ชูเมรัยไต่ถามฟ้า
ทิพยสถานกลางเวหา ราตรีนี้เป็นปีใด
เราคิดเหินลมคืนกลับ
แต่กริ่งเกรงเคหาสน์หยกขาว เบื้องบนสะท้านเหน็บหนาว”
(ยอดขุนโจร, 2 : 415)
ขนบอย่างหนึ่งของการประพันธ์งานร้อยแก้วของจีนที่สืบเนื่องมาแต่โบราณ และเป็นที่นิยมของนักประพันธ์ยุทธจักรนิยายไม่น้อยก็คือการแต่งบทกวีเป็นต้นบทในแต่ละบทและแทรกไว้ในเนื้อเรื่อง การที่นักเขียนสมารถกระทำได้เยี่ยงนี้ย่อมแสดงให้เห็นถึงฝีมือในทางการประพันธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง
มีผู้วิจารณ์ว่าโก้วเล้งไม่มีความสามารถเยี่ยงนี้ บทกวีในยุทธจักรนิยายของโก้วเล้งจึงไม่ค่อยปรากฏนัก และหากจะมีบ้างก็มักจะเป็นการนำเอาบทกวีของกวีจีนสมัยโบราณมาแทรกไว้ ต่อคำวิจารณ์นี้โก้วเล้งยอมรับ
แต่นี่มิได้หมายความว่าโก้วเล้งไม่มีฝีมือในเชิงกวี
อาจเนื่องเพราะโก้วเล้งชมชอบ ประทับใจและสะเทือนใจกับบทกวีและกวีจีนบางท่าน ดังนั้นท่านจึงนิยมนำเอาผลงานของกวีเหล่านั้นมาสอดแทรกไว้ในยุทธจักรนิยายของตน
ในบรรดากวีโบราณที่มีอยู่มากหลาย ที่โก้วเล้งมักกล่าวถึงและนำผลงานมาใช้สอดแทรกไว้ในงานของตนนั้น ที่พบมากเห็นจะเป็นหลี่ป๋อ ตู้ฟู่ ซูตงปอ และ หลี่โฮ่วจู่
โก้วเล้งอาจชมชอบหลี่ป๋อเนื่องเพราะหลี่ป๋อนับเป็น “กวีขี้เมา” ได้คนหนึ่ง
อาจชมชอบตู้ฟู่ที่เป็นคนสุขุม ลึกซึ้ง และมีความคิดทางสังคมที่แหลมคม
ประทับซูตงปอในฐานะที่เป็นกวีผู้นิยมในรสสุรา
สะเทือนใจไปกับชะตากรรมของกษัตริย์กวีหลี่โฮ่วจู่-จักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์หนานถัง
ประทับใจหลี่โฮ่วจู่ในฐานะของกษัตริย์ผู้รักราษฎร์และกวีนิพนธ์ ผู้ประสบชะตากรรมในบั้นปลายแห่งชีวิตด้วยตกเป็นเชลยของราชวงศ์ซ่ง
“ชูเมรัยไต่ถามฟ้า” นับเป็นบทกวีของซูตงปอซึ่งโก้วเล้งประทับใจยิ่ง ชมชอบยิ่ง
ท่านนำบทกวีบทนี้มาอ้างถึงหลายต่อหลายครั้งในหลายๆ เรื่อง ความเต็มของกวีมีดังนี้
ข้าชูจอกสุราร้องถามฟ้าใส
จันทร์กระจ่างฟ้าเฉกนี้มีมาแต่เมื่อใด
คืนนี้เป็นปีใดในแดนฟ้า
เพียงมุ่งเหินสายลมหนาวสู่แดนสวรรค์
ก็กลัวว่าวิมานหยกนั้นอยู่สูงเกิน
ฟ้าฤาจะเท่าผืนดินสกาววาวเจิดจ้า
จันทร์ฉายสาดส่องรอบหอแดง
มองจากหน้าต่างไปรอบ ๆ
จันทราสาดแสงไล้ผู้หลับใหลทั่วหล้า
เจ้ากับข้าไม่มีที่คับแค้นใดในยามพราก
ชนรู้พบรู้จาก รู้สนุกรู้ทุกข์แสน
แล้วไฉนยามไกลจึงได้กระจ่างตา
จันทร์อาจแหว่งเว้าฤาเต็มดวง
อาจมืดมิดหรือเพ็ญกระจ่างสรวง
แต่โบราณมีสมบูรณ์พร้อมที่ใดในแหล่งหล้า
ห่างกันนับพันลี้, สามารถเสพย์สุขร่วมกันได้อย่างนิรันดร์
กับจันทร์กระจ่างฟ้าดวงเดียวกัน
(Su Dong-po - A new Translation, p 90-92)
คงจะเป็นสำนวนแปลที่ไม่ดีนัก ความก็ไม่กระชับรวบเมื่อเปรียบกับสำนวนแปลของ น. นพรัตน์ ที่แปลไว้ใน “ยอดขุนโจร”
บางตอนของบทกวีบทนี้นอกจากโก้วเล้งแล้วยังมีนักเขียนยุทธจักรนิยายชั้นนำของฮ่องกงอีกท่านหนึ่ง คือ เนี่ยอู้เซ็ง นำไปสอดแทรกไว้ในยุทธจักรนิยายเรื่อง “กระบี่กู้บัลลังก์” ของท่านด้วย ซึ่งก็นับได้ว่าสอดแทรกไว้อย่างเหมาะเจาะยิ่ง เป็นการกล่าวถึงจอมยุทธผู้มีชีวิตอย่างเดียวดายเยี่ยง “จางตันฟง” ที่หวังอยู่เคียงคู่คนรักของตนสืบไป น. นพรัตน์ แปลอย่างได้ใจความกระชับและได้อรรถรสยิ่งว่า
“คนมีทุกข์สุขระคนเศร้า
จันทร์มีทั้งกลมและแหว่งเว้า
ทุกเรื่องราวยากสมบูรณ์พร้อม
เพียงหวังตัวท่านมีใจภักดิ์ ครองรักจวบชั่วนิจนิรันดร์”
(กระบี่กู้บัลลังก์ , 2 : 667)
ที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงบทกวีชิ้นนี้เสียยืดยาว ก็คงจะเป็นเยี่ยงเดียวกับโก้วเล้ง คือมีความประทับใจในรสแห่งบทกวีที่สามารถสำแดงออกให้เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกของคนเดียวดายผู้หนึ่ง ซึ่งดื่มสุราอย่างเดียวดายใต้เงาจันทร์กระจ่างฟ้า
สำหรับคนผู้หนึ่งยามดื่มสุราอย่างเดียวดาย กลับต้องชูจอกสุราไต่ถามฟ้า ความรู้สึกของมันจักเป็นเช่นไร
ใช่สามารถเป็นดั่งเซียวจับอิดนึ้งที่โดดเดี่ยวเดียวดายยิ่ง?
ใช่สามารถเป็นเยี่ยงโก้วเล้งที่มีชีวิตเต็มไปด้วยความเหงาเปลี่ยวยิ่ง?
ใช่เป็นดั่งหลี่ป๋อ รัตนกวีสมัยถังที่ผ่านชีวิตในแต่ละวันไปด้วยความระทมทุกข์ยิ่ง?
หลี่ป๋อก็เคยนิพนธ์บทกวีเยี่ยงนี้ไว้หลายบท และโก้วเล้งก็เคยกล่าวถึงท่านหลายต่อหลายครั้ง
หลี่ป๋อเขียนไว้บทหนึ่งว่า
เหล้าเหยือกหนึ่งในท่ามกลางมวลบุปผชาติ
ดื่มอย่างเดียวดายไร้สหายคู่ใจ
ชูจอกเชื้อเชิญจันทรามาร่วมดื่ม
แสงจันทร์สกาวฟ้า, ข้า และเงา รวมเป็นสาม
แต่จันทราน่ะหรือจะรู้รสแห่งสุรา
เงาหมุนตามข้าไปอย่างว่างเปล่า
กระนั้นจันทราและเงาก็ยังคงเป็นเพื่อนข้า
สำหรับความสุขที่พอจะหาได้ในยามนี้
ยามที่จันทราล่องลอยไป, ข้าขับขานลำนำ
เงาก็ดูพัลวันในยามที่ข้ารำร่าย
ยามเมื่อมีสติข้าร่วมดื่มกับมัน
พลันแยกจากกันเมื่อข้าเมามาย
เป็นเพื่อนข้าตลอดไปในยามสราญ
เรานัดพบกัน ณ ทางช้างเผือกอันไกลโพ้น”
(The White Pony , p 174)
ทั้งหลี่ป๋อและซูตงปอล้วนแสดงออกให้เห็นถึงกวีที่มีชีวิตอยู่อย่างเดียวดายยิ่ง สิ่งที่ท่านหวังก็คือสหายร่วมดื่มสุรา เป็นสหายที่ทำให้ท่านไม่เงียบเหงาว้าเหว่ เป็นสหายที่ทำให้ท่านไม่เดียวดาย แม้ในความเป็นจริง มีหลายครั้งคราที่ท่านมีสหายร่วมดื่มเมรัย แต่ก็มีบ่อยครั้งที่ท่านจำต้องดื่มอย่างเดียวดายท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่าง
ระหว่างสุรา จันทรา และสหาย จึงมีความเกี่ยวพันกันกับชีวิตของคนเดียวดายผู้หนึ่งมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว
โก้วเล้ง, บางครั้งก็เป็นเยี่ยงนี้
จอมยุทธของโก้วเล้ง- ไม่น้อยก็เป็นเช่นนี้
ระหว่างลี้คิมฮวงกับอาฮุยไยมิใช่สหายร่วมดื่มสุรา และคู่ควรแก่การดื่มสุราร่วมกัน
เซียวจับอิดนึ้งอาจเดียวดายเกินไปที่จะมีสหายร่วมดื่มสุราเฉกเดียวกับลี้คิมฮวงและอาฮุย แต่มันไยมิใช่มีสตรีเยี่ยงฮวงซี่เนี้ยที่สามารถเป็นทั้งสหายและคนที่รักมันอย่างยิ่งผู้หนึ่ง
ยังมีชอลิ่วเฮียงที่มีสหายร่วมเมามายเยี่ยงโอวทิฮวย
เล็กเซี่ยวหงส์กลับมีสหายร่วมดื่มมากหน้าหลายตาจนสามารถบอกได้ว่า มันนับเป็นบุคคลที่มีความสุขสราญยิ่ง
ก๊วยไต้โล่ว เฮ้งต๋ง อี้ฉิก และลิ้มไท้เพ้ง แห่งเคหารุ่มรวยย่อมมิใช่รุ่มรวยดั่งชื่อ แต่ชีวิตของพวกมันไยมิใช่มีความสำราญยิ่ง ที่พวกมันล้วนสำราญยิ่งเนื่องเพราะพวกมันมีสหายผู้รู้ใจ สามารถมีสุราร่วมดื่มกับสหาย
ยามจันทราส่องสกาวพวกมันสามารถร่วมดื่มเมรัย นี่ไยมิใช่ความสุขสราญยิ่ง
ระหว่างสุรา จันทรา และสหาย-นี่ไยมิใช่ความผูกพันระหว่างผู้คนประการหนึ่ง ซึ่งเป็นความผูกพันที่มิอาจเกี่ยวเนื่องด้วยผลประโยชน์ใด ๆ นอกจากสิ่งที่พวกมันเรียกว่า “สหาย”
ระหว่างสุรา จันทรา และสหาย คนผู้หนึ่งหากสามารถอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเยี่ยงนี้สามารถนับได้ว่ามีความสุขเยี่ยงไร?
ระหว่างลี้คิมฮวงกับอาฮุย แม้ครั้งแรกที่ทั้งสองร่วมดื่มสุราและคบหาเป็นสหายจะเป็นเพียงบนรถม้าท่ามกลางความหนาวเหน็บของหิมะที่โปรยปรายเต็มแผ่นฟ้าท่วมแผ่นดิน ไม่มีแสงจันทรามาร่วมดื่มก็ตาม แต่สิ่งที่ท่านทั้งรับรู้และเข้าใจย่อมมิใช่เนื่องเพราะสุราเพียงประการใด พวกท่านรับรู้เข้าใจและเกิดความรู้สึกเป็น“สหาย”เนื่องเพราะประกายตาและรอยยิ้ม
เป็นประกายตาที่เปี่ยมไปด้วยความปลาบปลื้มปีติ เป็นรอยยิ้มที่นุ่มนวลกระไรปานนั้น น่ารักกระไรปานนั้น น่าสนิทสนมกระไรปานนั้น!
แรกที่อาฮุยพบลี้คิมฮวง ท่านถึงกับยอมรับ
“ท่านเป็นคนที่ผู้ใดไม่สามารถเข้าใจได้เลย แต่ก็เป็นมิตรสหายที่ไม่มีผู้ใดสามารถลืมเลือนได้”
(ฤทธิ์มีดสั้น, 2 : 412)
ก้วยซงเอี้ยงและลู่ฮ่งเซยก็ยอมรับ
“ดวงตาของลี้คิมฮวงมีประกายสงบเยือกเย็น กระจ่างแจ่มใส และสัตย์ซื่อจริงใจ”
“ในดวงตาของลี้คิมฮวงมีประกายน้ำมิตรไมตรี...”
(ฤทธิ์มีดสั้น, 3 : 807-808)
เยี่ยงนี้,สำหรับก้วยซงเอี้ยงที่มุ่งมั่นเอาชัยชนะเหนือลี้คิมฮวงให้ได้ ถึงกับยอมรับน้ำมิตรไมตรีของลี้คิมฮวงร่วม ดื่มสุราท่ามกลางแสงจันทรากับลี้คิมฮวงด้วยความรู้สึกที่อบอุ่นยิ่ง
“...มีคอสุราเช่นดั่งลี้คิมฮวงร่วมดื่ม มีลมเย็นกับดวงจันทร์กระจ่างเป็นกับแกล้มมิว่าผู้ใดต่างดื่มมากสักหลายจอก”
“วาจาบางประการ ก็มีแต่ดื่มสุรามากหลายจอกแล้วจึงบอกออกมาได้”
(ฤทธิ์มีดสั้น , 2 : 575)
ระหว่างผู้คนที่สามารถนับเป็นสหาย สุรา และจันทราอาจมีความเกี่ยวเนื่องกันเยี่ยงนี้
การร่ำดื่มสุราท่ามกลางแสงจันทร์อาจเป็นการสร้างบรรยากาศที่ให้ความอบอุ่นเยือกเย็นประการหนึ่ง
การดื่มสุรากับผู้รู้ใจแม้จะไม่มีแสงจันทราก็สามารถให้ความอบอุ่นได้เฉกกัน
สุราแม้จะทำให้ผู้คนเมามาย แต่บางครั้งสุราก็สามารถที่จะทำให้ผู้คนเข้าใจถึงแก่นแท้และความจริงใจของสหายได้เช่นกัน วาจาที่เปล่งจากปากหลังเมามายบางครั้งอาจดูไร้สาระ แต่สำหรับสหายแล้วนั่นย่อมหมายถึงความจริงใจต่อกัน ดังกวีบทหนึ่งของชาวธิเบตที่ป๊กเอ็งแห่งเหยี่ยวนรกทะเลทรายนำมาเอื้อนเป็นบทเพลงว่า
“ลูกผู้ชายพึงมีชื่อ ร่ำสุราพึงเมามาย
สนทนาหลังเมามาย เป็นคำพูดจากดวงใจ”
(เหยี่ยวนรกทะเลทราย, 1 : 117)
ระหว่างสุราและสหาย บางครั้งจึงดูเสมือนว่าเป็นสิ่งที่ยากจะแยกจากกันได้
บางครั้งโก้วเล้งถึงกับยอมรับ
“หลังจากที่ไม่ดื่มสุรา เรื่องอื่นๆ กลับไม่มีอะไร เพียงแต่รู้สึกว่าวันเวลายืดยาวกว่าที่เคย มิตรสหายกลับเหมือนว่าจะลดน้อยกว่าที่เคยมี”
(เดียวดายใต้เงาจันทร์ โก้วเล้งรำพัน, หน้า 110)
แต่แท้ที่จริงแล้ว มีเพียงสุราเท่านั้นที่สามารถทำให้ผู้คนคบหาเป็นสหายผู้รู้ใจได้?
สุรานับเป็นเยี่ยงไร?
สหายย่อมเป็นเยี่ยงไร?
สำหรับโก้วเล้งแล้ว ท่านอาจบอกต่อผู้คนว่า ที่ท่านดื่มสุรามิใช่เพราะชมชอบสุรา แต่เนื่องเพราะในวงสุราทำให้ท่านมีสหาย
สหายที่รู้ใจ
ก๊วยไต้โล่ว เฮ้งต๋ง อี้ฉิก และลิ้มไท้เพ้ง พบกันครั้งแรกที่เคหารุ่มรวย
เคหารุ่มรวยที่มิอาจรุ่มรวยทรัพย์สินเงินทองเฉกเช่นชื่อที่เฮ้งต๋งเรียก
ทั้งสี่พบกันครั้งแรกและร่วมดื่มสุราตีแผ่หัวใจผูกพันเป็นสหายกัน
สำหรับพวกมัน:-
“ชั่วชีวิตของคน มีโอกาสเมามายสักกี่ครั้ง?
สามารถคบหาสหายเยี่ยงนี้ หากยังไม่เมามาย จะรอถึงเวลาใด?”
(วีรบุรุษสำราญ, 1 : 244)
แต่เพียงแค่สามารถร่วมดื่มสุรา และมีความสามารถในเชิงสุราเท่านั้นหรือจึงสามารถควรคู่เป็นสหายได้?
แน่นนอน, แก่นแท้ของความเป็นสหายย่อมมิได้อยู่ที่สุรา แม้นไม่มีสุราพวกมันก็ยังคงเป็นสหาย และเป็นสหายที่มีความเข้าใจระหว่างกันอย่างลึกซึ้งยิ่ง
“ยามมีแขกเหรื่อแวะกรายยามวิกาลหนาวเหน็บพึงใช้น้ำชาต้อนรับแทนสุราเมื่อสามารถใช้น้ำชาแทนสุรา ไฉนไม่อาจใช้น้ำแทน?
นี่คืออุดมการณ์การดำรงชีวิตของพวกตน
ตอนที่มีสุราพวกตนจะร่ำดื่มมากกว่าผู้อื่น ตอนที่มิมีสุรา พวกตนก็สามารถดื่มน้ำ
ขณะดื่มสุรา พวกตนเบิกบานใจ ตอนดื่มน้ำก็เช่นกัน”
(วีรบุรุษสำราญ, 1 : 221)
ที่พวกมันสามารถเป็นสหาย สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้
ที่พวกมันสามารถเข้าใจกัน เห็นอกเห็นใจกัน
ที่พวกมันสามารถกระทำเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อกันและกันได้ สามารถบุกฝ่าภยันตราย ฝ่าความตายเพื่อกันและกันได้
และที่พวกมันยินยอมตายเพื่อกันและกัน เหล่านี้เนื่องเพราะอะไร?
เพราะสุรา?
ย่อมมิใช่เนื่องเพราะสุรา พวกมันแม้ยากจนข้นแค้นไม่มีกระทั่งสุรามาร่วมดื่ม พวกมันก็ยังคงเป็นสหายกัน มีคุณธรรมน้ำมิตรระหว่างกัน
แท้จริงแล้วที่พวกมันเป็นเยี่ยงนี้เนื่องเพราะพวกมันมีอุดมการณ์ร่วมกันต่างหาก
เป็นอุดมการณ์ของ “วีรบุรุษสำราญ”
“วีรบุรุษสำราญ” ที่ความสุขสำราญของมันมิได้อยู่ที่ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียงเกียรติยศ แต่เป็นความสำราญที่เนื่องเพราะความเข้าใจกันระหว่างผู้คน
เป็นความสำราญที่เกิดจากความรู้สึกอบอุ่น กอปรด้วยมโนธรรม คุณธรรม และการรู้จักแสวงหาความสุขทางใจมากกว่าทางกาย
ดังนั้นพวกมันจึงมีความเห็น :-
“มีเหตุผล คนผู้หนึ่งหากมีชีวิตอย่างสุขสำราญ ไม่ละอายต่อมโนธรรม แม้ต้องอดอาหาร มิล้างหน้า ก็หาเป็นไรไม่”
(วีรบุรุษสำราญ, 1 : 59)
สำหรับพวกมัน, ทรัพย์สินเงินทองหรือความร่ำรวยจึงมิใช่เป้าหมายสูงสุดของชีวิต
“ช่วงเวลาที่เคหารุ่มรวยรุ่มรวยสมชื่อ แม้ไม่ยาวนาน แต่พวกเขายังคงมีความสุข
เนื่องเพราะพวกเขาเลือกทางที่ฉลาดที่สุด
พวกเขาละทิ้งความรุ่มรวย รักษาไว้ซึ่งมโนธรรม
นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ใกล้กับความรุ่มรวยที่สุด แต่พวกเขาไม่ละโมบความรุ่มรวย ไม่ต้องการใช้วิธีการอันต่ำช้า และฉ้อฉลหลอกลวงหยิบฉวยความรุ่มรวย ดังนั้นพวกเขาจึงมีความสุขสำราญตลอดกาล ดังราวกับดอกไม้ที่อาบไล้อยู่ใต้แสงอาทิตย์วสันตฤดู
พวกเขาทราบว่าความสุขสำราญ น่ารักกว่าความหรูหรารุ่มรวยมากนัก”
(วีรบุรุษสำราญ, 1 : 63)
ที่เคหารุ่มรวยของพวกมันอาจมิรุ่มรวยทรัพย์สินเงินทอง แต่กลับรุ่มรวยน้ำใจ รุ่มรวยคุณธรรมน้ำมิตร
สำหรับพวกมันแต่ละคน มันจึงเห็นว่า
“ชั่วชีวิตผู้คน พบพานผู้รู้ใจคนหนึ่ง แม้ตายก็ไม่อาลัย มีสหายประเสริฐเยี่ยงนี้ ข้าพเจ้าจะเป็นจะตายหามีความสำคัญไม่...”
(วีรบุรุษสำราญ, 1 : 108)
“...ขอเพียงมีสหาย ต่อให้ห้องหับทรุดโทรมซ่อมซ่อกว่านี้ ก็หาเป็นไรไม่ เนื่องเพราะที่ซึ่งมีสหาย เปี่ยมความอบอุ่น เพียบพูนด้วยความสุข”
(วีรบุรุษสำราญ, 1 : 277)
ก๊วยไต้โล่วจึงบอกว่า
“ข้าพเจ้าเพียงทราบว่า ทองคำต้องมีวันใช้หมดสิ้น สักวันหนึ่งคนต้องตาย แต่คุณธรรมและน้ำมิตรจะคงความเป็นอมตะตลอดกาลนาน”
(วีรบุรุษสำราญ, 1 : 297)
ทุกคนยอมรับ และยอมรับว่า
“ในใต้หล้าขอเพียงมีน้ำมิตรคงอยู่ จะเจิดจ้าเรืองรองตลอดกาล”
(วีรบุรุษสำราญ, 2 : 215)
เยี่ยงนี้พวกมันจึงมีความสุข มีความสำราญตลอดไป
ชีวิตของพวกมันแม้ไม่ร่ำรวยแต่นับว่ามีความสุขที่น่าอิจฉายิ่ง
เป็นความสุขที่มิอาจใช้ทรัพย์สินเงินทองใดๆ ซื้อหามาได้เลย
นับว่าน่าเสียดายยิ่งที่ผู้คนทั่วไปมักมองข้ามในสิ่งที่ก๊วยไต้โล่วและพวกกระทำ
นอกจากจะมองข้ามแล้ว บางครั้งผู้คนบางจำพวกก็อาจมองพวกมันเป็นพวกวิกลจริต กระทำการที่ผิดปกติมนุษย์ทั่วๆ ไปพึงกระทำ
สำหรับผู้คนในยุคที่การแสวงหาความร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองนับเป็นสุดยอดแห่งความปรารถนา ยุคที่ผู้คนมุ่งแสวงหาความสะดวกสบายโดยใช้ทรัพย์สินเงินทองซื้อหาความสุข ยุคที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยมองเห็นการมีชื่อเสียง เกียรติยศเป็นความสุขชนิดหนึ่ง ความสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างผู้คนก็ย่อมจะเสื่อมทรามลง เนื่องเพราะการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นย่อมมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ ความจริงใจ ความมีคุณธรรมและน้ำมิตรก็ย่อมลดน้อยถอยลง
มิตรสหายสำหรับคนในยุคนี้จึงเป็นเพียงคำพูดที่ปราศจากความหมายใดๆ ทั้งสิ้น
คุณธรรม ความดีงาม เป็นเพียงข้ออ้างให้ดูดีในสายตาของผู้คนทั่วไปเท่านั้น
สุราเป็นเพียงเครื่องดื่มประเภทหนึ่งที่สามารถทำให้ผู้คนสามารถสวมหน้ากากเข้าหากัน ให้ดูมีมิตรภาพระหว่างกันเท่านั้น
จันทราเล่า- แม้พวกเขาสามารถมองเห็นจันทรายามค่ำคืนได้ชัดแจ้ง แต่มีผู้ใดสามารถเข้าใจของแก่นแท้ของ “จันทรา” นอกจากความเป็นดาวดวงเล็กๆ ดวงหนึ่งที่มีรอยเท้ามนุษย์ขึ้นไปเหยียบย่ำแล้วเท่านั้น
พวกเขาอาจดื่มสุรา อาจดูราวกับว่ามีมิตรสหาย อาจดูราวกับว่า “ชูจอกเมรัยไต่ถามฟ้า” ไต่ถาม “จันทร์กระจ่างฟ้า”
อาจดูมีความสุขยิ่ง !
แท้จริงแล้วผู้คนบางจำพวกล้วนมุ่งแสวงหาความสุขบนความทุกข์ยากของผู้อื่น แต่พวกเขาได้พบกับความสุขที่แท้จริงหรือไม่
พวกเขาสามารถแสวงหาความสำราญที่แท้จริงได้หรือไม่?
ที่แท้ที่ผู้คนมากมายพยายามแสวงหาความสำราญ พวกเขารู้จักสิ่งที่เรียกว่า “ความสำราญ” หรือไม่
“ความรุ่มรวยก็มิใช่เรื่องไม่ดี”
“อย่างนั้นความยากจนข้นแค้นเล่า?”
“นั่นก็เช่นกัน”
“แล้วเยี่ยงไรจึงไม่ดี ?”
“ปัญหาที่ว่าดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าท่านเรียนรู้การเสพย์สุขหาความสำราญประการใด”
“ท่านทั้งหลาย ท่านมิต้องกลัดกลุ้มกังวลต่อความรุ่มรวย ยิ่งไม่ต้องคับแค้นกลัดกลุ้มต่อความยากจน
ขอเพียงท่านรู้จักแสวงหาความสุขที่ควรได้ใส่ตัว ก็ไม่เสียดายที่ถือกำเนิดมา”
(วีรบุรุษสำราญ, 1 : 146)
ก๊วยไต้โล่วและพวกย่อมสามารถรู้จักแสวงหาความสุขความสำราญใส่ตัวโดยที่ไม่ตั้งอยู่บนความเดือนร้อนของผู้ใด ไม่ไยดีว่าพวกตนจะร่ำรวยหรือยากจน มีชื่อเสียงเกียรติยศประการใดหรือไม่
ไม่ไยดีว่าใครจะมองพวกตนว่าเป็นคนวิกลจริต
ท่านล่ะ ! ท่านรู้จักแสวงหาความสุขสำราญใส่ตนได้หรือยัง?
<3 <3
ตอบลบ