วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

จริยาจอมยุทธ์

เกาะวีรบุรุษ- มิว่าผู้ใดก็มิอาจทราบได้ว่าอยู่เหนือหรือใต้ใกล้หรือไกลประการใดในท้องน้ำอันเวิ้งว้างไพศาล  อย่าว่าแต่คำ “เกาะวีรบุรุษ” ย่อมมิใช่ชื่อดั้งเดิม เยี่ยงนี้ต่อให้นักเดินเรือผู้มีชีวิตอยู่กับท้องทะเลกว่าครึ่งชีวิตก็มิอาจทราบได้ มิหนำผู้ที่เคยเดินทางไปยังเกาะวีรบุรุษล้วนมิมีผู้ใดหวนคืนกลับสู่ดินแดนตงง้วน  ว่ากันว่าผู้คนเหล่านั้นล้วนตายไปหมดแล้ว
ผู้ที่รู้ว่า “เกาะวีรบุรุษ” ตั้งอยู่ตำแหน่งใดในท้องน้ำอันกว้างใหญ่เห็นจะมีเพียงคนของ “เกาะวีรบุรุษ”เท่านั้น
เกาะวีรบุรุษที่แท้อยู่ที่ใด ?
เกาะวีรบุรุษที่แท้เป็นเยี่ยงไร


ที่แท้เกาะวีรบุรุษนับเป็นเยี่ยงไร ?
ที่แท้เกาะวีรบุรุษกลับคับคั่งไปด้วยจอมยุทธ์ ทั้งจอมยุทธ์ที่เป็นคนของเกาะวีรบุรุษและเหล่าจอมยุทธ์ที่ได้รับการเชื้อเชิญมาจากดินแดนตงง้วน
จอมยุทธ์ที่หายไปจากดินแดนตงง้วน  ที่ผู้คนล้วนเข้าใจว่าถูกฆ่าตายบนเกาะวีรบุรุษล้วนยังคงมีชีวิตอยู่
แม้นพวกเขาจะตกตายไปบ้าง แต่ก็เป็นการตายตามสภาวะความเป็นไปแห่งธรรมชาติ  มิใช่ถูกผู้คนของเกาะวีรบุรุษสังหารดังที่ทุกคนเข้าใจ
ข้าวต้มเดือนสิบสองที่ทุกผู้คนเข้าใจว่าเป็นยาพิษที่ร้ายแรงที่สุดกลับเป็นยาบำรุงกำลังภายในที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด!
เป็นข้าวต้มที่ที่มุ่งหวังให้ผู้รับประทานเพิ่มพลังภายในเพื่อฝึกฝนวิชาการต่อสู้ชุดหนึ่ง
จอมยุทธ์ที่เดินทางมายังเกาะวีรบุรุษกลับล้วนหมกมุ่นอยู่กับการฝึกวิชาการต่อสู้ชุดหนึ่ง
เป็นวิชาการต่อสู้ที่จารึกไว้บนแผ่นศิลาในห้องศิลารวม 24 หลัง บนส่วนหนึ่งของเกาะวีรบุรุษ
ห้องศิลาแต่ละหลังจารึกบทกลอนประโยคหนึ่ง  และข้อความอธิบายคำกลอนชุดหนึ่ง
เป็นบทกลอน “เฮียบแขะเฮ้ง - จริยาจอมยุทธ์” ของอัจฉริยกวีสมัยถัง- หลี่ไป๋
เป็นบทกลอน 24 ประโยค และคำอธิบายบทกลอนทั้ง 24 ประโยค ที่ “ครอบคลุมวิชาบู๊อันลึกล้ำไพศาลที่สุด นับแต่โบราณกาลจวบปัจจุบัน”
นี่คือคำแปลของบทกลอนทั้งหมดที่สอดแทรกอยู่ในยุทธจักรนิยาย “มังกรทลายฟ้า” ของกิมย้ง สำนวนแปลโดย น. นพรัตน์  ซึ่งน่าเสียดายว่าขาดหายไปสี่ประโยค

แขกแคว้นเตี่ยสวมหมวกพู่แพรหลวม
ตะขอคมวาวราวหิมะน้ำแข็ง
ประกายสีเงินแพรวพราย อานม้าสงบมั่นคง
รวดเร็วประดุจดาวตก
สิบก้าวสังหารคนหนึ่ง
ท่องทะยานเป็นพันลี้
เสร็จเรื่องราวพลิ้วผละไป
ซ่อนเร้นทั้งชื่อร่าง
แวะดื่มสุราเจ้าซิ่งเล้ง
ชักกระบี่ขวางพาดเข่า
.................................
ท่านเจ้าชิดเชื้อจูไห
ร่ำสามจอกเปล่งคำมั่น
หยามบรรพตอยู่ใต้เท้า
.................................
ตัวตายคุณธรรมระบือ
ช่วยเจ้าเตี่ยควงค้อนทอง
ปณิธานหาญเทียมรุ้ง
..................................
ลือลั่นทั่วเมืองไต้เนี่ย
...................................
สมเป็นอัจฉริยะจบแดน
ผู้ใดสามารถรจนาท่าน
ตำราไท้เฮี้ยงผมขาวโพลน

เพื่อความสมบูรณ์ของบทกลอนบทนี้ ผู้เขียนจึงถอดความจากบทแปลเป็นภาษาอังกฤษของ Robert Payne จากหนังสือ The White Pony มาดังนี้

ผู้กล้าแคว้นเจ้าในแพรพรรณสักหลาดของชาวตาร์ด
ดาบสั้นจากแคว้นหวู่ของเขาฉายแสงราวน้ำแข็งแลหิมะ
อานม้าสีเงินเปล่งแสงระยิบเหนือม้าขาวผอมนั้น
.เขามาประดุจสายลมฤาดาวตก
ทุกสิบก้าวชีวิตหนึ่งต้องสังเวยคมดาบเขา
เดินทางนับหมื่นลี้ไม่มีวันหยุด
เมื่อสังหารเสร็จ- สะบัดเสื้อคลุมจากไป
ไม่มีใครรู้ถึงนามของเขาและสถานที่ที่เขาเดินทางไป
ถ้าเขามีเวลา- เขาย่อมไปดื่มสุรากับซิ่นหลิงจวิน
ปลดดาบแล้ววางลงตรงข้าม
องค์ชายมิได้คิดดูแคลนเมื่อแบ่งเนื้อให้จูไฮ่
หรือเสนอจอกสุราให้โฮหยิง
สามจอกคือเครื่องหมายของความสัมพันธ์ที่ไม่มีทางเสื่อมคลาย
คำสาบานของเขาหนักแน่นกว่าขุนเขาทั้งห้ารวมกัน
เมื่อใบหูเริ่มผะผ่าว, ดวงตาลุกโชน
ปลุกดวงวิญญาณแห่งความกล้า
ให้ปรากฏดุจดั่งแสงสีแห่งสายรุ้ง
ด้วยลูกตุ้มเหล็กในมือ, ก็สามารถกอบกู้แคว้นเจ้าได้สำเร็จ
ชื่อเสียงเขากระหึ่มก้องประหนึ่งฟ้าคำรามลั่น
แม้ผ่านพ้นเหมันตฤดู, ผู้กล้าทั้งสาม
ยังคงอยู่ในใจของชาวไต้เหลียง
กลิ่นหอมหวานคือซากศพของเหล่าวีรชน
อาจบางที- ปรัชญาเมธีผู้เฒ่าอาจบันทึกผู้อัจฉริยะนี้
ชรางองุ้มกับหนังสือริมหน้าต่าง
ผมขาวโพลน- รจนาตำรา “ไต้-ซวน จิง”

บทกลอนชิ้นนี้หลี่ไป๋แต่งขึ้นเพื่อสดุดีวีรกรรมและวัตรปฏิบัติของจอมยุทธ์ในอุปการะของเจ้าซิ่นหลิงจวิน(เจ้าซิ่งเล้งกุน) แห่งแคว้นเจ้า(เตี่ย หรือ เตี๋ยว)ในสมัยปลายราชวงศ์โจวตะวันออก (227 ปีก่อน พ.ศ.-พ.ศ.332) นามโฮ้วเอี้ยและจูไฮ่
เป็นจอมยุทธ์ผู้มีฝีมือล้ำเลิศยากที่หาผู้ใดเปรียบปาน
เป็นจอมยุทธ์ผู้มีวัตรปฏิบัติที่ควรแก่การยกย่องยิ่ง
เป็นจอมยุทธ์ที่มีชีวิตอย่างธรรมดาสามัญยิ่งแม้นเป็นผู้มีฝีมือล้ำเลิศ มีความกล้าหาญยิ่ง มีชื่อเสียงดังก้องในฐานะวีรบุรุษ แต่มีใครเล่าจักรู้จักนามของพวกเขา มีใครบ้างเล่าที่จักรู้ว่าพวกเขาคือใคร-เนื่องเพราะภายหลังจากที่ประกอบวีรกรรมช่วยเหลือกอบกู้แคว้นเจ้าแล้ว พวกเขากลับ“ซ่อนเร้นทั้งชื่อร่าง”
ทั้งโฮ้วเอี้ยและจูไฮ่จึงอาจนับเป็นแบบอย่างของจอมยุทธ์หรือวีรบุรุษที่เมื่อประกอบกิจของตนสำเร็จลุล่วงก็ได้แต่ถอนตนจากไม่  ไม่มุ่งหวังชื่อเสียงลาภยศใด ๆ ทั้งสิ้น  แม้แต่หวังให้ผู้คนรู้จักชื่อเสียงเรียงนาม- พวกเขาก็ยิ่งไม่ต้องการ
นับเป็นวัตรปฏิบัติที่ยากยิ่งสำหรับบุคคลผู้ที่เกี่ยวข้องกับคำ “อำนาจ” และ “ลาภยศ”


 “เมื่ออยู่บนเกาะวีรบุรุษ  สมควรอย่าได้ฝืนคำ ‘วีรบุรุษ’ จึงถูกต้อง”
เล้งเต้าจู้และบักเต้าจู้อาศัยอยู่บนเกาะวีรบุรุษ เป็นประมุขเกาะวีรบุรุษ และคิดมีวัตรปฏิบัติเยี่ยงวีรบุรุษ การกระทำของพวกมันแม้จะเป็นที่ร่ำลือกันในหมู่ชนชาวบู๊ลิ้มดินแดนตงง้วนคล้ายประหนึ่งมารร้ายที่ฆ่าคนโดยไม่กระพริบตา แต่เมื่อสืบสาวราวเรื่องหรือข้อเท็จจริงอย่างไม่มีอคติแล้ว ผู้ที่ถูกบริวาร “เกาะวีรบุรุษ” ล้มล้าง  “ล้วนมีความผิดอุกฤษฏ์ ฟ้าดินยากอโหสิได้”
แต่อาจเนื่องเพราะพฤติการณ์ของพวกมันลึกลับเกินไป เหี้ยมหาญเกินไป  และผู้ที่ถูกพวกมันล้มล้างกลับมีไม่น้อยที่สร้างภาพลักษณ์ตนเองให้ดูเป็นผู้มี “คุณธรรม” อย่างยิ่ง  มีฝีมือสูงส่งอย่างยิ่ง  ดังนั้นในสายตาของชนชาวยุทธแดนตงง้วน  พวกมันนับเป็นบุคคลชั่วร้ายกลุ่มหนึ่ง
ที่แท้ทั้งเล้งเต้าจู้และบักเต้าจู้ล้วนมุ่งหวังเป็นจอมยุทธ์และคิดประพฤติตนเป็นวีรบุรุษ  แต่ก็ดูเหมือนว่าพวกมันจะยังคงหลงวนเวียนอยู่กับคำ “จอมยุทธ์”และคำ “วีรบุรุษ” เยี่ยงเดียวกับชนชาวยุทธ์ผู้มีคุณธรรมอื่นๆ อีกไม่น้อย  การที่พวกมันพยายามเชื้อเชิญชนชาวยุทธ์มีมีสติปัญญาความสามารถไปยังเกาะวีรบุรุษด้วยมุ่งหวังร่วมกันศึกษาค้นคว้าวิชาบู๊จากจารึกบทกลอน“เฮียบแขะเฮ้ง” และคำอธิบายในห้องศิลาทั้ง 24 หลัง  ย่อมหมายถึงความพยายามที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของวิชาบู๊อันเป็นแนวทางของจอมยุทธ์ที่แท้จริง
แต่เนื่องเพราะพวกมันหลงติดอยู่กับคำอธิบาย  หลงติดกับสิ่งที่ผู้คนนับเป็น “ความรู้” หลงติดอยู่กับคำ “ความดีงาม” และ “ความชั่วร้าย”
หลงติดอยู่กับคำ “วีรบุรุษ” หรือ “จอมยุทธ์”
พวกมันจึงยากที่จะเข้าใจถึงแก่นแท้ของ “จริยาจอมยุทธ์” ได้
ยากที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของความเป็น “วีรบุรุษ” ที่แท้จริงได้
วันเวลาสิบกว่าปีบนเกาะวีรบุรุษ
วันเวลาแห่งชีวิตที่ผ่านพ้นไปอันยาวนาน
ที่แท้พวกมันมีผู้ใดสามารถเข้าใจถึงแก่นแท้ของคำ “จอมยุทธ์” และคำ “วีรบุรุษ” ที่แท้ได้บ้าง ?
วันเวลาอันยาวนานกว่าครึ่งค่อนชีวิตของเล้งเต้าจู้บักเต้าจู้ผู้นับตนเป็น“จอมยุทธ์” และ “วีรบุรุษ”  กับวันเวลาเพียงร้อยกว่าวันของผู้ที่ถือตนเองเป็น “ลูกสำส่อน” เป็นคนโง่เขลาไม่รู้หนังสือแม้ตัวเดียวเยี่ยงเจี๊ยะพั่วเทียนมีที่ใดแตกต่างกันบ้างเล่า


กิมย้งเปิดเรื่อง“มังกรทลายฟ้า”หรือ“เฮียบแขะเฮ้ง”ด้วยบทกลอน “เฮียบแขะเฮ้ง” ของหลี่ไป๋  และเสนอแนวความคิดเกี่ยวกับวัตรปฏิบัติของจอมยุทธ์(หรือวีรบุรุษ)ที่แท้ผ่านตัวละครเยี่ยงเจี๊ยะพั่วเทียน(สือพ่อเทียน)ซึ่งเป็นจอมยุทธ์ที่แม้ไม่รู้“หนังสือ”แม้แต่น้อย แต่กลับกอปรด้วยคุณธรรมที่ยากยิ่งจะหาจอมยุทธ์ที่เป็นทั้ง“ปราชญ์”และผู้ที่ได้ชื่อว่าปฏิบัติศาสนธรรมอย่างเคร่งครัดจักสามารถปฏิบัติได้
ที่แท้-ด้านหนึ่งกิมย้งอาจมุ่งเสียดสีผู้คนที่ยกตนเองเป็น“ปราชญ์”และ“วีรบุรุษ” ผู้มีความรู้ความสามารถ ตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรมความดีงาม  ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่เคยรู้หรือเข้าถึงแก่นแท้ของความเป็น“ปราชญ์”และ“วีรบุรุษ”สักกี่มากน้อย
ไม่เคยรู้ว่าจอมยุทธ์ที่แท้เป็นเยี่ยงไร?
วัตรปฏิบัติของจอมยุทธ์ที่แท้ควรเป็นเช่นไร ?
และที่แท้- ในอีกด้านหนึ่ง กิมย้งมุ่งเสนอปรัชญาแห่งเต๋าและเซ็น-
“ทุกสิ่งที่เป็นลักษณ์ล้วนความเพ้อเจ้อ”
เป็นผู้ใดเพ้อเจ้อ?


รู้จักพอ รู้จักหยุด
จึงสมควรนับเป็นจอมยุทธ์ที่แท้


ยิ่งกระหายชื่อเสียงก็ยิ่งเสื่อมเสียมาก
ยิ่งสะสมทรัพย์สมบัติมากก็ยิ่งสูญเสียมาก
ผู้ ‘รู้จักพอ’ จะไม่เสื่อมเสีย
ผู้ ‘รู้จักหยุด’ จะไม่มีภยันตราย
ทำได้เช่นนี้ ชีวิตจึงจะยั่งยืน
( เต๋า เต็ก เก็ง โชติช่วง  นาดอน แปล)
คนผู้หนึ่งคิดมีชีวิตอยู่ในวงบู๊ลิ้มย่อมมิใช่เรื่องง่ายดายนัก  ชีวิตของพวกมันใช่สามารถมีความสงบสุขสืบไปได้ยาวนาน  วันเวลาในชีวิตคล้ายผันผ่านไปอย่างหฤหรรษ์หรือระทมทุกข์กันเล่า ?
ที่แท้วิถีทางแห่ง “จอมยุทธ์” ในวงบู๊ลิ้มนับเป็นเช่นไร?
คำ “จอมยุทธ์” คล้ายกับมีเสน่ห์อย่างยิ่ง
คล้ายกับมีมนต์ขลังอย่างยิ่ง
มีเสน่ห์แลมนต์ขลังที่ผู้คนใคร่ลิ้มลอง ใคร่ที่จะนำมานำหน้านามของตน  เมื่อเข้าสู่วงบู๊ลิ้มทุกคนจึงล้วนมุ่งหวังให้ผู้คนทั่วไปเรียกตนเป็น “จอมยุทธ์”
แม้สักครั้งหนึ่งก็ยังดี

คนผู้หนึ่งเมื่อมันเกิดความคิดที่จะให้ผู้อื่นเรียกมันเป็นจอมยุทธ์ คิดมีฝีมือเหนือผู้คนทั้งแผ่นดิน-
เหตุผลประการหนึ่งอาจเนื่องเพราะต้องการที่จะมีชื่อเสียงเกริกไกรเหนือผู้คนในแผ่นดิน อันความต้องการมีชื่อเสียงเกียรติยศซึ่งนับเป็นความทะเยอทะยานประการหนึ่งของมนุษยชาติ
นับเป็นความทะเยอทะทะยานที่อาจกล่าวได้ว่าไม่มีที่สิ้นสุดสำหรับมนุษย์ทุกรูปนาม
โก้วเล้งเคยกล่าวไว้ว่า
มนุษย์ทุกรูปนาม ล้วนมีความทะเยอทะยาน ความทะเยอทะยานบางคนไม่มีวันสิ้นสุด
...ความทะเยอทะยานเป็นความรู้สึกที่ลึกล้ำรุนแรงที่สุดน่าสะพรึงกลัวที่สุดของมนุษยชาติ
...ความทะเยอทะยาน สามารถผลักดันให้ผู้คนกระทำเรื่องราวที่ปกติกระทั่งคิดยังไม่กล้าคิดมาก่อน”
ความทะเยอทะยานที่คล้ายเป็นคุณสมบัติประจำตัวประการหนึ่งของมนุษยชาติจึงคล้ายเป็นอำนาจพิเศษประการหนึ่ง
เป็นอำนาจที่รุนแรงลึกล้ำที่สุด
เป็นอำนาจที่สามารถบันดาลให้มนุษย์กระทำเรื่องราวต่างๆ มากหลาย
เป็นอำนาจที่สามารถบันดาลให้คนผู้หนึ่งคิดประพฤติเป็นคนดีงาม  มีคุณธรรมล้ำเลิศเหนือผู้คนในวงบู๊ลิ้ม และสามารถบันดาลให้ผู้คนมีความอดทนอดกลั้นอย่างยิ่งเพียงเพื่อให้ตนสามารถบรรลุเป้าหมายที่พึงประสงค์
และมีไม่น้อยที่สามารถบันดาลให้ผู้คนบางคนกลายเป็นคนชั่วร้าย ไร้คุณธรรมอย่างยิ่งเพียงเพื่อให้ตนสามารถไปถึงสิ่งที่มุ่งหวัง

ผู้คนบางประเภทเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตนทะเยอทะยาน คิดประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีงามเพื่อให้ผู้คนยกย่อง  คิดกระทำตนเป็นผู้มีคุณธรรมเพื่อให้ผู้คนยอมรับนับถือ  เยี่ยงนี้หากสามารถปฏิบัติได้จริงย่อมนับเป็นเรื่องที่น่ายกย่องอย่างยิ่ง
แต่แท้ที่จริงผู้ที่ปฏิบัติเยี่ยงนี้มีน้อยนักที่จะได้รับตำแหน่ง“จอมยุทธ์” เนื่องเพราะหากมันสามารถประพฤติปฏิบัติได้เยี่ยงนี้  ความทะเยอทะยานของมันผู้นั้นกลับลดน้อยถอยลง  คงเหลืออยู่แต่ปณิธานอันแรงกล้า
เป็นปณิธานที่มุ่งมั่นกระทำกิจเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง
เป็นปณิธานที่มิได้มุ่งแสวงหาเพื่อตัวเองอย่างแท้จริง
ประการนี้ย่อมตรงกันข้ามกับความทะเยอทะยาน
ความทะเยอทะยานอันเกิดจากตัณหา
ความทะเยอทะยานที่ทำให้จิตต้องกังวล
เมื่อตัณหาลดลง  ความกังวลสูญสลาย  จะอย่างไรความทะเยอทะยานก็ย่อมลดน้อยถอยลง
แต่ผู้ใดสามารถกระทำเยี่ยงนี้ได้
โก้วเล้งจึงกล่าว
 “ไร้ตัณหาจะเข้มแข็ง  ไร้กังวลจะเด็ดเดี่ยว
ผู้ที่มีการศึกษาล้วนเข้าใจความหมายของคำนี้  แต่น้อยคนที่จะปฏิบัติได้
ไม่ว่าผู้ใดล้วนมีกิเลสตัณหา ดังนั้น ปณิธานของคนจึงอ่อนแอเปราะบาง
ไม่ว่าผู้ใดล้วนมีบุคคลที่ตนกังวลสนใจ  ดังนั้นปณิธานของคนจึงสั่นคลอน”
เยี่ยงนี้จึงยากยิ่งที่ผู้มีความทะเยอทะยานอย่างแรงกล้าจะสามารถดำรงตนเป็นคนดีงาม  มีคุณธรรมอย่างแท้จริง
ในความเป็นจริง  ผู้ที่เสแสร้งเป็นคนดีงามกลับมีมากมายยิ่ง
ผู้ที่เสแสร้งเป็นผู้มีคุณธรรมกลับสามารถหาได้อย่างง่ายดายยิ่ง
เพียงแต่ผู้ใดสามารถเสแสร้งได้แนบเนียนกว่า น่าเชื่อถือมากกว่าเท่านั้นเอง!
ผู้ที่สมควรได้รับฉายาเป็น “วิญญูชนจอมปลอม” จึงมีมากมายยิ่ง
ยิ่งผู้ที่มอบฉายา“วิญญูชนจอมปลอม”ให้กับผู้อื่นก็ไม่แน่จะเป็น“วิญญูชนจอมปลอม” ยิ่งกว่า
เพราะสิ่งที่พวกมันมุ่งมั่นทะเยอทะยานไยมิใช่สิ่งเดียวกัน
มุ่งมั่นที่จะเป็น “จอมยุทธ์” อันดับหนึ่งในวงบู๊ลิ้มเฉกเดียวกัน !

 
ความอดทนอดกลั้นต่อความยากลำบากทั้งมวลนับเป็นคุณสมบัติสำคัญยิ่งประการหนึ่งของผู้ทะเยอทะยาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มุ่งทะเยอทะยานอยากมี อยากเป็น และอยากครอบครองตำแหน่ง “จอมยุทธ์” ที่เป็นอันดับหนึ่งเหนือผู้อื่นในแผ่นดิน
พวกมันอดทนต่อความยากลำบากในการฝึกปรือวิชาบู๊  เพื่อให้สามารถต่อสู้เอาชัยเหนือผู้คนทั้งหลาย
มีไม่น้อยฝึกชักดาบกระบี่ในแต่ละวันนับพันนับหมื่นครั้งเพื่อให้สามารถเป็นผู้ชักดาบกระบี่ได้ไวกว่าผู้ใดในแผ่นดิน
มีไม่น้อยที่อดทนฝึกเพลงดาบกระบี่นานนับสิบ ๆ ปี เพียงเพื่อให้มีวิชาดาบกระบี่เหนือกว่าผู้คนทั้งมวล
นอกจากอดทนอดกลั้นฝึกปรือวิชาฝีมือแล้ว  พวกมันยังต้องรู้จักอดทนอดกลั้นต่อความยากลำบากอื่นๆ อีกนานัปการ
อดกลั้นต่อการดูถูกเหยียดหยามจากผู้คน
อดกลั้นรอวันเวลาที่ตนจักสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง “จอมยุทธ์”
อดทนอดกลั้นที่จะไม่แสดงความรู้สึก ความปรารถนา และความต้องการของตนออกมาในเมื่อยังไม่ถึงเวลาที่ควร
อดทนอดกลั้นต่อความคับแค้นที่มิอาจบอกกล่าวต่อผู้คน
อดทนกระทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับความต้องการที่แท้จริงของตน ยินยอมที่จะสวมใส่“หน้ากาก”หลายๆ ชั้นเพื่อสร้าง“ภาพลักษณ์”อันสวยหรูให้ผู้คนหลงใหล
อดกลั้นต่อคำด่าประณามหยามหยัน  คำวิพากษ์วิจารณ์
ทั้งนี้เพียงเพื่อให้สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง“จอมยุทธ์”อันดับหนึ่งของวงบู๊ลิ้มให้ได้
ตำแหน่งที่มากทั้งพลังอำนาจแลเต็มไปด้วยเกียรติยศแลชื่อเสียงเหนือผู้ใด
ตำแหน่งที่ย่อมเป็นที่มาแห่งโภคทรัพย์ทั้งมวล


คนผู้หนึ่งหากสามารถสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง “จอมยุทธ์” ได้แล้วนับเป็นเยี่ยงไร
พวกมันสามารถมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขหรือไม่ ?
พวกมันสามารถเสพย์สุขได้ดังหวังหรือไม่ ?
แท้ที่จริงเนื่องเพราะตำแหน่ง“จอมยุทธ์”นับว่ามีน้อยยิ่ง แต่ผู้ที่มุ่งหวังตำแหน่งนี้นับว่ามีมากมายยิ่ง ฉะนั้นเมื่อสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งจอมยุทธ์ได้ก็กลับคล้าย “ยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว” กลับเป็นเป้าให้ผู้คนมุ่งล้มล้างได้ชัดเจนยิ่ง
เมื่อคนผู้หนึ่งสามารถอยู่ในตำแหน่งที่ “พิชิตทั่วแผ่นดินไร้ผู้ต่อต้าน” ไยมิใช่ชักนำศัตรูให้มุ่งเป้าหมายมาที่ตน
 “.. ‘พิชิตทั่วแผ่นดินไร้ผู้ต่อต้าน’ เพราะชื่อฉายานี้ไม่ทราบชักนำความแค้นมากน้อยเท่าใด  เพาะศัตรูมากมายเพียงไหน...”
เนื่องเพราะประการแรก หากผู้ใดสามารถต่อสู้เอาชัยเหนือ“จอมยุทธ์”อันดับหนึ่งผู้“พิชิตทั่วแผ่นดินไต้ผู้ต่อต้าน”ได้ก็ย่อมหมายความว่าผู้นั้นสามารถเป็น“จอมยุทธ์”อันดับหนึ่งได้ทันที
และประการหนึ่งนั้น ผู้ที่สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง“จอมยุทธ์”อันดับหนึ่งมีผู้ใดที่ไม่สังหารผู้อื่น  มีผู้ใดที่ไม่เคยเพาะศัตรูไว้บ้าง  ทั้งนี้เนื่องเพราะ
“มีเรื่องบางประการที่ท่านยังไม่เข้าใจ นี่คือชีวิตมนุษย์  คนผู้หนึ่งหากคิดไต่เต้าสู่ที่สูง บางครั้ง(หรือล้วน)มิอาจไม่ข้ามศีรษะผู้อื่นขึ้นไป”
ดังนั้น  แท้ที่จริงคิดเป็น “จอมยุทธ์” อันดับหนึ่งนั้นยากยิ่ง  แต่คิดจะรักษาตำแหน่งนี้ให้อยู่กับตนได้ยาวนานนับว่ายิ่งยากกว่าหลายเท่านัก
 “การจู่โจมแม้ยากลำบาก  การต้านรับยิ่งยากลำบากกว่า
...คิดสร้างชื่อเสียงแม้ไม่ง่ายนัก  แต่หากคิดรักษาชื่อเสียงให้คงอยู่ยังยากลำบากกว่า”
เพราะในที่สุด--ย่อมมีจอมยุทธ์ผู้เก่งกล้าสามารถกว่าตนเกิดขึ้นอีกมากหลายในวงบู๊ลิ้ม!



แท้จริงแล้วผู้ที่ดำรงตำแหน่ง “จอมยุทธ์” อันดับหนึ่งผู้ “พิชิตทั่วแผ่นดินไต้ผู้ต่อต้าน” ใช้สมควรนับเป็น “จอมยุทธ์” ที่แท้หรือไม่ ?
มิว่ากิมย้งหรือโก้วเล้งย่อมมิได้ยกย่องประดาผู้คนเหล่านี้เป็นจอมยุทธ์ที่แท้
เนื่องเพราะพวกท่านมีความเห็น
 “มีเรื่องมากหลาย  ที่พอจะบันดาลให้ผู้คนแก่ชรา
คิดคะนึงหา สามารถบันดาลให้คนแก่ชรา  เจ็บช้ำกังวลก็สามารถบันดาลให้คนแก่ชรา
หากความทะเยอทะยานของผู้คนยิ่งใหญ่เกินไป มากหลายเกินไป ก็ต้องชรารวดเร็วยิ่ง
ความทะเยอทะยาน ที่จริงก็เป็นความทุกข์ทรมานยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ
“บุคคลที่อยู่ในช่วงการเสาะแสวงหาโดยไม่หยุดยั้ง จากการกระเสือกกระสนดิ้นรนในจิตใจ อาจยังรวดร้าวกว่าปลาที่ติดอยู่ปลายเบ็ด  เนื่องเพราะมันแม้มันอยู่ในระหว่างการแสวงหาไม่หยุดยั้ง กลับไม่ทราบที่ตนแสวงหาที่แท้เป็นอย่างไร?”
พวกท่านล้วนเห็นว่า  ผู้ที่สามารถเป็น “พิชิตทั่วแผ่นดินไต้ผู้ต่อต้าน” ยังมิใช่จอมยุทธ์ที่แท้จริง
จอมยุทธ์ที่แท้กลับมีคุณสมบัติสำคัญ
ยศถาบรรดาศักดิ์ไม่อาจมอมเมาจิตใจ
ยากไร้ต่ำต้อยไม่อาจแปรปณิธาน
ใต้อิทธิพลอำนาจไม่อาจยอมสยบ”
จอมยุทธ์ที่แท้ในทัศนะของพวกท่านจึงย่อมมีคุณสมบัติสำคัญดังที่เหลาจื๊อว่าไว้
รู้จักพอ
รู้จักหยุด
รู้จักพอเมื่อเห็นสมควรเพียงพอ  รู้จักหยุดเมื่อเห็นสมควรหยุด
รู้จักคำว่า “พอ” ในการแสวงหาโภคทรัพย์ทั้งมวล
รู้จักคำว่า “หยุด”ในการแสวงหายศถาบรรดาศักดิ์ แลอำนาจชื่อเสียง
จอมยุทธ์ที่แท้มิว่าจะเป็นก๊วยเจ๋ง เอี้ยก้วย เตียซำฮง เตียบ่อกี้  โอ้วฮุย ฯลฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง- เหล็งฮู้ชง ของกิมย้ง   ลี้คิมฮวง เอี๊ยบไค  โป้วอั้งเสาะ ซาเสียวเอีย เต็งพ้ง ฯลฯ ของโก้วเล้ง  เหล่านี้ล้วนแล้วรู้จักคำว่า “พอ” และ “หยุด” ถอนตัวจากวงบู๊ลิ้มไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเมื่อถึงกาลอันควร  หรือแม้กระทั่งจอมยุทธ์เยี่ยงชอลิ่วเฮียงและเล็กเซี่ยวหงส์ที่คล้ายกับว่ายังคงมีชีวิตโลดแล่นอยู่ในวงบู๊ลิ้มโดยมิได้ถอนตัวจากไป  แต่พวกมันกลับมีวัตรปฏิบัติที่สอดคล้องกับคำ“พอ”และ“หยุด” อยู่ตลอดเวลา
ผู้ที่อ้างตนเป็นจอมยุทธ์และคิดจะเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของแผ่นดินทั้งหลายเล่า  เมื่อไรจะรู้ซึ้งถึงคำคำ “รู้จักหยุด” “รู้จักพอ” กันเล่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ใดว่าวีรบุรุษเงียบเหงา วีรบุรุษที่แท้ล้วนสำราญ

“ร่างกายพวกเราแม้สกปรก  จิตใจกลับสะอาดสะอ้าน หากแม้นจิตใจคนผู้หนึ่งสกปรกโสมม  ต่อให้ใช้สบู่ฟอกวันละสิบครั้ง ยังไม่สะอาดหมดจด” “มีเหตุผล  ...