วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

คนเดินทางเงียบเหงา ราสามารถลืมเลือนทุกข์

"มีแต่ผู้ที่ถูกทำลายโดยสิ้นเชิงผู้หนึ่ง  จึงทราบว่า ‘ความแจ่มใส’เป็นความปวดร้าวที่น่ากลัวกระไรปานนั้น
 ปึงอุ้ยทราบว่า  การดื่มสุราไม่อาจแก้ปัญหาใดๆ และไม่อาจบรรเทาความปวดร้าวของตนได้
แต่ขณะที่ปึงอุ้ยมีสติแจ่มใส  ยิ่งปวดร้าวกว่า  ปวดร้าวจนสามารถเสียสติทุกขณะจิต
แต่ตอนนี้ปึงอุ้ยไม่มีหนทางอื่นให้เดินได้ เส้นทางเมามายพึงย่างกรายเสมอ  นอกจากนี้เดินไม่ได้"
(เหยี่ยวนรกทะเลทราย 2:397)

ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวและความรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย นับเป็นความรู้สึกที่มักควบคู่กับคนเดินทาง เนื่องเพราะคนเดินทางมักต้องพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก  พรากจากคนรักพรากจากบุคคลใกล้ชิด  พรากจากสถานที่ที่เรียกว่า”บ้าน”
นักสู้ในวงบู๊ลิ้มก็เป็นเยี่ยงนี้
พวกมันต้องพรากจาก “บ้าน” พรากจากบุคคลที่พวกมันรักและหวงแหน
และบางคนถึงกับไม่มี “บ้าน !”
บ้านที่หมายถึงความรัก ความอบอุ่น
“บ้าน” ที่หมายถึงบุคคลที่อยู่ภายในบ้าน มิใช่เป็นเพียงที่พำนักหลับนอนเท่านั้น เป็นบ้านที่พวกมันสามารถมี “เพื่อนบ้าน” มีผู้คนที่เป็นมิตรสหาย
นับแต่โบราณกาลแล้วคนเดินทางมักเงียบเหงาเนื่องเพราะต้องจากบ้าน
มีคนเดินทางผู้ใดบ้างที่ไม่เงียบเหงา ไม่ว้าเหว่เดียวดาย?
หลี่ป๋อ-รัตนกวีสมัยราชวงศ์ผู้ใช้ช่วงเวลาของชีวิตส่วนใหญ่หมดไปกับการสัญจรรอนแรมไปตามที่ต่างๆ  ความเหงาเปลี่ยวเดียวดายจึงมักเกิดขึ้นกับท่านเสมอมา มีกวีนิพนธ์ซึ่งท่านแต่งในยามเดินทางอยู่ 2 บาท ที่ผู้คนทั่วไปจดจำและกล่าวอ้างถึงเสมอ
“แหงนมองฟ้า  ข้าเห็นจันทร์กระจ่าง
ก้มมองพสุธา  ข้าคิดถึงบ้าน”
เยี่ยงนี้-อาจเป็นเพราะเยี่ยงนี้ หลี่ป๋อจึงได้แต่ดื่มสุราดับความทุกข์  ดับความเงียบเหงาเดียวดาย
นักบู๊ในวงบู๊ลิ้มไยมิใช่เป็นเยี่ยงนี้?
มีบ้างบางคนถึงกับกล่าว
“คนผู้หนึ่งไยต้องมีบ้าน? สามารถท่องไปทั่วแผ่นดิน ยึดพสุธาเป็นบ้าน
ไยมิใช่สะดวกสบายกว่ามากนัก”
นี่เป็นเพราะมันไม่ต้องการมีบ้าน?
ที่มันกล่าวเยี่ยงนี้  โก้วเล้งบอกว่าเนื่องเพราะมันต้องการมีบ้าน!
“ยามเมื่อคนผู้หนึ่งบอกว่า  ตนเองยินยอมไม่มีบ้าน  เท่ากับแสดงว่าตนเองต้องการมีบ้าน  เพียงแต่บ้านที่ว่าหาใช่ห้องหับหลังหนึ่ง  หากแต่เป็นสิ่งประโลมใจอันลึกล้ำ  ซึ่งเปราะบางเลื่อนลอยยากไขว่คว้า”
(จับอิดนึ้ง 2:383)
เมื่อพวกมันล้วนว้าเหว่เดียวดายเนื่องเพราะต้องจำพรากจาก "บ้าน"
เมื่อพวกมันเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวเนื่องเพราะไม่มีบ้าน!
สุราจึงนับว่าสามารถช่วยพวกมันได้?
“ผู้ที่ออกเดินทางมักเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว…
ในโลกยังมีสิ่งใดขับไล่ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวได้ง่ายกว่าสุรา?”
(ซาเสียวเอี้ย 2:475)
แต่สุราสามารถบรรเทาความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวได้?
สุราสามารถทำให้พวกมันมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขได้?
ดื่มสุราใช่สามารถดับความระทมทุกข์ หรือกลับเพิ่มความทุกข์ระทมยิ่งขึ้น?
“…คิดอาศัยสุราราดรดทุกข์ ทุกข์ทับถมทวีคูณ รักยิ่งลึกล้ำทุกข์ยิ่งเพิ่มทวี”
  (หลั่งเลือดสะท้านภพ 1:245)
สุรา- นับว่าเป็นสิ่งพิสดารอย่างหนึ่งในโลกมนุษย์
โก้วเล้งชมชอบดื่มสุรา หลายคน-โดยเฉพาะนายแพทย์-ถึงกับบอกว่าท่านเสียชีวิตเนื่องเพราะดื่มสุรามากเกินไป
ใช่เป็นเพราะโก้วเล้งนับเป็นผู้เงียบเหงาเดียวดายผู้หนึ่ง ท่านจึงคิดอาศัยสุราดับความเหงาเปลี่ยวนั้น?
หรือเป็นเพราะโก้วเล้งเห็นว่า สุรานับเป็นสิ่งพิสดารยิ่งประการหนึ่งที่สามารถบันดาลให้ท่านไม่เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวได้?
บางครั้งใช่สามารถบันดาลให้ผู้คนเกิดความรู้สึกคึกคักแจ่มใส  และอาจบางครั้งสามารถทำให้ผู้คนหลับไหลลืมเลือนความระทมทุกข์และความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวได้?
โก้วเล้งจึงกล่าวถึงความพิสดารของสุราไว้ว่า
สุรา นับว่าพิสดารอย่างยิ่งจริง ๆ
บางครั้งสามารถกระตุ้นให้คนคึกคัก
บางครั้งกลับสามารถบันดาลให้คนหลับใหล”
(ฤทธิ์มีดสั้น 3:801)
ดังนั้นจึงอาจนับได้ว่า-
“สุราเป็นเพื่อนของมนุษยชาติ โดยเฉพาะคนที่ผิดหวัง
คนที่ผิดหวังดื่มสุรา จุดประสงค์เพื่ออาศัยสุราราดรดทุกข์
คนที่สมหวังก็ดื่มสุรา เพื่อแสดงว่าชีวิตพึงหฤหรรษ์อย่างเต็มที่”
(ยอดขุนโจร, 2 :588-589)
ผู้ผิดหวัง ผู้มีแต่ความระทมทุกข์ บางครั้งอาจเมามายได้ง่ายดายยิ่ง
ผู้สมหวัง ใช่สามารถเมามายได้ง่ายดายยิ่งกว่า?
แต่มีผู้ผิดหวัง, ผู้ระทมทุกข์ไม่น้อยที่คิดดื่มให้เมามายแต่กลับไม่เมามาย  นี่อาจนับเป็นความพิสดารอีกประการหนึ่งของสุรา
 “สุรานับเป็นของพิสดารอย่างยิ่งจริงๆ ท่านยิ่งไม่ต้องการดื่มให้เมา  มันยิ่งเมารวดเร็ว  แต่ถึงต้องการดื่มให้เมา  กลับไม่เมาเสียได้”
(ฤทธิ์มีดสั้น, 1:105)
บางครั้งสุราก็อาจนับว่าสามารถทำให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงไป
เป็นการเปลี่ยนแปรลักษณะนิสัยใจคอของผู้คนที่แตกต่างไปจากในยามปกติที่ไม่เมามาย
ใช่เป็นบันดาลผู้คนเปลี่ยนแปรกลายเป็นผู้คนอีกคนหนึ่ง
ใช่สามารถทำให้ผู้คนเปิดเผยความจริงแท้ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในใจของตน
“หลังร่ำสุราเปิดเผยความจริง  ผู้ที่ดื่มจนเมามาย  มักยากที่จะรักษาความลับไว้ได้”
(ทวนทมิฬ, หน้า 33)
และบางครั้งเมื่อดื่มจนเมามายก็อาจสามารถเปิดเผยความจริงอันเป็นความจริงแท้ที่อยู่ในส่วนลึกของตนออกมาให้ผู้คนพบเห็น
เป็นความจริงในที่อาจนับเป็นธาตุแท้ของผู้คน
เฉกนี้,บางครั้ง:-
 “...สุราที่ไม่เมามายโดยง่าย หากเมามายยากที่จะฟื้นตื่นได้  บุคคลที่น่ารักที่สุดมักเป็นบุคคลที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด”
(เหยี่ยวนรกทะเลทราย 1:124)
บางครั้ง:-
 “...ผู้ที่ดื่มสุราจนเมามาย ล้วนมิรู้จักหนักเบาผิดชอบชั่วดี วาจาที่ไม่ควรกล่าว พอเมามายก็ประดังพร่างพรูออกมา  เรื่องราวที่กระทำมิได้ พลอยกระทำออกมา
เพราะเหตุนี้ สุราพอตกถึงท้อง บุคคลที่ร่างสูงเพียงห้าเชียะ  กลับเข้าใจว่าตนเองสูงถึงแปดเชียะ  ผู้ที่ร่างกายอ่อนแอจนไม่มีเรี่ยวแรงฆ่าไก่ จะเข้าใจว่าตนเองเป็นจอมพลังมหาศาล
ดังนั้นผู้ที่ร่ำดื่มจนเมามาย  มักชมชอบต่อยตีกับผู้อื่น   มิว่าสู้ได้หรือไม่ต้องต่อสู้ก่อนแล้วค่อยว่ากล่าว  ต่อให้เป็นผู้ที่ฉลาดปราดเปรื่องที่สุด พอดื่มสุราจนเมามายจะกลับกลายเป็นตัวโง่งม!”
(จับอิดนึ้ง,2:696-697)
บางครั้งการดื่มสุราจึงเป็นเพียงการหาเครื่องปลอบขวัญตนเองให้หาญกล้าของผู้ที่ไม่มีความกล้าหาญพอที่จะกระทำในบางสิ่งบางประการเท่านั้น
เยี่ยงนี้- แท้จริงแล้วสุราคืออะไร?
ดื่มสุราแล้วนับเป็นอย่างไร?
"หากท่านเข้าใจ สุราเป็นน้ำอมฤตที่พอจะบันดาลให้ผู้คนสุขสันต์หรรษาร่าเริงแจ่มใส ท่านก็ผิดแล้ว
หากท่านถาม สุราคืออะไร?
ข้าพเจ้า(โก้วเล้ง)ยินดีบอกกับท่าน
สุราคือเปลือกชนิดหนึ่ง  คล้ายเปลือกที่หอยทากลากไป  พอจะให้ท่านหนีเข้าซุกซ่อนที่ภายใน
อย่างนั้น แม้นับว่าผู้อื่นเหยียบใส่ ท่านก็ไม่เห็นอีกเลย"
  (เดชขนนกยูง : 20)
ที่แท้สุรานับเป็นเยี่ยงนี้เอง
ที่แท้บางครั้งการดื่มสุราจึงเป็นเพียงการหลีกลี้หนีความจริงที่ตนกำลังเผชิญอยู่มิกล้าเผชิญหน้ากับความจริงอันปวดร้าวนั้น ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วมีผู้ใดสามารถใช้สุราเป็น"เปลือก" ปกป้องตนมิให้ความจริงแห่งชีวิตมากล้ำกรายได้!
และอาจเป็นเพราะสุราเป็นเยี่ยงนี้  นับแต่โบราณกาลมาแล้ว  ผู้ที่นิยมดื่มสุราจึงมีอยู่ตลอดมา บ้างดื่มสุราให้เมามายเพื่อคลายทุกข์ บ้างเพียงดื่มเพื่อมีสหายคลายเหงา  บ้างอาจดื่มเพื่อเป็นเครื่องสำเริงสำราญอารมณ์  แท้จริงสุราสามารถเป็นเช่นนี้หรือไม่
บางครั้ง "พึ่งเมรัยดับทุกข์ ทุกข์ยิ่งทุกข์" แม้โก้วเล้งจะบอกว่า
“...'พึ่งเมรัยดับทุกข์ ทุกข์ยิ่งทุกข์' โคลงที่ได้รับการยกย่องมาเป็นเวลากว่าพันปีบาทนี้  ความจริงมิถูกต้องโดยสิ้นเชิง ดื่มสุราจำนวนน้อย สามารถบันดาลให้ผู้คนยิ่งมีประสาทอ่อนไหว  ยิ่งคิดเรื่องเศร้าเสียใจได้ง่ายดาย  แต่รอจนเมื่อดื่มมากมายจริงๆ ดื่มจนเมามาย ความคิดและความรู้สึกก็จะชาด้านไปหมดสิ้น”
(ฤทธิ์มีดสั้น,1:137)
แต่เมื่อยามที่สร่างจากเมามายเล่า ใช่ความรู้สึกระทมทุกข์นั้นสามารถชาด้านตลอดไปหรือไม่?
ในบางครั้งคนเมามายผู้หนึ่งจึ่งอาจเป็นดั่งที่โก้วเล้งกล่าว,
เป็นคนเมามายผู้หนึ่งที่มันได้แต่อาศัยสุราราดรดความทุกข์ ความผิดพลาดหวังของตน
"ตอนที่เมามายจริงๆ ทั้งไม่เจ็บปวดรวดร้าว ทั้งไม่รื่นเริงหฤหรรษ์ ลืมเลือนอดีตกาล ปราศจากอนาคต แม้แต่ปัจจุบัน  เนื่องเพราะห้วงสมองเวิ้งว่างเปล่า
ตอนที่เมามายจริงๆ  ทั้งมิได้คำนึงถึงผู้อื่น  และมิได้ครุ่นคิดถึงตนเอง แม้แต่เรื่องที่ตัวเองกระทำ ก็คล้ายเป็นพฤติการณ์ผู้อื่น  ไม่มีส่วนสัมพันธ์กับตน
แต่ยามเมื่อคนผู้หนึ่งเมามายจริงๆ  เรื่องที่กระทำออกมา ย่อมเป็นเรื่องที่ปรกติมิกล้ากระทำมาก่อน
หากแม้นกระทำออกมา ย่อมต้องเพราะคนผู้หนึ่ง และคนผู้นั้นย่อมเป็นผู้ที่สลักฝังใจยากลืมเลือน มาตรแม้นห้วงสมองเวิ้งว่างเปล่า  คนผู้นั้นยังประดับในห้วงดวงใจ ตราตรึงในห้วงสมอง ผูกพันสนิทกับวิญญาณของตน
ผู้ที่เมามายจริงๆ จะกระทำเรื่องเช่นนั้นโดยไม่คำนึงถึงทุกสรรพสิ่ง และกระทั่งตัวเองก็มิทราบว่าตนกำลังกระทำเรื่องราวใด
มีแต่ผู้ที่เมามายจริง ๆ จึงสามารถเข้าใจซึ้งถึงความรู้สึกนี้"
(จับอิดนึ้ง, 2 : 677-678)
แม้ทุกผู้คนจะยอมรับ  ดื่มสุรามิอาจคลายทุกข์ได้  แต่สำหรับบางคนมันจะมีหนทางใดอีกเล่านอกเหนือการใช้สุราเป็นเครื่องปลุกปลอบให้ตนมีกำลังใจเข้มแข็งสามารถยืนหยัดต่อสู้ชีวิตต่อไปได้
ลี้คิมฮวงอาจดื่มสุราราวกับเป็นเพียงคนผู้หนึ่งที่กำลังแสวงหาความตายให้กับตัวเอง  เมื่อมีผู้ถามท่าน- หากดื่มเยี่ยงนี้มิว่าผู้ใดก็มิอาจมีชีวิตรอดอยู่ได้  ท่านก็ได้แต่ตอบ"ท่านเข้าใจ ข้าพเจ้าไม่ดื่มสุรา ก็จะสามารถรอดได้อีกยาวนาน?"
ที่แท้การเมามายเมรัยมิแน่ว่าจะเป็นโทษเสมอไป  เนื่องเพราะบางครั้งนับเป็นหนทางเดียวที่สามารถทำให้พวกมันยืนหยัดอยู่ได้โดยไม่ล้มลง
ดังนั้น, สำหรับพวกเขาเหล่านักบู๊  อย่างน้อยสุรานับว่ามีคุณค่าต่อชีวิตต่อพวกมันประการหนึ่ง
มีคุณค่าในฐานะที่มันเป็น “เครื่องมือ” ที่สามารถช่วยให้ผู้คนลืมเลือนเรื่องราวบางประการได้ชั่วขณะหนึ่ง  แม้จะระทมทุกข์ขึ้นมากในภายหลังก็ตาม
“มีบ้างบางคนน้อยครั้งจะหลงเหลือสุราอยู่ในจอก  และน้อยครั้งจะทิ้งคราบน้ำตาอยู่บนใบหน้า
พวกเขาเป็นคนชนิดนี้
พวกเขาพอรินสุราเปี่ยมปรี่  ก็ดื่มรวดเดียวหมดสิ้น
พวกเขาไม่คิดสัมผัสกับความสุขของการดื่มอย่างแท้จริง  สำหรับพวกเขา สุราเพียงเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่ง
เครื่องมือที่ช่วยให้ผู้คน’ลืมเลือน’ได้ชนิดหนึ่ง
แต่ในใจของพวกเขาก็ทราบว่า มีเรื่องบางประการที่ไม่มีวันลืมเลือนได้”
(ยอดขุนโจร, 2:502)
เยี่ยงนี้, สำหรับเหล่านักบู๊ในวงยุทธจักร ดูเหมือนว่าความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวความผิดหวัง ความระทมทุกข์ เหล่านี้ล้วนนับว่าเป็นของคู่กับพวกมัน วันเวลาที่ผ่านไปของพวกมันจึงมักมีโรงเตี๊ยมเหลาสุราเป็นที่พำนักพักพิง  เป็นแหล่งเสาะแสวงหาสหายผู้รู้ใจ สหายผู้ที่มักมีแต่ความเหงาเปลี่ยวเดียวดายเช่นกัน
ยามที่พวกมันร่วมดื่มสุรา  จอกของพวกมันย่อมมิได้ว่างเปล่า  แต่ในใจของมันเล่าใช่กลับอ้างว้างเดียวดาย
“...เหตุใดสุรากับความเศร้าหมองจึงแยกกันไม่ออก?
สุราไหลลงสู่ลำไส้ทุกข์ แต่ไม่มีน้ำตา
ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ต้องการหลั่งน้ำตาต่อหน้าผู้คน  น้ำตาของบุตรธิดาผู้กล้าความจริงไม่ได้หลั่งให้ผู้อื่นดู
สุราขังอยู่ในลำไส้ทุกข์  น้ำตาคั่งค้างอยู่ในใจ
บนใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม”
(ยอดขุนโจร 2 :469)
ใบหน้าของพวกมันย่อมมีรอยยิ้ม เนื่องเพราะพวกมันย่อมเห็นว่า แม้ชะตากรรมของตนจักเป็นเช่นไร แม้ชีวิตตนจะคับแค้นเพียงไหน พวกมันย่อมยินดีรับไว้โดยไม่หลีกหนี  ดั่งสุรา-
“สุรามีรสขม  ขมอย่างยิ่ง
ในเมื่อสุราอยู่กับจอก  มิว่าขมปานใดต่างต้องดื่มลงไป”
(เดชขนนกยูง, หน้า 150)
แม้ดื่มแล้วมิอาจคลายทุกข์ได้  พวกมันก็ยังยินดีดื่ม!
พวกมันบางครั้งยินยอมดื่มสุราขม  ยินยอมเมามายสุราดีกว่าเมามายอย่างอื่น
ดังนั้น,สำหรับผู้คนบางคน- “เมามายคลายทุกข์สู่สุขสันต์ เมาตายเหนือกว่าได้บรรดาศักดิ์” (ฤทธิ์มีดสั้น 1:105) และสำหรับผู้คนบางจำพวกมิได้เมามายสุราแต่กลับลุ่มหลงเมามายในยศถาบรรดาศักดิ์ เมามายในอำนาจ และลาภผลประโยชน์ที่เกิดจากอำนาจ!
ผู้คนจำนวนไม่น้อยยามเมื่อยังไม่ได้ครองอำนาจ  นับเป็นผู้มีคุณธรรมสัตย์ซื่อยิ่ง มีชีวิตความเป็นอยู่ที่น่านับถือ อ่อนน้อมถ่อมตนยิ่ง  แต่ยามเมื่อได้ครองอำนาจกลับหยิ่งยะโสโอหัง  หลงใหลในอำนาจจนยากจะไถ่ถอน  มองเห็นทุกผู้คนแม้แต่มิตรสหายกลายเป็นศัตรูที่จะมาแย่งชิงอำนาจตนไปหมดสิ้น
นี่ย่อมนับเป็นความเลวร้ายประการหนึ่งของอำนาจ และขณะเดียวกันก็นับเป็นความดีงามของอำนาจที่สามารถเปิดโปงแก่นแท้ของผู้คนบางจำพวกให้ผู้คนทั่วไปได้มองเห็นได้อย่างแจ่มชัดยิ่ง
เห็นได้แจ่มชัดยิ่งภายในระยะเวลาสั้นๆ
“สุราเมรัยทำลายสติสัมปชัญญะ
ตัณหาราคะทำลายสุขภาพทรุดโทรม
แต่สิ่งที่ทำร้ายคนรุนแรงที่สุด กลับเป็นอำนาจ
เป็นความมักใหญ่ใฝ่สูง ความทะเยอทะยานอยากไม่มีที่สิ้นสุด”
                                   (น.นพรัตน์  “เปาบุ้นจิ้น” , ไทยรัฐ, 9 มีนาคม 2538 หน้า 12)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ใดว่าวีรบุรุษเงียบเหงา วีรบุรุษที่แท้ล้วนสำราญ

“ร่างกายพวกเราแม้สกปรก  จิตใจกลับสะอาดสะอ้าน หากแม้นจิตใจคนผู้หนึ่งสกปรกโสมม  ต่อให้ใช้สบู่ฟอกวันละสิบครั้ง ยังไม่สะอาดหมดจด” “มีเหตุผล  ...