทั่ว และจักมีชีวิตผู้คนอำจำนวนมากมายแค่ไหนที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับการแย่งชิงอำนาจของสองตระกูลนี้
จอมยุทธ์หรือวีรบุรุษที่แท้จึงย่อมมิใช่ผู้ที่สามารถมีชัยเหนือผู้อื่นเท่านั้น
ยิ่งย่อมมิใช่ผู้ที่มีความสามารถในอันที่จะก้าวขึ้นสู่บัลลังก์แห่งอำนาจ ครองอำนาจเพื่อสั่งสมผลประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง รักษาอำนาจไว้เพื่อตนจักได้เสวยสุขให้ยืนยาว
และย่อมมิใช่การต่อสู้แย่งชิงอำนาจเพื่อแสวงหาเกียรติยศชื่อเสียงเฉพาะตนโดยมิได้คำนึงถึงความสงบสุขของแผ่นดินอย่างแท้จริง
มีนักสู้ผู้กล้าใดบ้างที่สมควรได้รับการยกย่องเป็นจอมยุทธ์ที่แท้?
มีวีรบุรุษใดบ้างที่สมควรได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษที่แท้เยี่ยงนี้?
ยืนโดดเดี่ยวอ้างว่างใจวังเวง
บุญคุณความแค้นสลายกับหมอกควัน
คงเหลือแต่ความร้าวรานอ้างว้าง
ร่องรอยดั่งจอกแหนตามสายน้ำ
วีรกรรมคงอยู่คู่หทัย
ความรักความในใจฝากไว้ผู้ใด
(กระบี่กู้บัลลังก์ เนี่ยอู้เซ็ง/น. นพรัตน์ )
ผู้เป็นจอมยุทธ์มักเติบโตมากับความแค้น
ความคับแค้นที่บรรพบุรุษของตนถูกทำร้ายหักหลัง ถูกเข่นฆ่าสังหารชีวิต
ดูเหมือนกับว่า ความคับแค้นเยี่ยงนี้จะคล้ายกับเป็นความคับแค้นที่ยิ่งใหญ่ยิ่ง เป็นความคับแค้นที่ “จอมยุทธ์” จะต้องมุ่งมั่น “ล้างแค้น” ให้สำเร็จ มิว่าจะต้องสูญเสียใดๆ ไปสักกี่มากน้อยก็ตาม
“บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ”
นี่คือหลักการของชนชาวบู๊ลิ้มที่ทุกคนมิอาจละเลยได้ บุตรหลานที่ไม่กระทำการแก้แค้นหรือมิอาจแก้ค้นให้กับบรรพบุรุษได้ นับเป็นบุตรหลานอกตัญญูมิอาจสู้หน้าบรรพบุรุษในปรโลกได้
สามารถล้างแค้นได้นับเป็นฉันใด?
ประวัติศาสตร์อาจไม่มีบันทึกเรื่องราวบางเรื่องราวไว้ ทั้งนี้เพราะประวัติศาสตร์เป็นเพียงผลงานของคนจำนวนหนึ่งที่ยากนักจะไม่มีอคติได้ ผู้ใดบันทึกประวัติศาสตร์ มันผู้นั้นย่อมบันทึกเพียงแต่วีรกรรม ความดีงามของตนเองและพวกพ้องหรือสังกัดของตน ขณะเดียวกันกลับละเว้นที่จะกล่าวถึงความผิดพลาดชั่วร้ายที่ฝ่ายตนก่อขึ้น ควบคู่กับบันทึกทางประวัติศาสตร์จึงอาจมีตำนาน มีนิทาน หรือนิยายที่สะท้อนความจริงอีกด้านหนึ่งของประวัติศาสตร์
นี่จึงเป็นตำนานการเข่นฆ่าสังหารชีวิตและการทรยศหักหลังกันของคนของสองตระกูลที่ฟาดฟันทำลายล้างกันเพื่อแย่งชิงอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน
เป็นตำนานการต่อสู้แย่งชิงแผ่นดินจีนระหว่างจูหยวนจางกับจางสือเฉิงที่นับเป็นพี่น้องร่วมสาบาน และเป็นศิษย์ของหลวงจีนเผิงด้วยกัน อันสืบสานความแค้นต่อจนกระทั่งถึงรุ่นบุตรหลานของทั้งคู่กรณีและบริวารผู้จงรักภักดีในยุทธจักรนิยาย“กระบี่กู้บัลลังก์” ของเนี่ยอู้เซ็ง”
ในขณะนั้นแผ่นดินจีนอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์หยวนอันเป็นชาวมองโกล ราชวงศ์หยวนกำลังอ่อนแอลงตามลำดับ ชาวจีนจำนวนไม่น้อยต่างก็คิดที่จะต่อสู้ขับไล่มองโกลออกจากแผ่นดินจีน จึงได้มีการรวบรวมกำลังขึ้นต่อต้านมองโกลเกือบในทุกพื้นที่ สองพี่น้องจูหยวนจางและจางสือเฉิงต่างก็มีปณิธานมุ่งมั่นที่จะขับไล่มองโกลเยี่ยงเดียวกัน
แลมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นใหญ่เหนือผู้ใดในแผ่นดินเยี่ยงเดียวกัน
ระหว่างขอทานน้อยจูหยวนจางกับพ่อค้าเกลือจางสือเฉิงภายหลังเมื่อสามารถสะสมกำลังผู้คนจนกลายเป็นกองทัพใหญ่เพื่อทำสงครามขับไล่มองโกล และเพื่อให้สามารถตั้งตนเป็นใหญ่มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน เพื่อให้สามารถขึ้นนั่งบนบัลลังก์มังกรได้สำเร็จ ก็ได้แต่ต้องกำจัดคู่แข่งทางการเมืองของตน เยี่ยงนี้--ในที่สุดจางสือเฉิงที่อาจอ่อนด้อยเล่ห์เพทุบายกว่า โหดเหี้ยมน้อยกว่าจึงต้องพ่ายแพ้และถูกกำจัด เพาะความแค้นให้กับบุตรหลานสืบทอดต่อมา
อีกทั้งยังเพาะความแค้นให้กับบุตรหลานของตระกูลตนและตระกูลเหล่าบริวารผู้จงรักภักดีอีกด้วย!
เป็นความแค้นที่ดูเหมือนว่านอกจากมีชีวิตของศัตรูเป็นเดิมพันแล้ว ยังมีผลต่อความเป็นไปของประเทศชาติด้วย
ระหว่างจางตันฟงกับหวินเหลยจึงนับเป็นศัตรูคู่แค้นที่ยากจะปรับความเข้าใจกันได้
หนึ่งนั้นเป็นทายาทรุ่นหลังของจางสือเฉิง หนึ่งนั้นเป็นทายาทของตระกูลที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์หมิงของปฐมกษัตริย์จูหยวนจาง
แต่ระหว่างทั้งสอง--ระหว่างความแค้นที่บรรพบุรุษมอบให้กับความรักที่ก่อตัวขึ้นในภายหลังพวกเขาจักเลือกประการใด นี่ย่อมเป็นเรื่องยุ่งยากใจมากแล้ว
หนี้แค้นรายนี้จักคลี่คลายลงฉันใด?
ฝ่ายหนึ่งต้องการแก้แค้นราชวงศ์หมิงและยึดครองแผ่นดินจีนที่ราชวงศ์หมิงปกครองกลับคืนเป็นของราชวงศ์โจว อีกฝ่ายหนึ่งกลับจงรักภักดีและปกป้องราชวงศ์หมิงยิ่งชีวิต
หนี้แค้นรายนี้จักคลี่คลายลงฉันใด?
บันทึกประวัติศาสตร์ต้าหมิงย่อมมิอาจมีเรื่องราวเกี่ยวกับจางสือเฉิงผู้ตั้งตนเป็นฮ่องเต้ก่อตั้งราชวงศ์โจวขึ้นที่เมืองซูโจวมากไปกว่าการกล่าวถึงคู่แข่งทางการเมืองที่พ่ายแพ้ผู้หนึ่ง ยิ่งเรื่องราวบุตรหลานของจางสือเฉิงก็ยิ่งมิใช่เรื่องที่จักต้องกล่าวถึง เรื่องราวของทายาทตระกูลจางจึงเป็นเพียงตำนาน
เป็นตำนานที่ยากจะสืบค้นข้อเท็จจริงได้
เป็นตำนานที่ไม่มีความจำเป็นต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริง
เพียงแต่พฤติกรรมของผู้คนในตำนานและในนิยายเหล่านี้กลับสามารถให้ความจริงประการหนึ่งแก่ผู้คน
เป็นความจริงที่มิใช่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ แต่เป็นความจริงในด้านหนึ่งของมนุษย์พันธุ์หนึ่ง
มนุษย์ผู้กระหายในอำนาจ เกียรติยศ และชื่อเสียง !
มนุษย์ที่กระหายในทรัพย์สมบัติ!
ในยุทธจักรนิยาย...
ในระหว่างสงครามแย่งชิงอำนาจระหว่างจูหยวนจางกับจางสือเฉิง บุตรชายของจางสือเฉิงคนหนึ่งสามารถหลบลี้หนีภัยออกจากซูโจวได้ เพื่อให้สามารถมีชีวิตสืบต่อและหวนกลับคืนแก้แค้นตระกูลจู(และแย่งชิงอำนาจกลับคืน) มันจึงเดินทางสู่แดนมองโกล คิดรับราชการกับราชสำนักมองโกลสะสมกองกำลังเพื่อแย่งชิงแผ่นดินจีนกับราชวงศ์หมิง
เพียงเพื่อให้สามารถได้อำนาจกลับคืนและมีอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดิน มันกลับกระทำทุกวิถีทางคล้ายเป็นการยืมมือชาวต่างชาติเป็นมาแย่งชิงอำนาจให้กับตน
ภายหลังบุตรชายของจางสือเฉิงเสียชีวิตลง บุตรชายของมัน-จางจงโจว-แซ่จางที่เป็นเผ่าพันธุ์โจว ได้สืบทอดความแค้นและเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ มุ่งมั่นใช้กองกำลังชนชาวมองโกลเผ่าอัวลารบสู้แย่งชิงอำนาจคืนจากราชวงศ์หมิง
จางจงโจวแม้เพียรพยายามดัดแปลงบทกลอนเพื่อรำลึกถึงดินแดนที่ตระกูลของตนเคยครอบครอง
ผู้ใดร้องครวญคลอเพลงซูหั่ง ดอกบัวบานตระการทั่วสิบลี้ มิคาดแมกไม้ไร้สิ้นไมตรี แม่น้ำแยงซีเกียงโศกศัลย์นิรันดร์”
แต่นี่ย่อมเป็นเพียงการครวญคร่ำถึงความรุ่งเรืองในอดีตของตนเท่านั้น
เป็นปณิธานที่เป็นไปเพียงเพื่อให้ตนสามารถมีอำนาจทางการเมืองดังในอดีตเท่านั้น
แท้ที่จริงระหว่างจางจงโจวกับราชสำนักมองโกล ผู้ใดคิดใช้ใครเป็นเครื่องมือในการล้มล้างราชวงศ์หมิงเพื่อความเป็นใหญ่ในแผ่นดินจีนอีกครั้งหนึ่ง
ความแค้นในใจของมนุษย์ยิ่งใหญ่ปานนี้หรือ?
หรือแท้ที่จริง ความกระหายในอำนาจกลับเป็นความกระหายที่ใหญ่ยิ่งกว่าความแค้นระหว่างผู้คนเสียอีก
เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ไยมิใช่พยายามที่จะกระทำทุกวิถีทาง มิว่าการกระทำเยี่ยงนั้นจะผิดหลักแห่งคุณธรรมเยี่ยงไร มิว่าการกระทำเยี่ยงนั้นจะทำลายล้างเลือดเนื้อและชีวิตผู้คนไปมากน้อยเพียงไหน ทำลายเกียรติภูมิของชาติบ้านเมืองขนาดไหน พวกมันกลับยินยอมกระทำโดยมิได้ละอายแก่ใจแม้แต่น้อย
ผู้มุ่งมาดปรารถนาที่จะมีอำนาจทางการเมืองไม่ว่ายุคสมัยใด แผ่นดินใด ไยมิใช่เป็นเช่นนี้?
เพียงเพื่อให้ตนสามารถมีอำนาจทางการเมืองอยู่ในมือ ทุกประการล้วนสามารถกระทำได้ทั้งสิ้น
เมื่อยามได้ในอำนาจ พยายามกระทำทุกวิถีทางเพื่อให้อำนาจนั้นอยู่กับตนและพวกพ้องได้ยาวนานที่สุด เมื่อยามอำนาจหลุดลอยจากไปก็พยายามทุกวิถีทาง ใช้ทุกวิธีการเพื่อให้สามารถได้อำนาจนั้นกลับคืนมา
คุณธรรมความดีงามใดๆ ในสายตาของผู้คนประเภทนี้ย่อมมิมีใดที่ควรค่าแก่การยึดถือมากไปกว่าความสามารถในอันที่จะได้ครองอำนาจ
คำ “เพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อประชาชน และเพื่อส่วนรวม” ที่ออกจากปากพวกมันไยมิใช่เป็นเพียงคำกล่าวเพื่อให้ดูดีในสายตาของผู้คนชาวโลกเท่านั้น
ทายาทจางสือเฉิง- จางจงโจวไยมิใช่เป็นเยี่ยงนี้?
ในยุทธจักรนิยาย...
หวินเจิ้งนับเป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์หมิง
มันสามารถนับเป็นขุนนางที่ดีคนหนึ่ง
เป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองผู้หนึ่ง
เป็นความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองที่อย่างน้อยกลับสามารถทำให้จางจงโจวแปรเปลี่ยนความคิดของตนได้ในระดับหนึ่ง
หวินเจิ้งนับเป็นราชทูตที่ราชวงศ์หมิงส่งไปเพื่อเจรจาสงบศึกกับข่านอัวลา ซึ่งเป็นชนเผ่ามองโกลที่มีอำนาจเหนือชนเผ่ามองโกลอื่นๆ ในยุคสมัยนั้น
จางจงโจวที่แค้นราชวงศ์หมิงอย่างรุนแรงถึงกับจับมันไปเลี้ยงม้าอยู่ในดินแดนตอนเหนืออันเยียบเย็นยิ่งนับเวลาได้ยี่สิบปี
มีผู้ใดบ้างที่ไม่คับแค้น?
น่าเสียดายที่หวินเจิ้งนำเอาความแค้นส่วนตัวนี้มาผูกมัดกับความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง
ความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองที่บางครั้งมันไม่สามารถแยกออกจากความจงรักภักดีต่อราชวงศ์หมิงได้
ความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองที่บางครั้งมันยึดถือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความจงรักภักดีต่อราชวงศ์หมิง
ในสายตาของหวินเจิ้ง ตระกูลจางมิเพียงมีความแค้นเป็นการส่วนตัวกับตนเท่านั้น แต่นับเป็นศัตรูของราชวงศ์หมิงและแผ่นดินจีนอีกด้วย
ยี่สิบปีมานี้ เราได้รับความลำบากนานัปการ กลางทะเลทรายไร้น้ำดื่ม บางครั้งต้องดื่มปัสสาวะม้าดับกระหาย เมื่อย่างเข้าฤดูฝน ต้องกัดหิมะเคี้ยวน้ำแข็ง นี่ยังไม่นับเป็นอย่างไร ที่น่าแค้นยิ่งกว่าคือ เดียรัจฉานนั้นส่งคนมาดูเรา ด่าประณามฮ่องเต้ต้าหมิงต่อหน้าเรา มันไม่ฆ่าเรา เพียงหยามเหยียบย่ำเรา”
มันได้แต่สั่งเสียให้บุตรหลานของมันแก้แค้นตระกูลจาง
“...ความแค้นนี้หากบุตรชายเราล้างไม่ได้ ก็ให้หลานเราชะล้าง สำหรับตระกูลจาง ต่อให้จางจงโจวตายไป มันก็มีทายาท ทายาทของมันต้องชดใช้กรรมแทนมัน...ขอเพียงพบสายเลือดของจางจงโจว ไม่ว่าเป็นบุรุษสตรีชราเยาว์วัย ต้องฆ่าพวกมันให้หมดสิ้น”
ความอาฆาตแค้นของผู้คนไยกลับลึกล้ำถึงเพียงนี้
หรือความแค้นนี้มิอาจคลี่คลายได้?
(2)
“ร่ำร้องเพลงดังในความโศกศัลย์
ดั่งราวสดับเสียงฆ่าฟัน
โก้วเจี้ยนสิ้นชาติไม่สิ้นปณิธาน
อู่จื่อซีหวนไห้นานเจ็ดวัน
ประเทศย่อยยับถึงคราอับจน
บุกป่าฝ่าดงผจญเสือร้าย
ในอกสั่งสมความแค้นยิ่งใหญ่
มิยอมให้ชาติล่มแผ่นดินทลาย”
(เนี่ยอู้เซ็ง/น. นพรัตน์ กระบี่กู้บัลลังก์)
คนผู้หนึ่งเมื่อมีโอกาสได้ครองอำนาจ ได้ลิ้มรสของการมีอำนาจ มีลาภ มียศถาบรรดาศักดิ์ ไยมิใช่ความคิดและจิตใจของมันแปรเปลี่ยนไป
บางครั้งถึงกับสามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นเหมือนคนละคน
ยามมีอำนาจก็ไม่อยากให้อำนาจหลุดลอยไปจากตน
อยากให้บุตรหลานและพวกพ้องบริวารของตนสามารถสืบทอดอำนาจนั้นต่อไปตราบนานเท่านาน
และในยามที่อำนาจหลุดลอยจากไป ไยมิใช่ล้วนพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้สามารถช่วงชิงอำนาจนั้นกลับคืนมา
ระหว่างจางสือเฉิงกับจูหยวนจางไยมิใช่คนประเภทนี้ ?
จางสือเฉิงสถาปนาราชวงศ์ต้าโจว คิดให้ต้าโจวของตนสามารถครอบครองผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลมีอายุยืนยาวชั่วกาลนาน บุตรหลานสืบทอดอำนาจรุ่นแล้วรุ่นเล่า ทั้งนี้เนื่องเพราะมันความจริงพบว่า เพียงระยะเวลาที่ได้อำนาจมาไม่นานนัก วิถีชีวิตของมันเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ทรัพย์สมบัติมหาศาลมันล้วนได้มาครอบครอง
จากชายหนุ่มยากแค้นที่ต้องดำรงชีวิตให้อยู่รอดได้ด้วยอาชีพพ่อค้าเกลือเถื่อน ยามมีอำนาจไยมิใช่เป็นความสุขสมหวังเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับจูหยวนจาง- จูหยวนจางอาจสถาปนาราชวงศ์หมิงขึ้นภายหลังต้าโจว แต่เนื่องเพราะจูหยวนจางมีกำลังที่เข้มแข็งกว่า เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติ“หน้าด้านใจดำ”ยิ่งกว่า ดังนั้นแผ่นดินจีนอันกว้างใหญ่ไพศาลจึงตกอยู่ภายใต้อำนาจของตระกูลจู อีกทั้งตระกูลจูก็สามารถครองอำนาจอยู่ได้อย่างยาวนานมากกว่า
จางสือเฉิงสิ้นอำนาจ กลับมุ่งหวังให้บุตรหลานของตนสามารถฟื้นฟูอำนาจที่ตนเคยมีขึ้นมาอีกครั้ง
ในขณะที่จูหยวนจางเมื่อสามารถครองอำนาจได้สำเร็จ ก็ได้แต่พยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้สามารถครองอำนาจนั้นให้ยาวนานที่สุด ในทัศนะของฮ่องเต้ราชวงศ์หมิง ผู้ที่เป็นศัตรูทางการเมืองของตนย่อมเป็นตระกูลจาง
เป็นตระกูลจางที่ถูกนับเป็นมหาโจร!
เป็นตระกูลจางที่มีศํกยภาพพอที่จะล้มล้างราชวงศ์หมิงได้ จูหยวนจางที่เป็นบรรพบุรุษฮ่องเต้หมิงจึงได้แต่มีพระบัญชาบุตรหลานของตน “กำจัดทายาทตระกูลจาง ค้นหาที่ซ่อนขุมทรัพย์ของจางสือเฉิง” แล้วแผ่นดินจีนจะสงบมั่นคง อายุของราชวงศ์หมิงก็จะยืนยาวสืบไป
ผู้ที่อำนาจหลุดลอยพยายามดิ้นทวงถามอำนาจของตนกลับคืน
ผู้ที่ครองอำนาจอยู่ ก็พยายามรักษาอำนาจของตนให้คงอยู่ด้วยวิธีการต่างๆ นานา
เยี่ยงนี้นี่ไยมิใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในทุกยุคสมัย และจะเกิดต่อไปอีกในเบื้องหน้าอันไกลโพ้น
“จูแค้นจาง จางแค้นโจว” นี่ไยมิใช่ความคับแค้นระหว่างตระกูลที่ลึกซึ้งยิ่ง?
ตระกูลจูกลัวตระกูลจางแย่งชิงอำนาจกลับคืน ตระกูลจางคับแค้นตระกูลจูคิดแก้แค้นและฟื้นฟูอำนาจตน และเนื่องเพราะความอาฆาตแค้นการแย่งชิงอำนาจของทายาทสองตระกูลนี้ กลับเพาะความแค้นให้เกิดขึ้นกับผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย
มิหนำเนื่องเพราะความแค้นนี้ กลับสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนที่มิได้เกี่ยวข้องใดๆ อีกเป็นจำนวนมหาศาล
เมื่อใดเล่าความแค้นจักสูญสลาย
เมื่อไรที่เพลิงแค้นจัดสงบและมอดดับลง?
จางตันฟง-ทายาทรุ่นที่สามของจางสือเฉิงหลบหนีจากดินแดนชนเผ่าอัวลา(มองโกลเผ่าหนึ่ง)กลับสู่ดินแดนตงง้วน หนึ่งนั้นอาจสืบเนื่องจากไม่พอใจที่บิดาคิดอาศัยกำลังเผ่าอัวลาแย่งอำนาจคืนจากราชวงศ์หมิง แต่อีกหนึ่งนั้นมันย่อมคิดแก้แค้นราชวงศ์หมิง
ในใจของมันขณะนั้นย่อมหยิ่งทะนงในความสามารถของตนยิ่งกว่าบิดา อีกทั้งยังเข้าใจถึงสภาพความเป็นจริงของการแย่งชิงผืนแผ่นดินจีนยิ่งกว่าบิดา จางตันฟงรู้ดีว่าผู้นำเผ่าอัวลาก็คิดที่จะยึดครองแผ่นดินจีนเยี่ยงเดียวกัน
ฟื้นฟูอำนาจราชวงศ์หยวนที่เคยยิ่งใหญ่ในแผ่นดินจีนเยี่ยงเดียวกัน
จางตันฟงจึงไม่เห็นด้วยที่บิดาคิดยืมกำลังเผ่าอัวลาแก้แค้นราชวงศ์หมิงและยึดแผ่นดินจีนคืนจากราชวงศ์หมิง
ความคิดเมื่อแรกเดินทางกลับแผ่นดินตงง้วนของจางตันฟงจึงเป็น-
“ข้าพเจ้าหลังจากเข้าด่าน ได้ศึกษาข้อเท็จจริงพบว่าราชวงศ์หมิงมีสภาพเหลวแหลก คิดล้างแค้นไม่ยากนัก หากข้าพเจ้าเสาะพบขุมทรัพย์แผนที่ คบหาผู้มีความรู้ความสามารถชูธงก่อการ สามารถช่วงชิงแผ่นดินจากราชวงศ์หมิงไม่ยากนัก”
แต่เมื่อจางตันฟงได้เร่ร่อนไปในยุทธจักร ได้สัมผัสกับชนชาวยุทธ ได้รู้และเข้าใจเกี่ยวกับวิถีและคุณธรรมของชนชาวยุทธ ประกอบกับคำที่เซียะเทียนหัวผู้เป็นซือแป๋สอนสั่งให้สำนึกว่าตนเป็นชาวฮั่น ความคิดของมันก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ยิ่งเมื่อความรักระหว่างมันกับหวินเหลยที่เป็นทายาทศัตรูของบิดา มันคล้ายเริ่มเข้าใจแก่นแท้ของความรักและความแค้นได้ชัดเจนขึ้น คำทักท้วงของหวินเหลยที่ว่า
“เป็นฮ่องเต้หรือไม่ ไม่มีใดน่าประหลาด เพียงแต่ท่านหากคิดชิงแผ่นดินต้าหมิง ไม่ว่าท่านยินยอมหรือไม่ ต้องเข่นฆ่าผู้คนทั้งเมือง หลั่งเลือดเนืองนองเป็นท้องธาร อย่าว่าแต่ตอนนี้มองโกลคิดรุกรานเข้ามา หากท่านลงมือต่อฮ่องเต้ต้าหมิง ไยมิใช่กลับเป็นฝ่ายช่วยเผ่าอัวลาอีกแรงหนึ่ง?”
จึงมีผลต่อความคิดของจางตันฟงไม่น้อย
ความแค้นระหว่างตระกูลจึงสมควรได้รับการคลี่คลาย
และที่สามารถคลี่คลายความแค้นได้ก็เห็นจะมีแต่ความรักและความหวังดี
ระหว่างมันกับหวินเหลยนับเป็นความแค้นที่บรรพบุรุษสร้างขึ้นไว้ แน่นอนว่าจางตันฟงย่อมไม่เกี่ยวข้องกับความแค้นนี้ในฐานะของผู้ก่อ และมันย่อมไม่มีความแค้นอันใดกับตระกูลหวิน การที่มันจะใช้ความรักและความหวังดีต่อตระกูลหวินเพื่อสลายความแค้น แท้จริงมันยินยอมพร้อมใจอย่างยิ่ง เพราะนี่ย่อมเป็นไปเพื่อตัวของมันเอง เพื่อความรักของมัน
แต่ความแค้นระหว่างตระกูลจางกับตระกูลจูเล่า สิ่งที่มันถูกบิดาสั่งสอนและสร้างสำนึกมาตลอดคือจักต้องแก้แค้นราชวงศ์หมิง ช่วงชิงแผ่นดินจีนคืนจากตระกูลจู มันสามารถล้มเลิกความคิดเยี่ยงนี้ได้หรือไม่?
ทีแรกจางตันฟงเพียงคิด หากสามารถช่วงชิงแผ่นดินจีนคืนจากราชวงศ์หมิงได้สำเร็จ สามารถเป็นฮ่องเต้ปกครองแผ่นดินจีน ก็จักสามารถสร้างความสงบสันติให้เกิดขึ้นในแผ่นดินได้ตลอดไป แต่ในที่สุดมันก็พบว่า แท้ที่จริงสามารถเป็นจริงไปได้กระนั้นหรือ
ความแค้นระหว่างคนสองคนบางครั้งทำให้ผู้คนอีกไม่น้อยต้องเดือดร้อน
ความแค้นระหว่างตระกูลที่มีเดิมพันด้วยแผ่นดินอันไพศาลไยมิใช่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้คนมากกว่าเป็นหลายเท่านัก
เนื่องเพราะเพียงต้องการตระกูลหวินต้องการแก้แค้นตระกูลจาง ไยมิใช่สามารถทำให้มันเป็นทุกข์อย่างยิ่งแล้ว หากมันมุ่งมั่นที่จะแก้แค้นตระกูลจูไยมิใช่สร้างความเดือดร้อนทุกข์ยากอย่างมหันต์แก่ผู้คนทั้งแผ่นดิน
ที่สูญเสียอย่างแท้จริงย่อมมิใช่ตระกูลจางและตระกูลจู แต่เป็นแผ่นดินจีน
นี่จึงคล้ายดั่งปณิธานของมัน
“ชีวิตคนนี้สั้นนัก เพียงหวังสงบสุขสันต์ ถือกำเนิดผู้ปราดเปรื่องตลอดกาล สมมาดปรารถนาไยต้องเป็นโอรสแห่งฟ้า”
นี่จึงเป็นปณิธานของจอมยุทธ์ที่แท้จริง
เป็นปณิธานของวีรบุรุษที่แท้จริง
เป็นปณิธานที่มุ่งมั่นให้เกิดเป็นจริงโดยไม่มุ่งหวังผลตอบแทนเพื่อให้ตนมีอำนาจ ลาภยศ หรือชื่อเสียงใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากความรักแท้จากสตรีนางหนึ่งเท่านั้น
นี่ย่อมแตกต่างไปจากคำพูดของผู้คนทั่วไปที่มักกล่าวอ้างเพื่อสร้างความสงบสุขให้กับมวลประชาและแผ่นดินแต่พฤติกรรมที่แท้กลับมุ่งหวังมีอำนาจและใช้อำนาจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตนและพวกพ้องที่มีอยู่กลาดเกลื่อนทั่วแผ่นดินขณะนั้น(และขณะนี้)
การเดินทางเข้าสู่ดินแดนตงง้วนของจางตันฟงจึงกลับเป็นไปเพื่อช่วยเหลือราชวงศ์หมิงแทนการล้มล้างเพื่อการแก้แค้น
มันย่อมยังคงมีความคับแค้นต่อราชวงศ์หมิง แต่เพียงเพื่อให้แผ่นดินสามารถอยู่รอดปลอดภัย มันได้แต่ลืมเลือนความแค้นเก่า ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างช่วยราชวงศ์หมิงให้รอดพ้นจากเภทภัยที่กำลังย่างกรายเข้ามา
เพียงแค่ฮ่องเต้ราชวงศ์หมิงมิยินยอมจำนนต่อศัตรู รู้จักจำแนกขุนนางตงฉินกังฉินไม่คิดทำร้ายขุนนางตงฉิน และคิดต่อต้านศัตรูภายนอก ความคิดที่มันมีต่อราชวงศ์หมิงนับว่าสามารถคลี่คลายได้
ขุมทรัพย์จำนวนมหาศาลที่จางสือเฉิงมุ่งหวังให้ทายาทใช้ในการแก้แค้นยึดครองแผ่นดินจากราชวงศ์หมิงจึงกลับถูกจางตันฟงค้นหาและยกให้ขุนนางราชวงศ์หมิงนำไปใช้จ่ายในทางการทหารต่อสู้กับมองโกล
แผนที่ทางการทหารของหลวงจีนเผิงผู้เป็นอาจารย์ของจูหยวนจางและจางสือเฉิง กลับถูกจางตันฟงนำส่งต่อกับแม่ทัพราชวงศ์หมิงเพื่อใช้ในการรบสู้กับมองโกลด้วยตนเอง
จางตันฟงจึงบอกต่อผู้คนตระกูลตันไถที่ทำหน้าที่เฝ้าขุมทรัพย์ให้กับตระกูลจางมาถึงสามชั่วคนว่า
“ขอท่านฟังเราเฉลยกล่าวขาน ยอดเขาตระหง่านใต้นภาลัย ในใต้หล้าก็มีชายชาติอาชาไนย ไขว้กระบี่ยืนหยัดท้าฟ้าดิน สมบัติยศศักดิ์ล้วนไร้ความหมาย คิดใช้ม้วนภาพกวาดพสุธา”
มิเพียงทรัพย์สมบัติและแผนที่ทางการทหารเท่านั้น แม้แต่ตัวของมันเองก็ยินยอมเสียสละช่วยเหลืออิงจงฮ่องเต้ที่ถูกอัวลาจับกุมตัวส่งกลับคืนแผ่นดินต้าหมิงได้สำเร็จ
ทั้งยังสามารถทำให้จางจงโจวเข้าใจ คลี่คลายความแค้นที่มีมาแต่เดิม ความคิดช่วงชิงแผ่นดินจากต้าหมิงสลายมลายสิ้น เข้าใจถึงแก่นแท้แห่งชีวิต
“เราล้วนทราบทั้งสิ้น ชีวิตคนเพียงหวังไม่ละอายแก่ใจ ไยต้องช่วงชิงความเป็นใหญ่”
แต่ฮ่องเต้ราชวงศ์หมิงเล่า?
ดูเหมือนวีรกรรมของจางตันฟงจะมิทำให้ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หมิงสามารถเข้าใจได้แม้แต่น้อยนิดเลยว่า ที่แท้จางตันฟงมุ่งหวังอะไร
การแย่งชิงอำนาจกันเองของคนในตระกูลจูกลับมิเคยจบสิ้น
จูฉีอี้ที่เป็นพระอนุชาของอิงจงฮ่องเต้ซึ่งได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นฮ่องเต้ชั่วคราวตามแผนการสู้รบกับมองโกลกลับไม่ยืมคืนราชบัลลังก์ให้พระเชษฐา มิหนำซ้ำกลับนำตัวอิงจงฮ่องเต้กักขังเอาไว้ ยามศึกสงบกลับลิดรอนอำนาจขุนนางตงฉิน ลุ่มหลงกับอำนาจและความสุขจากการเสวยอำนาจ โปรดปรานขันทีกังฉิน ปล่อยให้เหล่าขุนนางกังฉินและขันทีขึ้นมีอำนาจ ความเหลวแหลกภายในราชสำนักหมิงจึงไม่ได้รับการแก้ไขและยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นตามลำดับ
ความมุ่งหวัง “แผ่นดินสงบสันติ” ของจางตันฟงไยมิกลายเป็นความว่างเปล่าไปสิ้น
จางตันฟงยินยอมสลายความแค้นส่วนตน ช่วยเหลือราชวงศ์หมิงกอบกู้เกียรติภูมิและป้องกันภัยให้แผ่นดิน ให้แผ่นดินมาตุภูมิรอดพ้นจากการรุกรานของชนต่างชาติ แต่ในที่สุดแล้วประชาชนกลับมิเคยปลอดภัยจากผู้มีอำนาจในแผ่นดินเลยแม้แต่น้อย
เยี่ยงนี้ บั้นปลายชีวิตของจางตันฟงไยมิใช่เป็นดั่ง “จอกแหนลอยละล่องไร้ราก เร่ร่อนยุทธจักรไร้จุดหมาย” ดีแต่ความแค้นระหว่างตระกูลจางกับตระกูลหวินกลับคลี่คลายสลายสิ้น ความรักสุขสมหวัง แม้นจัก “เร่ร่อนยุทธจักรไร้จุดหมาย” ใช่สามารถมีความสุขยิ่งกว่าการได้ครองอำนาจเป็นใหญ่เหนือผู้คน แต่เต็มไปด้วยศัตรูผู้อาฆาตแค้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แน่นอน--หากตระกูลจางสามารถแย่งชิงแผ่นดินต้าหมิงได้สำเร็จ พวกมันกลับต้องระแวดระวังตระกูลจูแย่งชิงอำนาจคืนกลับ มิเพียงตนต้องตกอยู่ท่ามกลางความเคียดแค้นของผู้คน มิหนำซ้ำประชาชนทั่วทั้งแผ่นดินย่อมประสบความเดือดร้อนไปทั่ว และจักมีชีวิตผู้คนอำจำนวนมากมายแค่ไหนที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับการแย่งชิงอำนาจของสองตระกูลนี้
จอมยุทธ์หรือวีรบุรุษที่แท้จึงย่อมมิใช่ผู้ที่สามารถมีชัยเหนือผู้อื่นเท่านั้น
ยิ่งย่อมมิใช่ผู้ที่มีความสามารถในอันที่จะก้าวขึ้นสู่บัลลังก์แห่งอำนาจ ครองอำนาจเพื่อสั่งสมผลประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง รักษาอำนาจไว้เพื่อตนจักได้เสวยสุขให้ยืนยาว
และย่อมมิใช่การต่อสู้แย่งชิงอำนาจเพื่อแสวงหาเกียรติยศชื่อเสียงเฉพาะตนโดยมิได้คำนึงถึงความสงบสุขของแผ่นดินอย่างแท้จริง
มีนักสู้ผู้กล้าใดบ้างที่สมควรได้รับการยกย่องเป็นจอมยุทธ์ที่แท้?
มีวีรบุรุษใดบ้างที่สมควรได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษที่แท้เยี่ยงนี้?
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ผู้ใดว่าวีรบุรุษเงียบเหงา วีรบุรุษที่แท้ล้วนสำราญ
“ร่างกายพวกเราแม้สกปรก จิตใจกลับสะอาดสะอ้าน หากแม้นจิตใจคนผู้หนึ่งสกปรกโสมม ต่อให้ใช้สบู่ฟอกวันละสิบครั้ง ยังไม่สะอาดหมดจด” “มีเหตุผล ...
-
“จันทร์กระจ่างสักกี่ครั้ง ชูเมรัยไต่ถามฟ้า ทิพยสถานกลางเวหา ราตรีนี้เป็นปีใด เราคิดเหินลมคืนกลับ แต่กริ่งเกรงเคหาสน์หยกขาว เบื้องบนสะท้...
-
(1) ในบู๊ลิ้มขณะนั้นล้วนร่ำลือถึงบุคคลผู้หนึ่ง ในคำร่ำลือนั้นถึงกับกล่าวว่าคนผู้นั้นนับเป็นจอมโจรชั่วร้ายที่มิอาจมีผู้ใดในยุคนั้นชั่วร้าย...
-
“ร่างกายพวกเราแม้สกปรก จิตใจกลับสะอาดสะอ้าน หากแม้นจิตใจคนผู้หนึ่งสกปรกโสมม ต่อให้ใช้สบู่ฟอกวันละสิบครั้ง ยังไม่สะอาดหมดจด” “มีเหตุผล ...