วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

บทพิสูจน์วิญญูชนที่แท้

(1)
“ซือแป๋  ข้าพเจ้าไม่ขอแบ่งปันพระพุทธรูปทองคำของท่าน   ท่าน
ท่านร่ำรวยของท่านคนเดียวเถอะ”
เขาขบคิดไม่เข้าใจจริงๆ คนผู้หนึ่งไม่ต้องการญาติมิตร ไม่ต้องการ
ซือแป๋ ซือเฮียตี๋ ตลอดจนศิษย์  กระทั่งบุตรีในสายเลือดยังไม่เหลียวแล ต่อ
ให้ได้ครอบครองขุมทรัพย์อันมหาศาล  จะมีความสุขอันใด?”
   (กิมย้ง/น. นพรัตน์  กระบี่ใจพิสุทธิ์)

มีคำกล่าวประการหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่อาจจำได้ว่าผู้ใดเป็นผู้กล่าวไว้ -
“บุคคลผู้ที่มากไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม  ย่อมเสียทีเพราะเล่ห์เหลี่ยม”
นี่อาจเข้าทำนองหมองูตายเพราะงู
เข้าทำนอง- ผู้ที่คิดใช้เล่ห์เหลี่ยมเอาชัยชนะเหนือผู้อื่น  ในที่สุดก็คล้ายกับว่าตนต้องพลาดพลั้งเพราะเล่ห์เหลี่ยมลวดลายที่ตนนำมาใช้นั่นเอง
จอมยุทธ์ไม่น้อยล้วนมีผลสรุปบั้นปลายเยี่ยงนี้
ฤาผู้ผาดโผนในยุทธจักรล้วนเป็นเยี่ยงนี้?


เมื่อกิมย้งเขียน“ซู่ซิมเกี่ยม”-กระบี่ใจพิสุทธิ์ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น“เหลียงเซี้ยก๊วก”)  กิมย้งอาจดัดแปลงจากเรื่องจริงของฮั้วเซ็งที่โจ้วแป๋ของท่านลักลอบนำตัวหลบหนีจากคุกเมืองตังเอี้ยง
ฮั้วเซ็งถูกคหบดีผู้หนึ่งกล่าวหาเป็นโจร และถูกทางการจับกุมตัวคุมขังไว้  เป็นเหตุให้บิดามารดาคับแค้นใจจนตาย คู่หมั้นคู่หมายภายหลังตบแต่งเป็นภรรยาลูกชายคหบดีผู้นั้น เมื่อเขาออกจากคุกล่วงรู้ว่าทั้งหมดล้วนเป็นแผนการของลูกชายคหบดีนั้น  จึงใช้มีดจ้วงแทงทำร้ายลูกชายคหบดีนั้นบาดเจ็บ  และยินยอมถูกคุมขังอีกครั้งหนึ่ง  คราครั้งนี้ครอบครัวคหบดีนั้นพยายามติดสินบนทางการคิดทำร้ายให้ฮั้วเซ็งตายภายในคุก  เพียงแต่ยังมิอาจทำการได้สำเร็จ  โจ้วแป๋ของกิมย้งมารับตำแหน่งนายอำเภอตังเอี้ยง  รื้อฟื้นคดีช่วยชีวิตฮั้วเซ็งไว้ได้  เพียงแต่มิอาจปล่อยตัวจากคุกเนื่องจากความผิดทำร้ายร่างกายผู้คนยังคงมีอยู่  
กระทั่งเมื่อโจ้วแป๋ของกิมย้งถูก“ปลดออกจากตำแหน่ง” เนื่องเพราะไม่ยินยอมตัดสินโทษชาวบ้านที่ก่อการจลาจลเผาโบสถ์อันเนื่องจากความเหิมเกริมของพวกบาทหลวง “กลับมาตุภูมิมาเสพสุขสันโดษ” ท่านจึงลักลอบนำฮั้วเซ็งกลับไปด้วย
เรื่องราวของฮั้วเซ็งจึงกลายเป็นที่มาของตัวละคร-เต็กฮุ้น หนุ่มชนบทผู้สัตย์ซื่อผู้มีฉายา- คงซิมใช่ (ผักบุ้ง) อันมีความหมายว่า “ใจสัตย์ซื่อ ปราศจากเล่ห์เหลี่ยมเฉกเช่นกับผักบุ้งที่กลวงใน”
เต็กฮุ้นย่อมเป็นเยี่ยงฮั้วเซ็งที่ถูกจับเข้าคุกและถูกลงทัณฑ์อย่างรุนแรงยิ่ง ทั้งๆ ที่ข้อหาความผิดที่ถูกปรักปรำก็เพียงโจรลักเล็กขโมยน้อยและปลุกปล้ำนางบำเรอของบ้วนจิ้นซัวเท่านั้น  เพียงแต่เต็กฮุ้นอาจร่ำเรียนวิทยายุทธ์มาบ้าง ในขณะที่ฮั้วเซ็งย่อมไม่รู้จักวิทยายุทธ์ แต่ทั้งคู่ไยมิใช่ประสบชะตากรรมเยี่ยงเดียวกัน  ถูกผู้คนกลั่นแกล้งเยี่ยงเดียวกัน
ถูกผู้คนที่มากด้วยเล่ห์เหลี่ยมกระทำร้ายอย่างแสนสาหัสเยี่ยงเดียวกัน
คนผู้มากด้วยเล่ห์เหลี่ยมเพราะความโลภความหลงเยี่ยงเดียวกัน
จะอย่างไรก็ตามสีสันเรื่องราวของเต็กฮุ้นย่อมพิสดารแพรวพราวยิ่งกว่า เนื่องเพราะเรื่องราวของมันนับเป็นนิยายเรื่องหนึ่ง
เป็นเรื่องราวจากจินตนาการของกิมย้งเรื่องหนึ่ง
เป็นจินตนาการที่เปิดเผยความจริงอีกด้านหนึ่งของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความเลวร้ายนานัปการอันเนื่องจากจากเพลิงแห่งความละโมบโลภมากเรื่องหนึ่ง
เพียงเพื่อให้ตนสามารถได้ในยิ่งที่พึงประสงค์  เพียงเพื่อให้ตนสามารถบรรลุเป้าหมาย มนุษย์บางจำพวกจึงสามารถคิดแสวงหาแผนการใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ นานา  ทำร้ายผู้คนเป็นจำนวนไม่น้อย
ทำร้ายผู้คนที่เป็นแม้กระทั่งผู้ใกล้ชิดสนิทสนมก็มิเว้น
ระหว่างอาจารย์กับศิษย์
ระหว่างบิดากับบุตรและบุตรี
ระหว่างพี่กับน้อง
ระหว่างศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน
ระหว่างสหาย
คล้ายกับว่าระหว่างผู้คนเมื่อมีความโลภในทรัพย์สินเงินทองก่อเกิดขึ้นในสำนึก  ความรู้สึกอันดีงามแห่งความเป็นมนุษย์กลับสูญสลายมลายไปสิ้น
ไยมิใช่สภาวะที่เราท่านสามารถพบเห็นได้ง่ายในสังคมบริโภคทุกวันนี้
ในสังคมที่ผู้คนล้วนต่างพากันแสวงหา “ทรัพย์สินเงินทอง” เพื่อการบในสังคมที่คล้ายกับว่าผู้รู้จักใช้เล่ห์เหลี่ยมฉ้อฉลเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น  มิว่าจะเป็นอย่างตรงไปตรงมาหรือสร้างภาพเบื้องหน้าให้ดูสวยงามเต็มไปด้วยความสัตย์ซื่อยิ่ง(แต่เบื้องหลังกลับมิได้โสมมยิ่งหย่อนกว่ากัน) ล้วนแต่ได้รับผลที่ “ดีงาม” มีเกียรติยศชื่อเสียงและฐานะร่ำรวยมหาศาลยิ่ง  และมิหนำซ้ำอาจดูมีคุณธรรมสูงส่งยิ่ง
ในสังคมที่คล้ายกับว่า  บุคคลผู้ประพฤติสัตย์ซื่อดีงามอย่างแท้จริงเยี่ยงเต็กฮุ้นมักถูกเอารัดเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลา


เพลงกระบี่เทียมนคร
เคล็ดวิชาเทพสาดส่อง
หากเป็นเพียงวิชาฝีมือประการหนึ่งย่อมมิอาจทำร้ายผู้คนไปมากมายยิ่ง
ยิ่งย่อมมิสามารถที่จะเปิดเผยถึงแก่นแท้ของมนุษย์ในอีกด้านหนึ่งได้อย่างชัดเจนยิ่ง
แต่เนื่องเพราะคำ “เทียมนคร” ย่อมมีความหมาย- สิ่งมีค่าล้ำ
เพลงกระบี่เทียมนคร-เคล็ดวิชาเทพสาดส่องย่อมมิใช่เป็นเพียงเพลงกระบี่และเคล็ดวิชากำลังภายในชุดหนึ่งเท่านั้น มันกลับเป็นลายแทงขุมทรัพย์มหาศาลชุดหนึ่ง
เป็นขุมทรัพย์ที่ผู้คนล้วนมุ่งมาดปรารถนาที่จะได้ครอบครองเพียงผู้เดียว
เพียงเพราะลายแทงขุมทรัพย์นี้ มีกี่ชีวิตต้องสังเวย มีผู้คนมากน้อยเท่าใดต้องจบชีวิตลง ?
เพียงเพราะลายแทงขุมทรัพย์นี้ ความดีงามของมนุษย์ได้ถูกทำลายไปมากน้อยเพียงใด?
เรามิจำเป็นต้องรู้ว่าบ๊วยเนี่ยมเช็งได้รับ “เพลงกระบี่เทียมนคร” มาจากที่ใด  เพียงแต่รู้ได้ว่าเมื่อมันมีเพลงกระบี่ชุดนี้อยู่ในครอบครอง  เงาดำมืดแห่งความวิบัติได้ย่างกรายเข้ามาสู่ชีวิตของมัน
ทุกผู้คนล้วนอยากได้เพลงกระบี่ชุดนี้ไว้ในครอบครอง
เพื่อฝึกฝนวิชาฝีมือให้เหนือกว่าทุกผู้คนในวงบู๊ลิ้ม อันจะนำไปสู่ “อำนาจ”
เพื่อค้นหาลายแทงขุมทรัพย์อันจะนำไปสู่ “ลาภมหาศาล”
ระหว่างมันผู้เป็นอาจารย์กับศิษย์ทั้งสาม- บ้วนจิ้นซัว งั้งตั๊กเพ้ง และเช็กเชี่ยงฮวดจึงสร้างตำนานแห่งความอัปยศของวงบู๊ลิ้มขึ้น เมื่อศิษย์ไล่ล่าอาจารย์เพื่อแย่งชิง “คัมภีร์กระบี่”
ในที่สุดศิษย์ทั้งสามก็สามารถสังหารอาจารย์แย่งคัมภีร์มาครอบครองได้สำเร็จ เพียงแต่เคล็ดวิชากระบี่ “พลังเทพสาดส่อง” ตกไปอยู่ในมือของจอมยุทธ์หนุ่ม“เต็งเตี้ยง”ผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือบ๊วยเนี่ยมเช็งในบั้นปลายชีวิตด้วยคุณธรรม
“พลังเทพสาดส่อง”ที่คล้ายดั่งพลังแห่งคุณธรรมความดีงามของมนุษยชาติจึงได้รับการสืบทอดสู่เต็งเตี้ยงและเต็กฮุ้นในที่สุด
เต็งเตี้ยงผู้ยึดมั่นอยู่ในความรักเหนืออื่นใด
เต็กฮุ้นผู้เป็นดั่ง“คงซิมไช่” ที่ปราศจากเล่ห์เหลี่ยม และเต็มไปด้วยความสัตย์ซื่อตลอดกาล
เต็งเตี้ยงและเต็กฮุ้นผู้มิยินยอมยึดถือทรัพย์สมบัติของผู้ใดมาเป็นของตนโดยเด็ดขาดตลอดกาล
ขณะเดียวกัน“เพลงกระบี่เทียมนคร”- สิ่งที่มีค่าล้ำ หากไม่เข้าใจถึงเคล็ด “รูปปั้นกลางโบสถ์วัดเทียนเล้งยี่ กราบสักการะด้วยศรัทธา บนบานศาลกล่าว  พระยูไลประทานพร สู่สัมปรายภพ” ก็ย่อมนำมาซึ่งความหายนะในบั้นปลาย
เพื่อให้สามารถครอบครองคัมภีร์กระบี่เทียมนคร เช็กเชี่ยงฮวดนับว่ามีเล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจที่สุดดั่งฉายา-โซ่เหล็กขวางลำน้ำ  ใช้เล่ห์เหลี่ยมยึดครองคัมภีร์กระบี่ได้สำเร็จ  แม้ซือเฮียตี๋พุ่งเป้าหมายสงสัยมันเป็นสำคัญ แต่มันก็สามารถใช้เล่ห์เหลี่ยมให้ทั้งสองมิอาจสงสัยกันเองได้
เพียงเพื่อปกปิดร่องรอยและมิให้ผู้คนสงสัยว่ามันมีคัมภีร์อยู่ในครอบครอง  มันประพฤติตนคล้ายดั่งผู้สันโดษยิ่งผู้หนึ่ง
ชายชราสันโดษที่พำนักอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ กับบุตรีและศิษย์ที่เป็นหนุ่มชาวชนบท
ชายชราที่คล้ายดั่งมิยินยอมรับคำยกย่อง- “ผู้ชำนาญการเชิงกระบี่” จากผู้ใด
ชายชราที่คล้ายดั่งชาวชนบทที่ “ไม่รู้จักหนังสือ” ผู้หนึ่ง
ที่แท้นับว่าเป็นการเสแสร้งได้อย่างแนบเนียนยิ่งในสายตาของผู้คนทั่วไป  แต่สำหรับซือเฮียตี๋ผู้ที่มีเล่ห์เหลี่ยมมิแตกต่างกันย่อมรู้ทันเหลี่ยมเล่ห์เหล่านี้เป็นอย่างดี
เจนจบอักษรศาสตร์แสร้งเป็นไม่รู้จักหนังสือ นับเป็นเล่ห์เหลี่ยมที่ร้ายกาจยิ่ง! แสร้งโง่งมได้อย่างแนบเนียนยิ่ง!
มันเจนจบอักษรศาสตร์ แต่บุตรีของมันกลับไม่รู้หนังสือแม้แต่น้อย  ยิ่งศิษย์ของมันก็ย่อมไม่รู้จักว่าหนังสือคืออะไร  ในสายตาของบุตรีและศิษย์ของมัน  คัมภีร์กระบี่เทียมนครหรือบทกวีสมัยถังฉบับย่อจึงเป็นเพียงกระดาษที่พวกมันหยิบฉวยนำไปใช้เป็นของเล่นประเภทหนึ่งเท่านั้น
ฉายา- โซ่เหล็กขวางลำน้ำ” ของมันที่ในสายตาของผู้สัตย์ซื่อเยี่ยงเต็กฮุ้น ดูคล้ายกับจะแสดงให้เห็นถึงความล้ำเลิศของวิชาบู๊ที่ “ถนัดในการตั้งรับ  ศัตรูยากจะบุกจู่โจมเข้าไปได้” แท้ที่จริงแล้วกลับมีความหมาย-“...ผู้คนขึ้นก็ไม่ได้ลงก็ไม่ได้...ผู้ใดตอแยมัน มันต้องเค้นสมองตอบโต้  ทำให้ผู้คนคล้ายลอยเรืออยู่กลางน้ำ  หมุนคว้างกลางวังวน...” ที่แท้ฉายาโซ่เหล็กขวางลำน้ำกลับไม่มีเรื่องใดที่มันทำไม่ได้เพียงเพื่อให้มันบรรลุเป้าหมาย
สำหรับบุคคลเยี่ยงเช็กเชี่ยงฮวด เพื่อเพื่อให้สามารถครอบครองทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลแต่เพียงผู้เดียว ทุกผู้คนมิว่าคนผู้นั้นจะเป็นคนใกล้ชิดสนิทสนมกับมันสักปานใด ก็คล้ายเป็นเพียงเครื่องมือให้มันสามารถครอบครองขุมทรัพย์อันล้ำค่าเท่านั้น
นักการเมืองจำนวนไม่น้อยที่โลดแล่นอยู่ในวงบู๊ลิ้มทางการเมืองไยมิใช่เฉกเดียวกัน
เพียงเพื่อให้ตนเองสามารถครอบครอง“ขุมทรัพย์”อันมีค่ามหาศาล  มีอำนาจเหนือผู้คนในแผ่นดิน  ชีวิตของทุกผู้คนในสังคมก็คล้ายดั่งเป็นเพียงเครื่องมือที่จะสามารถทำให้มันบรรลุเป้าหมายได้เท่านั้น
คำ “คุณธรรม” ความสัตย์ซื่อดีงาม  พฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความสมถะ ความสันโดษ และคำพูดที่น่าฟังน่าเชื่อถือยิ่ง เหล่านี้แท้ที่จริงกลับเป็นเพียงเหลี่ยมเล่ห์ที่ลวงหลอกผู้คนให้หลงเชื่อเท่านั้น
ยิ่งมีความสามารถในการเสแสร้งเท่าใด
ยิ่งสามารถเสแสร้งให้ผู้คนหลงเชื่อได้มากเท่าใด
เยี่ยงนี้ไยมิใช่เป็นความพยายามที่จะปกปิดความตัณหาและความโลภอันร้ายกาจยิ่งเท่านั้นเอง
ในบั้นปลายไยมิคล้ายกับต้องเสียทีเพราะเล่ห์เหลี่ยมของผู้อื่นเช่นกัน
และบางทีไยมิใช่ต้องเสียทีเพราะเล่ห์เหลี่ยมที่ตนเพียรพยายามครุ่นคิดแลกระทำไว้เอง!


ผู้ใดสมควรนับเป็นจอมยุทธ์ที่แท้  ผู้ใดสมควรได้รับการยกย่องเป็นวิญญูชนที่แท้จริง  ย่อมมีบทพิสูจน์
เพียงใช้ความสามารถในการเสแสร้งและเล่ห์เหลี่ยมลวงหลอกผู้คน แสดงตนเป็นจอมยุทธ์ที่เก่งกล้าสามารถ  เป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่หรือเป็นวิญญูชนผู้กอปรด้วยคุณธรรม  ย่อมมีสักวันหนึ่งที่ต้องมีผู้รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมนั้นได้
แม้บางครั้งมิอาจมีผู้ใดสามารถเปิดโปงพวกมันได้  แต่ย่อมมีสักวันหนึ่งที่มันต้องเปิดโปงตัวเองออกมาอย่างล่อนจ้อนในที่สุด
บางทีวันนั้นอาจมาถึงแล้ว !

(2)

ที่นักเขียนนิยายกำลังภายในนิยมชมชอบเขียนถึงย่อมเป็นเรื่องราวของตัวเอกที่เป็น“จอมยุทธ์” ผู้เปี่ยมไปด้วยความเก่งกาจในฝีมือการต่อสู้ มีความหาญกล้าและคุณธรรมล้ำเลิศยิ่ง
เป็นผู้ที่ผู้คนล้วนยกย่องเป็น “วีรบุรุษ”
ได้รับการยกย่องเป็น “วิญญูชนอันเที่ยงธรรม”
เป็นวิญญูชนที่สามารถนับเป็นผู้ที่มีพฤติการณ์อันเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมความดีงามอย่างหาที่ติมิได้
ที่แท้พวกมันนับเป็นจอมยุทธ์ที่แท้หรือไม่?
ที่แท้พวกมันสมควรนับเป็นวีรบุรุษและวิญญูชนอันเที่ยงธรรมหรือไม่?
บางครั้งผู้เขียนอาจละเลยที่จะสร้างบทพิสูจน์อันเข้มงวดยิ่งให้กับพวกมัน
วีรบุรุษและวิญญูชนไม่น้อยอาจถูกเคี่ยวกรำเพื่อฝึกวิชาฝีมือให้โดดเด่น  ได้รับการปลูกฝังให้ยึดมั่นในคุณธรรมและความดีงามทั้งปวง
แต่น้อยคนนักที่จะผ่านการเคี่ยวกรำอย่างหนักหน่วงในอันที่จะพิสูจน์ให้ได้ว่า ที่แท้พวกมันสามารถนับเป็น “วิญญูชนอันเที่ยงธรรม” มิว่าจะอยู่ในสถานการณ์เยี่ยงไร  มิว่าจะต้องสูญเสียมากน้อยเพียงใด
นักเขียนนิยายกำลังภายในอาจสามารถสร้างสรรค์ตัวละครที่มีลักษณนิสัยได้ต่างๆ นานา แต่นักเขียนเหล่านั้นก็มิอาจบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ที่แท้ตัวละครเหล่านั้นนับเป็นคนโฉดชั่วหรือวิญญูชนอันเที่ยงธรรม
มีแต่พฤติการณ์ของตัวละครเหล่านั้นเท่านั้นที่สามารถบ่งบอกได้
เยี่ยงนี้---
คนผู้หนึ่งสมควรได้รับการยกย่องเป็นผู้มีคุณธรรมมีความดีงามอย่างยิ่ง
คนผู้หนึ่งมีความมั่นคงในความรักอย่างยิ่ง
คนผู้หนึ่งสมควรถูกประณามเป็นคนชั่วร้าย ปราศจากคุณธรรมและความดีงามทั้งปวง
เหล่านี้มีผู้ใดสามารถบ่งบอกได้เล่าหากมิใช่ตัวของมันผู้นั้นเอง
บ่งบอกด้วยพฤติกรรมอันเป็นแก่นแท้ที่ผ่านการเคี่ยวกรำพิสูจน์เป็นเวลาอันยาวนาน
วิถีที่เคี่ยวกรำ จึงเป็นบทพิสูจน์วิญญูชนที่แท้ได้อย่างชัดเจนยิ่ง


ในยุทธจักรนิยาย-“กระบี่ใจพิสุทธิ์”(ซู่ซิมเกี่ยมหรือเลี่ยงเซี้ยก๊วก-หลังเลือดมังกร) ของกิมย้ง กิมย้งพยายามที่จะให้ตัวละครของท่านผ่านวิถีที่เคี่ยวกรำเพื่อพิสูจน์ความเป็น “วิญญูชนที่แท้”
ด้านหนึ่งย่อมเป็นเต็งเตี้ยงและเต็กฮุ้นที่สามารถพิสูจน์ตนเองได้
และอีกด้านหนึ่งย่อมเป็นฮวยทิกั่งและอวงเซ่าฮวงที่มิอาจผ่านการพิสูจน์ได้
ฮวยทิกั่งเป็นหนึ่งในสี่ของจอมยุทธ์ผู้ประกอบแต่ความดีงามนามฉายา “สี่ผู้เฒ่าแดนกังหนำ”--เลาะฮวยลิ้วจุ้ย--บุปผาร่วงกลางสายน้ำ นับเป็นจอมยุทธ์ผู้ซึ่งผู้คนทั่วไปยกย่องว่ามีคุณธรรมยิ่งในบู๊ลิ้มยุคนั้น ผู้คนทั่วไปล้วนร่ำลือเป็นสี่พิสดารทักษิณย่อมชิงชังพฤติการณ์ที่ชั่วช้าผิดศีลธรรมที่สุด  เท่าที่ทราบ- พวกมันนับเป็นจอมยุทธ์ผู้กอปรด้วยคุณธรรมสูงส่ง ไม่เคยประพฤติตนเป็นคนชั่วช้าแม้แต่น้อย
ที่แท้นามฉายาเลาะฉวยลิ้วจุ้ย สมควรออกเสียงว่า “เล็กฮวยลิ้วจุ้ย” ในเมื่อเล็ก คือ เล็กเทียนซู  ฮวยคือฮวยทิกั่ง  ลิ้ว คือ ลิ้วฮุ้นเกี่ยม(กระบี่เมฆพลิ้ว) เล้าเซ่งฮวง และจุ้ย คือจุ้ยไต่
ในสายตาของผู้คนในวงบู๊ลิ้ม  การไล่ล่าหลวงจีนดาบโลหิตของฮวยทิกั่งและและอีกสามผู้เฒ่าใน “สี่พิสดารแห่งกังหนำ” ย่อมถือเป็นการกระทำที่สมควรอย่างยิ่ง เนื่องเพราะหลวงจีนดาบโลหิตนับว่ามีพฤติการณ์ชั่วร้ายยากจะมีผู้ใดเปรียบได้
แต่ไฉนเมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนแปรไป  ฮวยทิกั่งดูคล้ายเปลี่ยนแปรเป็นคนละคน
เปลี่ยนแปรจากวิญญูชนผู้มีพฤติการณ์อันดีงามยิ่ง เป็นผู้ที่มีความชั่วช้าน่าชังยิ่ง
ที่แท้ฮวยทิกั่งกลับเป็นคนโฉดชั่วที่เสแสร้งแกล้งทำตนเป็นคนดีงาม?
ที่แท้มันเป็นเพียงวิญญูชนจอมปลอมผู้หนึ่งเท่านั้น?
กิมย้งกล่าวถึงมัน :-
ความจริงในชีวิตของฮวยทิกั่งได้ประกอบวีรกรรมมากหลาย พฤติการณ์อันชั่วร้ายก็มิเคยปรากฏ เพียงแต่พลั้งมือสังหารเล้าเซ่งฮวงผู้เป็นน้องร่วมสาบาน  จิตใจได้รับความกระทบกระเทือน ความฮึกหาญที่มีอยู่กลับสาบสูญสลายสิ้น  บวกกับถูกหลวงจีนดาบโลหิตข่มขู่ ความคิดใฝ่ต่ำที่ถูกเก็บกดมานานหลายสิบปีพลันประทุขึ้น  ชั่วระยะเวลาไม่กี่ชั่วยาม คล้ายกลับกลายเป็นคนละคน
คำ-จอมยุทธ์ไม่เกรงกลัวต่อความตาย แม้จะเป็นคำที่กล่าวออกจากปากได้โดยง่าย  แต่ไยมิใช่ยากต่อการปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง
ในยามที่พี่น้องร่วมสาบาน-บุปผาร่วงกลางสายน้ำ ตกตายไปหมดสิ้น  หลงเหลืออยู่แต่เพียงมันที่อ่อนระโหยโรยแรง  อย่างน้อยมันย่อมรักชีวิตตน  ย่อมอยากที่จะมีชีวิตยืนยาวสืบไป มันจึงได้แต่กระทำในสิ่งที่ “ฝืนหลักคุณธรรม” ของชนชาวบู๊ลิ้ม
เพียงเพื่อการมีชีวิตสืบต่อมันได้แต่คุกเข่าลงกราบกรานวิงวอนร้องขอให้ศัตรูละเว้นการประหัตประหารมัน ยินยอมกล่าวคำยกยอปอปั้น“นักโทษทลายคุก” เยี่ยงเต็กฮุ้นเป็น “ไต้เฮี้ยบ” ทั้งๆ ที่ในใจของมันไม่ยอมรับนับถือแม้แต่น้อย
เพียงเพื่อการมีชีวิตสืบต่อมันได้แต่กระทำทุกอย่างเพื่อแย่งชิงอาหารของผู้อื่น  และกระทำได้แม้กระทั่งกัดกินเนื้อผู้เป็นพี่น้องร่วมสาบาน
เพียงเพื่อปิดบังมิให้พฤติการณ์อันน่าอับอายของตนเปิดเผยต่อผู้คนในยุทธจักร  วีรบุรษเยี่ยงฮวยทิกั่งกลับสามารถกระทำความชั่วได้ทุกทาง
พร้อมที่จะสังหารผู้ที่ล่วงรู้พฤติกรรมอันน่าอัปยศของมัน
พร้อมที่จะใช้“ภาพลักษณ์”อันสวยงามของตนในสายตาของชนชาวบู๊ลิ้มสร้างภาพอันน่าเกลียดน่าชัง และเลวร้ายให้เกิดขึ้นกับบุคคลที่ล่วงรู้ความเลวร้ายของตน
แม้กระทั่งอิสตรีมันก็มิยินยอมละเว้น
วีรบุรุษเยี่ยงฮวยทิกั่ง--เพียงเพื่อรักษาสถานะความเป็นวีรบุรุษและ“วิญญูชน” อันได้รับการยกย่องจากผู้คนให้คงอยู่กับตน มันสามารถใช้“วาทกรรม” สร้างมลทินให้กับอิสตรีเยี่ยงจุ้ยเซ็งที่เป็นบุตรีของพี่น้องร่วมสาบานได้อย่างไม่ละอายแม้แต่น้อย
เพียงเพื่อรักษาสถานะความเป็น“วิญญูชนอันเที่ยงธรรม” ของตนเองไว้  ทั้งๆ ที่ตนเองก็ย่อมรู้แก่ใจถึงพฤติการณ์อันเลวร้ายที่ก่อขึ้น ฮวยทิกั่งถึงกับทำลายผู้ที่ประพฤติตนดีงามไม่น้อย
ระหว่างฮวยทิกั่งกับเต็กฮุ้นจึงนับว่าแตกต่างกันยิ่ง


ฉายาสองผู้กล้ากระบี่กระพรวนของวีรบุรุษอวงเซ่าฮวงและวีรสตรีจุ้ยเซ็ง  แม้มิอาจเทียบเท่าฉายาเลาะฮวยลิ้วจุ้ย-บุปผาร่วงกลางสายน้ำของจอมยุทธ์อาวุโส แต่ผู้คนล้วนยอมรับพฤติการณ์อันห้าวหาญที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมยิ่งของพวกมัน
มิหนำผู้คนล้วนยอมรับว่าทั้งสองนับเป็นคู่หมั้นคู่หมายที่เหมาะสมกันยิ่ง
เป็นคู่หมั้นคู่หมายที่เปี่ยมไปด้วยความรักแท้อันบริสุทธิ์ต่อกันอย่างยิ่ง
แต่บทพิสูจน์ความรักแท้ของทั้งคู่ยังมิได้ถูกกำหนดขึ้น แม้ว่าบทพิสูจน์ความรักแท้ของเต็มเตี้ยงกับเล่งซึงฮัวจะจบลงไปแล้วด้วยโศกนาฏกรรมก็ตาม  ตราบกระทั่งหลวงจีนดาบโลหิตที่มีพฤติการณ์โฉดชั่วปรากฏขึ้น
มิว่าในสายตาของผู้คนหรือในความจริงที่ตนเองยอมรับ หลวงจีนดาบโลหิตนับเป็นผู้ที่มีจิตใจและพฤติการณ์อันโฉดชั่วร้ายยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติการณ์ต่ออิสตรีของมันย่อมนับว่าชั่วร้ายยากที่จะหาผู้ใดเปรียบได้ อิสตรีที่ถูกมันผลาญพร่าพรหมจรรย์และกระทำย่ำยีให้เกิดความอัปยศอดสูมีนับไม่ถ้วน
ในสายตาของผู้คน อิสตรีใดที่ถูกมันจับตัวไปได้จึ่งยากยิ่งที่จะขัดขืนต่อสู้เพื่อปกปักรักษาความบริสุทธิ์ผุดผ่องเอาไว้ได้
เยี่ยงนี้-- แม้จุ้ยเซ็งจะมีปณิธานอย่างแรงกล้ายินยอมตายดีกว่าถูกหยามให้อัปยศ แต่ในสายตาของผู้คน มีผู้ใดจักเชื่อถือว่านางยังคงสามารถรักษาความบริสุทธิ์ของตนไว้ได้
จุ้ยเซ็งย่อมอยู่ในภาวะที่น่าเห็นอกเห็นใจยิ่ง
อวงเซ่าฮวงไยมิใช่น่าเห็นอกเห็นใจเช่นกัน
สำหรับอวงเซ่าฮวง  บทพิสูจน์นี้ใช่ว่าจักสามารถผ่านได้อย่างง่ายดาย
ในยุทธจักร ทุกคนยอมรับพฤติการณ์อันโฉดชั่วของหลวงจีนดาบโลหิต  เต็กฮุ้นที่มิได้เกี่ยวข้องใดกับหลวงจีนโลหิตกลับถูกยึดถือเป็นศิษย์สำนักดาบโลหิตอันชั่วร้าย แม้เต็กฮุ้นจะเป็นผู้ช่วยเหลือรักษาความบริสุทธิ์ของจุ้ยเซ็ง  แต่มีผู้ใดสามารถกล่าวคำรับรองยืนยันให้กับมันได้
ฮวยทิกั่งเล่า-ในสายตาของผู้คนใครจักยินยอมเชื่อว่ามันมีพฤติการณ์อันชั่วร้ายในระหว่างที่อยู่ในหุบเขาหิมะ
ระหว่างคำพูดของฮวยทิกั่งกับเต็กฮุ้น  แน่นอนว่าวาจาของฮวยทิกั่งย่อมมีน้ำหนักกว่าอย่างที่มิอาจเทียบได้
คำกล่าวของฮวยทิกั่งที่ถ่ายทอดผ่านคำพูดของเหล่าผู้กล้าวงบู๊ลิ้ม--
“ที่แท้จุ้ยไต้เฮียบรำคาญการมีชีวิตสืบไป ยื่นศีรษะให้บุตรเขยในอนาคตหวดใส่”
“ผู้ใดว่าบุตรเขยในอนาคต? ตอนที่จุ้ยไต้เฮียบเสียชีวิต หลวงจีนน้อยคงมีความสัมพันธ์กับโก้วเนี้ยนางนี้แล้ว”
“ในโลกกลับมีสตรีไร้ยางอายปานนี้ เพราะบุรุษป่าเถื่อนผู้หนึ่ง กระทั่งบิดาบังเกิดเกล้าก็ไม่ต้องการแล้ว”
“เราเพียงได้ยินว่ารสสวาทตรึงตรา วางแผนฆ่าสามี วันนี้โลกกว้างเปลี่ยนไป กลับมีรสสวาทตรึงตรา พิฆาตฆ่าบิดา”
วาจาเยี่ยงนี้ใช่เคี่ยวกรำอวงเซ่าฮวงมากไปหรือไม่?
ความจริงอวงเซ่าฮวงสามารถทำใจให้ยอมรับความจริง
 “เปียม่วยตกอยู่ในเงื้อมมือหลวงจีนลามกทั้งสอง ไหนเลยรักษาความบริสุทธิ์ไว้ได้?  แต่ขอเพียงนางรักษาชีวิตไว้ ก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว”
แต่มันก็มิอาจเทียบได้กับเต็งเตี้ยง  เนื่องเพราะจะอย่างไรมันก็ยังคล้ายกับคนที่ไม่รู้จักพอ  ยามพบพานนางมันกลับมุ่งหวังให้นางบริสุทธิ์ผุดผ่อง  แต่พอฟังว่านางบริสุทธิ์ผุดผ่องดังหวังมันกลับมิยินยอมเชื่อถือ
นี่เนื่องเพราะอะไร?
 “ไหนเลยลืมเลือนได้? ไม่เด็ดขาด...”
เต็งเตี้ยงเฝ้ามองดูดอกไม้ในกระถางโดยไม่กระพริบตา  ยามกลีบบุปผาร่วงลงกลีบหนึ่ง กล้ามเนื้อใบหน้ามันกระตุกสีหน้าโศกสลดและเจ็บปวดยิ่ง  คล้ายยังเจ็บปวดกว่าถูกคว้านเนื้อบนร่างไปชิ้นหนึ่งอีก...
บุปผาในกระถางนั้นเป็นเล่งซึงฮัวจัดวางไว้เป็นสื่อสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่  เป็นคล้ายดั่งเครื่องปลอบประโลมใจคนทั้งคู่ให้มุ่งมั่นฟันฝ่าอุปสรรคจนสามารถ“บรรจุฝังร่วมกัน”
ทั้งคู่พบกันในงานเทศกาลเบญจมาศอันเลื่องชื่อของเมืองอันเค้า ความรักของทั้งสองค่อยๆ งอกงามและเติบโต แม้จะเผชิญอุปสรรคขวากหนามแต่ความรักแท้มิเคยเปลี่ยนแปร  ในความคิดตาของเต็งเตี้ยง ไม่มีสิ่งมีราคาค่างวดใดจะมีค่ามากไปกว่าความรักของพวกมัน  กระทั่งยอดคัมภีร์วิทยายุทธ์หรือเคล็ดลับค้นหาขุมทรัพย์ก็มิอาจทัดเทียม
มันกล่าว
“...มาตรว่านี่เป็นยอดคัมภีร์วิทยายุทธ์  แต่หากเปรียบกับซึงฮัว  เรายึดถือยอดคัมภีร์เล่มนี้เป็นเช่นธุลีดินอันไร้ค่า...”
เล่งตีฮู้-เพียงเพื่อเคล็ดลับลายแทงขุมทรัพย์ขุมทรัพย์จากเต็งเตี้ยง  กลับทำร้ายเต็งเตี้ยงอย่างสาหัส กลับสามารถสังหารบุตรีของตนอย่างเลือดเย็นที่สุด
เล่งซึงฮัวเพียงเพราะความรักที่มีต่อเต็งเตี้ยงนางยินยอมทำร้ายตัวเอง กรีดทำลายโฉมหน้าตัวเองไม่ยินยอมแต่งงานกับบุรุษอื่นที่บิดาจัดหาให้ ทั้งมิได้หวังเคียงคู่กับเต็งเตี้ยง  นางหวังเพียงสามารถกลบฝังร่วมกัน
สำหรับเต็งเตี้ยงไยมิหวังเพียงสามารถกลบฝังร่วมกันเฉกเดียวกัน
เยี่ยงนี้ เมื่อเต็กฮุ้นรับปากกลบฝังพวกมันอยู่ด้วยกัน ไยมิใช่มันมีความสุขยิ่ง
คำ “ที่แท้ท่านเป็นคนเสียสติหรือไม่?” มันจึงยากที่จะให้คำตอบได้  มันบอกว่า
“ที่แท้เสียสติหรือไม่ยากจะบอกได้  เรากระทำเพื่อความสบายใจ ในสายตาผู้อื่น กลับเป็นว่าเราโง่งมจนเหลือเชื่อ”
เพียงเพื่อความรักแท้ เต็งเตี้ยงไม่มุ่งหวังสิ่งใด  แม้กระทั่งการได้อยู่เป็นคู่ครองมันก็ไม่หวัง  อย่าว่าแต่สุดยอดคัมภีร์วิทยายุทธ์ ขุมทรัพย์อันมหาศาล หรือชื่อเสียงเกียรติยศใดๆ เหล่านี้ล้วนมิได้อยู่ในสายตามัน
และเนื่องเพราะมันมีแต่ความรักแท้ ไม่เคยเลยที่มันจะกระทำผิดต่อเล่งซึงฮัว  ไม่เคยเลยที่มันจะไม่ยินยอมเชื่อถือคำกล่าวของเล่งซึงฮัว
บทพิสูจน์ความรักระหว่างเต็งเตี้ยงกับเล่งซึงฮัวอาจจบลงด้วยโศกนาฏกรรม แต่นี่ย่อมพิสูจน์ให้เห็นถึงแก่นแท้ของวิญญูชนที่ไม่ยินยอมให้“คำ”ของผู้คนมาทำลายความรักแท้ที่มีต่อกัน ไม่ยินยอมให้อำนาจแห่งความโลภในทรัพย์สมบัติ ความปรารถนาในชื่อเสียงเกียรติยศ ตลอดจนความกระหายในอำนาจมาทำลายความรักที่มีต่อกันได้
ความรักที่เต็งเตี้ยงมีต่อเล่งซึงฮัวจึงย่อมแตกต่างจากที่อวงเซ่าฮวงมีต่อจุ้ยเซ็ง


เต็กฮุ้นย่อมผ่านการเคี่ยวกรำมากกว่า ฮวยทิกั่ง อวงเซ่าฮวง และเต็งเตี้ยง
มันเป็นหนุ่มชนบทที่สัตย์ซื่อยิ่ง ในสายตาของผู้คนมันคล้ายกับโง่เขลายิ่ง!`
ชีวิตของเต็กฮุ้นผ่านการเคี่ยวกรำเป็นเวลาอันยาวนาน แม้นว่ามันสามารถจะพิสูจน์ตนเองเป็น “วิญญูชนที่แท้” แต่ดูเหมือนว่ามันมิเคยสนใจไยดีกับคำ “วิญญูชนที่แท้”สักน้อยนิดก็หาไม่
นับแต่เดินทางเข้าสู่เมืองเก็งจิว  วิถีอันเคี่ยวกรำได้ผ่านเข้าในในชีวิตของเต็กฮุ้นครั้งแล้วครั้งเล่า  มันถูกบ้วนกุยบุตรชายบ้วนจิ้นซือและพวกทำร้าย  ถูกงั้งตั๊กเพ้งใช้เป็นเครื่องมือสืบเสาะหาความลับคัมภีร์กระบี่เทียมนคร  ถูกบ้วนกุยและพวกให้ร้ายจับเข้าคุกตัดเอ็นมือเอ็นเท้าร้อยไหปลาร้าสุดแสนจะทรมานยิ่งเพียงเพื่อแย่งตัวเช็กฮวงไปจากมัน
ถูกกล่าวหาเป็น “หลวงจีนโฉดน้อย” สำนักดาบโลหิต  ถูกไล่ล่าจะติดอยู่ในหุบเขาหิมะเป็นเวลานานนับปี
แต่มิว่ากาลเวลาจะผ่านไปเยี่ยงไร  การเคี่ยวกรำจะหนักหนาสากรรจ์สักแค่ไป  เหล่านี้มิอาจทำให้คุณธรรมความสัตย์ซื่อของเต็กฮุ้นสั่นคลอน
มันรับปากเต็งเตี้ยงจะกลบฝังทั้งคู่ร่วมกัน  กลับยินยอมอัปยศถูกกล่าวหาเป็นศิษย์สำนักดาบโลหิตเพื่อสามารถมีชีวิตอยู่ปฏิบัติตามที่ตนได้ให้สัตย์สาบานไว้
ต่อเช็กเชี่ยงฮวดและงั้งตั๊กเพ้ง แม้ทั้งคู่จะอาศัยมันเพียงเพื่อเสาะหาคัมภีร์กระบี่เทียมนคร แต่เมื่อทั้งสองได้สอนสั่งวิชาฝีมือให้กับมัน เต็กฮุ้นยังคงเพียงระลึกถึงบุญคุณได้มิได้มองถึงความต่ำช้าของพวกมัน  ยังมุ่งที่จะทดแทนคุณอยู่เสมอ
แม้มันจะถูกเช็กเชี่ยงฮวดทำร้าย  แต่มันก็ยังคงคิดช่วยเหลือ
ต่อหลวงจีนดาบโลหิต แม้ว่าหลวงจีนดาบโลหิตมิเคยมีจุดประสงค์ที่ดีงามต่อมันแม้แต่น้อย แต่เป็นเพียงหลวงจีนดาบโลหิตช่วยชีวิตมันไว้เพียงครั้งเดียว มันกลับไม่ยินยอมสังหารหลวงจีนดาบโลหิต มิหนำซ้ำยังพร้อมที่จะทดแทนบุญคุณ
ต่อจุ้ยเซ็ง แม้นางจะเข้าใจมันอย่างไร ดูถูกเหยียดหยามมันอย่างไร  แต่เมื่อมันมีความเห็นสมควรช่วยเหลือด้วยคุณธรรม  มันกลับยินยอมช่วยเหลือโดยมิได้หวั่นเกรงว่าจะมีภัยมาถึงตัว ทั้งมิได้ช่วยเหลือด้วยหวังจะได้รับผลตอบแทนใดๆ
เยี่ยงนี้--สำหรับเต็กฮุ้น อย่าว่าแต่ทรัพย์สินเงินทองอันมีค่ามหาศาลจากขุมทรัพย์ที่เมื่อท้ายที่สุดแล้วมีแต่ตนเท่านั้นที่สามารถรู้ถึงที่ซ่อนได้  แม้แต่ชื่อเสียง ลาภยศ หรืออำนาจใดๆ ในวงบู๊ลิ้ม  มันย่อมไม่ปรารถนา
วิถีที่เคี่ยวกรำที่เต็กฮุ้นได้รับ ย่อมทำให้มันสามารถเข้าใจว่าเยี่ยงไรจึงสามารถนับเป็นวิญญูชนที่แท้  ย่อมทำให้ผู้คนไม่น้อยรู้ซึ้งถึงผู้ที่เรียกตนเป็นวิญญูชนที่แท้
เต็กฮุ้นอาจเข้าใจหรือไม่เข้าใจคำ “วิญญูชนที่แท้” ทั้งไม่สนใจไยดีว่าใครจะเรียกมันเป็น“วิญญูชนที่แท้”หรือไม่  เนื่องเพราะภายหลังผ่านการเคี่ยวกรำเป็นเวลาอันยาวนาน มันได้แต่หลีกหลี้จากวงบู๊ลิ้มไปพำนักอยู่ ณ หุบเขาหิมะชายแดนธิเบตอันเปลี่ยวร้างไร้ร่องรอยผู้คนกับคงซิมไซ่บุตรีของเช็กฮวงและจุ้ยเซ็งที่รอมันอยู่ที่นั่น



เต็กฮุ้นสมควรนับเป็นวิญญูชนที่แท้หรือไม่ ใครสามารถบอกได้  แม้แต่ตัวมันเองมันเพียงรู้ว่า “ข้าพเจ้าแซ่เต็ก เป็นคนไร้ชื่อเสียงเรียงนาม ทั้งยังเป็นคนพิการ ที่รอดจากห้วงความตาย หาใช่ไต้เฮียบอันใดไม่” หาใช้วิญญูชนที่แท้อันใดไม่!
ที่แท้คำ“วิญญูชนที่แท้”ใช่สามารถยอมรับนับถือเพียงเพราะมีผู้คนยกย่องให้เป็นวิญญูชนที่แท้เท่านั้น ยิ่งมิอาจยอมรับได้เพียงเพราะการพยายามสร้าง “ภาพลักษณ์” ให้เป็นวิญญูชนที่แท้ของผู้คนบางประเภทเท่านั้น  แต่คำ “วิญญูชนที่แท้” จะต้องผ่านการเคี่ยวกรำอย่างยาวนานและผ่านการทดสอบด้วยเหตุการณ์ที่โถมถั่งเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า หากมันผู้ใดสามารถยืนหยัดถือหลักคุณธรรมที่แท้ได้  นั่นจึงสมควรยอมรับเป็นวิญญูชนที่แท้
วิญญูชนที่แท้ที่แม้คำ“วิญญูชนที่แท้”กลับมิยึดถือหรือยินยอมให้ผู้คนใช้เรียกนำหน้านามของตนเอง
และจะมีใครสักกี่คนเล่าที่จักสามารถพิสูจน์ตนเองให้ผู้คนสามารถยอมรับนับถือได้อย่างแท้จริงเล่า?
หรือจะเห็นได้ก็เพียงแต่วิญญูชนจอมปลอมที่ป่าวร้องประกาศตนเป็นคนดีงามเท่านั้นเอง

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ใดว่าวีรบุรุษเงียบเหงา วีรบุรุษที่แท้ล้วนสำราญ

“ร่างกายพวกเราแม้สกปรก  จิตใจกลับสะอาดสะอ้าน หากแม้นจิตใจคนผู้หนึ่งสกปรกโสมม  ต่อให้ใช้สบู่ฟอกวันละสิบครั้ง ยังไม่สะอาดหมดจด” “มีเหตุผล  ...