“ท่องทะยานโดยอิสระ
ไม่หวังสมบัติพัสถาน
เห็นซึ้ง หลุดพ้น วางลง คือ
วัตถุประสงค์ของกระบี่เย้ยยุทธจักร”
(กิมย้ง/น. นพรัตน์)
นักเดินป่ามักบอกว่า คนผู้หนึ่งหากคิดไต่ภูขึ้นสู่ยอดสูงสุดนับเป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่ง ยอดภูเขายิ่งสูงชัน ยิ่งต้องเหนื่อยหนักและสิ้นเปลืองเวลาเพิ่มมากขึ้น พวกเขาอาจต้องหยุดพักเหนื่อยและสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปไม่น้อย
แต่เมื่อมุ่งมั่นคิดไต่ขึ้นสู่ยอดภูเขาสูง ไยต้องละทิ้งเสียกลางคัน?
ยอดภูเขาสูงนั้นยิ่งไต่สูงขึ้นไปก็ยิ่งท้าทาย
ยิ่งท้าทายความสามารถของผู้คน
นักเดินป่าอีกเช่นกันที่บอกว่า แม้การไต่ขึ้นสู่ยอดภูจะยากสักเพียงไหน แต่การลงจากยอดภูเขาสูงสู่เบื้องล่างนับว่ายิ่งยาก ยิ่งสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมากกว่า ยิ่งอันตรายมากกว่า
วิถีแห่งจอมยุทธ์ไยมิใช่เยี่ยงเดียวกัน
คิดฝ่าฟันเพื่อเป็น “จอมยุทธ์” แม้ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญสักเพียงใด แต่เมื่อมีความมุ่งมั่นก็ต้องมีความมานะพยายามเสี่ยงชีวิตต่อสู้ฟันฝ่าดงดาบกระบี่ครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งคิดที่จะมีตำแหน่งเป็น “จอมยุทธ์” อันดับหนึ่งของแผ่นดินแล้ว ความมุ่งมันพยายามและการเสี่ยงชีวิตก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่า กระทั่งเมื่อสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง “จอมยุทธ์” อันดับหนึ่งของแผ่นดินได้ดังหวังแล้ว การคิดที่จะกลับคืนสู่ฐานะของนักสู้สามัญผู้หนึ่ง กลับคืนสู่ฐานะของความเป็น “มนุษย์” ธรรมดาๆ เฉกผู้คนทั่วไปผู้หนึ่งไยมิใช่เป็นเรื่องยากเย็นยิ่งกว่า
คนผู้หนึ่งเพียงมีความเข้มแข็งกว่าผู้อื่น มีความสามารถเหนือกว่าผู้อื่น (และรวมทั้งมีฐานะมีทรัพย์สินมากกว่าผู้อื่น) เยี่ยงนี้ก็สามารถเอาชัยเหนือผู้คนได้โดยไม่ยากนัก แต่หากคิดจะเอาชัยเหนือตนเองนับยากเย็นกว่าหลายเท่านัก
นั่นเนื่องเพราะ คนผู้หนึ่งหากคิดเอาชัยเหนือตนเองย่อมใช้ความกล้าหาญที่สูงส่งยิ่ง
ในโลก- ผู้ที่มีความสามารถเอาชัยชนะเหนือผู้อื่นได้ย่อมมีมากมายยิ่ง แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถมีชัยต่อตัวเอง
จะมีใครสักกี่คนที่สามารถเดินลงจากภูสูงได้อย่างปลอดโปร่งและปลอดภัย ?
และจะมีใครสักกี่คนที่สามารถทั้งไต่ขึ้นเดินลงภูเขาสูงครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างปลอดโปร่งและปลอดภัย ?
ในวงยุทธจักรที่ข้าพเจ้าพบเห็น- เห็นมีเพียงแต่จอมยุทธ์นามชอลิ่วเฮียงและเล็กเซี่ยวหงส์ และเหล็งฮู้ชงเท่านั้น
ในวงบู๊ลิ้ม อาจมีจอมยุทธ์จำนวนไม่น้อยที่เมื่อสามารถปีนป่ายขึ้นสู่ตำแหน่งจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของแผ่นดินได้แล้ว ก็สามารถรู้ได้ว่าตนสมควร “หยุด” และสมควร “พอ” ถอนตนจากวงบู๊ลิ้มหลีกเร้นไปใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขไกลห่างจากผู้คน พวกมันอาจสามารถเข้าใจ- “...ชื่อเสียงจอมปลอมเหนี่ยวรั้งคน บันดาลให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง” และรู้ซึ้งถึงความจริงแห่งชีวิตเข้าใจถึงความจริงแท้ในอีกด้านหนึ่งของคำว่า “เกียรติยศและชื่อเสียง” “ลาภยศ” ชัยชนะหรือพ่ายแพ้จึงมิได้เป็นแก่นสารแห่งชีวิตอีกต่อไป ดังนั้นแม้พวกมันจักประสบกับความพ่ายแพ้ต่อผู้ใด ย่อมมิใช่เป็นสิ่งที่พึงยึดถือเป็นจริงเป็นจัง พวกมันกลับเข้าใจ แท้จริงที่มันพ่ายแพ้ต่อผู้อื่นใช่เป็นมันพ่ายแพ้จริงๆ หรือแท้ที่จริงเป็นมันได้ชัยกันแน่ จอมยุทธ์ไม่น้อยจึงยอมรับ“...ดังนั้นเราแม้พ่ายแพ้ แต่นับแต่นี้เราจะมีชีวิตอย่างสุขสบายกว่าเดิม และมีชีวิตยืนยาวกว่าเดิม”
เมื่อเหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลายรู้ซึ้งถึงความจริงประการนี้ สิ่งที่พวกมันล้วนกระทำก็คือการหลบลี้หนีหน้าจากยุทธจักรไปใช้ชีวิตอยู่ในมุมเล็กๆ ของสังคมที่ไม่มีใครรู้จักหรือเสาะหาได้พบพาน ภายหลังที่พวกมันจากไปแล้ว มีผู้ใดสามารถเสาะแสวงหาพบตัวได้เล่า มีใครทราบลี้คี้มฮวงไปพำนักอยู่ที่ใด ใครจักสามารถตามหาซาเสียวเอี้ยเจี่ยเฮียวฮงซึ่งเดินทางไปพำนักอยู่ ณ ดินแดนอันไกลโพ้นได้
ที่แท้ตำแหน่ง “จอมยุทธ์” หรือ “วีรบุรุษ” อันดับหนึ่งของวงบู๊ลิ้ม แม้จะได้มาด้วยความสามารถและด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง แต่คิดจะให้อยู่กับตนได้ยืนยาวนั้นนับว่ายากยิ่ง การอยู่ในตำแหน่งนั้นย่อมเดียวดายยิ่ง และมีเภทภัยรอบด้านยิ่ง
นี่คือแก่นแท้แลความจริงแท้ของคำ “ยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว”- ยิ่งสูงยิ่งโดดเดี่ยวยิ่ง
แท้ที่จริงเมื่อคนผู้หนึ่งสามารถพิชิตได้ชัยเหนือผู้คนทั้งหลายแล้ว พวกมันกลับพบว่า
“...รสชาติของผู้พิชิต หาได้ประเสริฐเท่าที่ข้าพเจ้าคาดคิดไม่”
“คนเราเมื่อได้ชัยมาแล้ว บางครั้งจะพลันกลับกลายคล้ายจอกสุราเปล่าได้...”
และพวกมันกลับพบความจริงว่า
“คำวีรบุรุษอันดับหนึ่งในแผ่นดินนี้ ความจริงทุกผู้คนปรารถนาเติมเข้าในเบื้องบนนามของตน แต่หากเติมใส่ในตัวมันไปจริง กลับเป็นเภทภัยที่ไม่มีวันหมดสิ้นไป
เนื่องเพราะมิว่าผู้ใดได้รับการยกย่องนั้น จะต้องมีคนไม่ยอมรับนับถือ คิดหาวิธีนานาไปช่วงชิงสมญานั้นกลับมาให้ได้จึงยินยอม
หลายร้อยปีที่ผ่าน บู๊ลิ้มมีวีรบุรุษก่อเกิดมากมาย มิทราบมีวีรบุรุษยิ่งใหญ่จำนวนมากน้อยเท่าใด ที่สร้างวีรกรรมกระเดื่องเกรียงไกร จนเป็นที่กล่าวขวัญกันติดปากผู้คนมามากเพียงไหน
แต่ผู้ที่สามารถได้รับ ‘อันดับหนึ่งในแผ่นดิน’ โดยที่ทุกผู้คนยินยอมนับถือทั้งปากทั้งใจ กลับไม่เคยมีมาแม้สักผู้เดียว”
อยากมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข
อยากใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ไร้ความวิตกกังวล
อยากใช้ชีวิตอย่างอบอุ่นกับคนรัก- กับครอบครัว
พวกมันได้แต่ต้องถอนตัวจากวงบู๊ลิ้ม หลีกเร้นไปพำนักอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของสังคมที่มิอาจมีผู้ใดเสาะหาพบ
จอมยุทธ์ของโก้วเล้งมักเป็นเยี่ยงนี้
“สุราในจอกหมดสิ้นแล้ว คนที่พิชิตศัตรูแล้ว ปณิธานและความกระหายที่มีในใจก็คล้ายสุราในจอก พลันเหือดหายจนว่างเปล่า”
เมื่อโก้วเล้งเขียนถึงเรื่องราวของ“ขุนพลหอมแซ่ชอ”-ชอลิ่วเฮียง และเล็กเซี่ยวหงส์
ภาพของจอมยุทธ์ที่เข้าใจกับคำ “หยุด” และ “พอ” แล้วถอนตนจากวงบู๊ลิ้มจึงเปลี่ยนแปลงไป อย่างน้อยจอมยุทธ์ที่เข้าใจถึงสองคำนี้ และสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างคนที่รู้จักหยุดรู้จักพอได้ทั้ง ๆ ที่ไม่ถอนตัวจากวงบู๊ลิ้มได้เกิดขึ้น
ทั้งชอลิ่วเฮียงและเล็กเซี่ยวหงส์นับเป็นจอมยุทธ์ที่สามารถอยู่ในวงบู๊ลิ้มได้ทั้ง ๆ ที่พวกมันล้วนรู้ว่าเมื่อใดสมควรหยุด เมื่อใดสมควรพอ
ชอลิ่วเฮียงและเล็กเซี่ยวหงส์อาจแตกต่างกันก็เพียงข้อสรุปของผู้คนที่บอกว่า ชอลิ่วเฮียงนับเป็น “ขุนพลโจร” แห่งยุคที่มีความสามารถในการ “ขโมย” เหนือจอมโจรใดๆ ในขณะที่เล็กเซี่ยวหงส์กลับมีฐานประหนึ่ง “นักสืบ” แห่งอาชญนิยายตะวันตก แต่คุณลักษณะของบุคคลทั้งสองย่อมคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง
สิ่งที่ทั้งสองกระทำล้วนเป็นไปเพื่อผู้อื่นเฉกเดียวกัน
สิ่งที่ทั้งสองแสวงหาย่อมเป็นสิ่งเดียวกัน
และย่อมมิใช่ชื่อเสียงหรือลาภยศเยี่ยงเดียวกัน
เล็กเซี่ยงหงส์เคยถามคำถามหนึ่งต่อสหายของมัน
“มีบ้างบางคนใฝ่หาชื่อเสียง บางคนต้องการลาภยศ ข้าพเจ้าที่แท้ใฝ่หาอะไร?”
คำตอบที่สหายของมันบอก คือ “หาความยุ่งยาก”
ที่แท้ที่เล็กเซี่ยวหงส์เสาะหาอยู่ในวงบู๊ลิ้มคือความยุ่งยาก
ที่แท้ทั้งชอลิ่วเฮียงและเล็กเซี่ยวหงส์เสาะหาคือความยุ่งยาก
เป็นความยุ่งยากที่หากพวกมันคิดจะไม่กระทำ พวกมันย่อมไม่ต้องกระทำ เนื่องเพราะความยุ่งยากที่ว่านี้ล้วนเป็นเรื่องของผู้อื่น เป็นปัญหาของผู้อื่นทั้งสิ้น
ชอลิ่วเฮียงย่อมมิได้มีความสามารถเยี่ยงมหาโจรผู้หนึ่งเท่านั้น แท้ที่จริงแล้วฝีมือในทาง “โจร”ของชอลิ่วเฮียงนั้นเป็นเพียงความสามารถประการหนึ่ง แต่ฝีมือที่ช่วยให้เรื่องราวในมวลหมู่มนุษย์ผู้ประสบปัญหาได้คลี่คลายไปนับเป็นฝีมือที่เยี่ยมยอดกว่า ซึ่งดูไปก็เป็นแบบเดียวกับฝีมือการสืบเสาะและคลี่คลายปัญหาในวงบู๊ลิ้มของเล็กเซี่ยวหงส์นั่นเอง
ทั้งชอลิ่วเฮียงและเล็กเซียวหงส์จึงประกอบวีรกรรมเยี่ยงเดียวกัน และเรื่องเดียวกัน
ทั้งเป็นการประกอบวีรกรรมที่มุ่งหวังผลเยี่ยงเดียวกัน
หวังเพียงให้บู๊ลิ้มสงบสุข- หวังให้ปัญหาของผู้คนในวงบู๊ลิ้มคลี่คลายไปในทางที่ดีและยุติธรรมยิ่ง
พวกมันไม่เคยหลงระเริงเมื่อได้ชัยเหนือคู่ต่อสู้ ไม่เคยกล่าวคำเยาะหยันคู่ต่อสู้ที่แพ้พ่ายแม้แต่น้อย ทั้งไม่เคยผิดหวัง ท้อแท้เมื่อประสบกับความพ่ายแพ้
พวกมันมีแต่ยิ้มรับเมื่อเกิดพลาดพลั้งหรือพ่ายแพ้
พวกมันย่อมเปี่ยมล้นไปด้วยน้ำใจเยี่ยงเดียวกัน การช่วยเหลือที่พวกมันผู้ต่อผู้คนล้วนเป็นการช่วยเหลืออย่างจริงใจ ไม่หวังผลตอบแทนใดๆ เมื่อพวกมันคิดจะกระทำเรื่องราวใด(ที่ล้วนมิใช่เรื่องของมัน) มันล้วนกระทำด้วยความเต็มใจยิ่ง หาญกล้ายิ่ง
เมื่อมันกระทำภารกิจเสร็จสิ้นได้แต่ถอนตัวจากไป โดยไม่หวังให้ผู้ใดตอบแทน
ไม่ว่าจะเป็นการตอบแทนด้วยทรัพย์สิน ลาภยศ หรือแม้กระทั่งคำสรรเสริญใดๆ ทั้งสิ้น
ทั้งชอลิ่วเฮียงและเล็กเซี่ยวหงส์ล้วนชิงชังความชั่วร้าย มุ่งมั่นขจัดความเลวร้ายทั้งมวล แต่กระนั้นพวกมันมิปลิดชีวิตผู้ใดแม้แต่น้อย แม้ว่าคนผู้นั้นจักก่อกรรมทำเข็ญกับผู้คนสักเพียงไหนก็ตาม
“ชอลิ่วเฮียงไม่เคยฆ่าคน (แม้แต่คนเดียว) เพราะเห็นว่าคนผู้หนึ่งไม่ว่าอยู่ในสภาพอย่างไร ไม่ว่ากระทำความผิดพลาดใหญ่หลวงปานใด ล้วนสมควรรับการพิจารณาโทษตามกฎหมาย ค่อยกำหนดความผิด หลังจากกำหนดความผิด ค่อยทำการลงโทษ”
เช่นเดียวกับเล็กเซี่ยวหงส์ที่น้อยครั้งจะฆ่าคน มัก “ลืมเลือนความผิดพลาดของผู้อื่น จดจำเฉพาะความดีงามของผู้คนเท่านั้น”
เยี่ยงนี้-ชอลิ่วเฮียงและเล็กเซียวหงส์จึงสามารถโลดแล่นอยู่ในวงบู๊ลิ้มได้อย่างอิสระ ปล่อยวาง และสามารถยิ้มได้ทุกเวลา แม้กระทั่งในคราวคับขัน
คงมีแต่พวกมันเท่านั้นกระมังที่สามารถไต่ภูลงภูอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างปลอดโปร่งใจยิ่ง
ในวงยุทธจักรการเมืองมีผู้ใดบ้างเป็นเยี่ยงชอลิ่วเฮียงและเล็กเซี่ยวหงส์?
เห็นมีแต่ผู้ไม่เคยรู้จักคำว่า “หยุด” และ “พอ” โลดแล่นไปมาแสวงหาทรัพย์สินและลาภยศชื่อเสียงให้กับตัวเองและพวกพ้อง มีไม่น้อยคิดมุ่งหวังเป็น “จอมยุทธ์อันดับหนึ่ง” เพียงเพื่อให้ตนสามารถมีอำนาจ มีลาภยศชื่อเสียง โดยมิเคยมีความมุ่งหวังอย่างจริงใจในอันที่จะสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ผู้คนทั่วไป
และอาจมีบ้างที่มีวัตรปฏิบัติที่ดูคล้ายกับเป็นคนรู้จัก “หยุด” รู้จัก “พอ” ซึ่งแท้ที่จริงก็เป็นเพียงการสร้างภาพพจน์จอมปลอมขึ้นเพื่อหลอกลวงผู้คนเท่านั้นเอง ในขณะที่เบื้องหลังล้วนไม่เคยรู้จักพอ รู้จักหยุดเยี่ยงเดียวกัน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ผู้ใดว่าวีรบุรุษเงียบเหงา วีรบุรุษที่แท้ล้วนสำราญ
“ร่างกายพวกเราแม้สกปรก จิตใจกลับสะอาดสะอ้าน หากแม้นจิตใจคนผู้หนึ่งสกปรกโสมม ต่อให้ใช้สบู่ฟอกวันละสิบครั้ง ยังไม่สะอาดหมดจด” “มีเหตุผล ...
-
“จันทร์กระจ่างสักกี่ครั้ง ชูเมรัยไต่ถามฟ้า ทิพยสถานกลางเวหา ราตรีนี้เป็นปีใด เราคิดเหินลมคืนกลับ แต่กริ่งเกรงเคหาสน์หยกขาว เบื้องบนสะท้...
-
(1) ในบู๊ลิ้มขณะนั้นล้วนร่ำลือถึงบุคคลผู้หนึ่ง ในคำร่ำลือนั้นถึงกับกล่าวว่าคนผู้นั้นนับเป็นจอมโจรชั่วร้ายที่มิอาจมีผู้ใดในยุคนั้นชั่วร้าย...
-
“ร่างกายพวกเราแม้สกปรก จิตใจกลับสะอาดสะอ้าน หากแม้นจิตใจคนผู้หนึ่งสกปรกโสมม ต่อให้ใช้สบู่ฟอกวันละสิบครั้ง ยังไม่สะอาดหมดจด” “มีเหตุผล ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น