วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อาฮุยและเซียวจับอิดนึ้ง กับโฉมสะคราญอันดับหนึ่งของแผ่นดิน

โฉมสะคราญสุดหล้าฟ้าดินที่เปลือยเปล่านางนี้  เพียงแต่ยิ้มเล็กน้อยโดยมิกล่ากระไร
เนื่องเพราะนางทราบ  นางมิต้องกล่าวอะไรอีกแล้ว!
นัยน์ตาของนางพูดได้  รอยยิ้มของนางพูดได้  มือของนาง  ทรวงอกของนาง  เท้าของนาง … แต่ละส่วนสัดในร่างของนางต่างพูดได้ !
(ฤทธิ์มีดสั้น : 76-77)


1. อาฮุย- กระบี่ที่ไร้หัวใจ คนกลับมีน้ำใจ

ใกล้ค่ำของวันอันเหน็บหนาวอันเนื่องจากหิมะปกคลุมไปทั่ว   ลี้คิมฮวงเพิ่งขุดหลุมฝังรูปแกะสลักเสร็จสิ้นลง  พลันก็พบว่าข้างล้อรถยังมีรอยเท้ามนุษย์แถวหนึ่ง
เป็นรอยเท้าที่ลึกยิ่งแถวหนึ่ง
ลี้คิมฮวงถึงกับกล่าวรำพึง
"...ในเวลาเยี่ยงนี้    ดินฟ้าอากาศเยี่ยงนี้  คิดมิถึง  ยังมีคนมาตรากตรำลำเค็ญอยู่กับดินฟ้าอากาศที่เหน็บหนาวด้วยหิมะน้ำแข็ง    เราคิดว่ามันต้องเป็นคนที่ว้าเหว่เดียวดายอย่างน่าเวทนายิ่ง"
(ฤทธิ์มีดสั้น, 1 : 15)
หิมะหยุดตกแต่ความหนาวเหน็บกลับรุนแรงขึ้นตามลำดับ  รถม้าของลี้คิมฮวงแล่นจนไปไล่ทันเจ้าของรอยเท้า
ลี้คิมฮวงพลันเห็นเจ้าของรอยเท้า,  เป็นเงาร่างอันเดียวดายสายหนึ่ง
บนร่างของมันมีเพียงเสื้อผ้าบางเบาชุดหนึ่ง  กระบี่ไร้ฝักที่ข้างเอวเล่มหนึ่ง
เป็นกระบี่ที่ผู้คนทั่วไปเมื่อมองเห็นไม่ยอมรับเป็นกระบี่ เห็นเป็นแค่ของเล่นของเด็กน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น
บุรุษหนุ่มผู้นี้เดินเชื่องช้ายิ่ง  แม้จะมีเสียงรถเสียงม้าร้องเข้าใกล้มัน  แต่ก็มิอาจทำให้มันเหลียวหลังกลับมาได้  แผ่นหลังของมันเหยียดตรงหิมะน้ำแข็ง ความเหน็บหนาว  ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียหรือหิวกระหาย ล้วนมิสามารถทำให้มันเกิดความย่อท้อยอมจำนนได้
"ข้าพเจ้าไม่มีปัญญาดื่ม"  เป็นประโยคแรกที่มันกล่าวกับลี้คิมฮวง เมื่อลี้คิมฮวงชักชวนมันขึ้นรถม้าร่วมดื่มสุรา    เนื่องเพราะมันยึดถือหลักการ
“...มิใช่เป็นของที่ข้าพเจ้าซื้อหาเอง  ข้าพเจ้าไม่ต้องการเด็ดขาด มิใช่สุราที่ข้าพเจ้าซื้อมาเอง ข้าพเจ้าก็ไม่ดื่มเด็ดขาด... วาจาข้าพเจ้านับว่าชัดเจนเพียงพอแล้วกระมัง ?”
(ฤทธิ์มีดสั้น 1 : 16)
นี่นับเป็นคราแรกที่ลี้คิมฮวงได้พบกับบุรุษหนุ่มผู้นั้น
บุรุษหนุ่มที่ต่อมาไม่นานนักได้กลับเป็นสหายผู้รู้ใจผู้หนึ่งของท่าน
เป็นบุรุษหนุ่มที่ต่อมาไม่นานได้สร้างตำนานของบุรุษหนุ่มเดียวดายผู้มากไปด้วยความรักอันบริสุทธิ์และเร่าร้อน  มากไปด้วยน้ำใจที่มีต่อผู้คน และมากไปด้วยความหาญกล้าที่ยากยิ่งจะมีผู้ใดเทียมทานได้
นามของมัน- อาฮุย  อาฮุยผู้มีชีวิตประดุจสุนัขจิ้งจอก
สุนัขจิ้งจอกโดดเดี่ยวที่ซัดเซพเนจรไปบนพื้นหิมะอันเหน็บหนาว  สุนัขจิ้งจอกที่ผู้คนทั่วไปเห็นมันมีแต่ดวงตาที่เปล่งประกายความดุร้ายอยู่ตลอดกาล
เพียงลี้คิมฮวงเห็นใบหน้าและดวงตาของมันท่านก็พบว่า
"ใบหน้าของมันยังคงว้าเหว่เดียวดาย ยังคงกล้าแข็งทะนง
ดวงตาของมันมีประกายดุร้ายที่ไม่มีวันสยบได้ตลอดกาลนาน  คล้ายดั่งพร้อมจะต่อสู้ จะทรยศในทุกเวลา จนผู้คนไม่กล้าไปใกล้ชิดสนิทสนมด้วย"
(ฤทธิ์มีดสั้น 1:24)
แต่เมื่อลี้คิมฮวงได้ใกล้ชิดมัน  ได้พบเห็นตัวตนที่แท้ของมัน  ท่านกลับพบว่าแม้อาฮุยจะดูโดดเดี่ยวเดียวดายดุจสุนัขจิ้งจอกที่ซัดเซพเนจรพบพื้นหิมะอันหนาวเหน็บตัวหนึ่ง, มีดวงตาซึ่งเต็มประกายดุร้ายยิ่งกลับคล้ายสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งก็จริง แต่ในประกายของดวงตานั้นลี้คิมฮวงกลับพบว่า ถึงกับปรากฏรอยยิ้มอันนุ่มนวลแฝงอยู่ และยามเมื่ออาฮุยดื่มสุราท่านก็พบว่ามันนับเป็นบุคคลที่สามารถกระตุ้นความกระตือรือร้นสนใจของผู้คนอย่างยิ่ง
เมื่ออาฮุยยิ้มและหัวเราะ ลี้คิมฮวงกลับพบความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงเกิดขึ้นบนใบหน้าของมัน
"ความจริงใบหน้าบุรุษหนุ่มว้าเหว่เดียวดายอย่างยิ่ง  ทระนงดื้อรั้นอย่างยิ่ง...
แต่รอจนริมฝีปากเริ่มปรากฏรอยยิ้ม  คนผู้นี้ถึงกลับพลันแปรเปลี่ยนแปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลกระไรปานนั้น  น่ารักกระไรปานนั้น  น่าสนิทสนมกระไรปานนั้น!
ลี้คิมฮวงยังไม่เคยเห็นรอยยิ้มของผู้ใดจะมีเสน่ห์รัดรึงใจปานนี้มาก่อนเลย"
(ฤทธิ์มีดสั้น 1:32)
เยาว์วัยของอาฮุยเติบใหญ่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ท่ามกลางขุนเขาไพรกว้างซึ่งไร้ผู้คนอาศัย ท่ามกลางความเหน็บหนาวจากหิมะที่ตกถมทับอยู่เกือบทั้งปี นับว่าว้าเหว่เดียวดายยิ่ง!  เงียบเหงาเปลี่ยวเปล่ายิ่ง! ในใจกลับปรากฏความคับแค้นยิ่ง  ขณะเดียวกันธรรมชาติก็กลับกล่อมเกลาให้สำนึกของมันบริสุทธิ์ยิ่ง
บริสุทธิ์จนบางครั้งดูไปคล้ายทารกที่ไร้เดียวดายยิ่ง!
สหายในยามเยาว์วัยของอาฮุยจึงมีแค่สัตว์ป่า, สัตว์ป่าที่แม้จะฆ่าคน แต่มันกลับฆ่าคนเพียงเพื่อมีชีวิตรอดเท่านั้น
สัตว์ป่าที่แตกต่างไปจากมนุษย์,มนุษย์ที่บางครั้งกลับฆ่าคนโดยมิได้เพราะเหตุใดๆ ทั้งสิ้น
ที่ต้องอาฮุยต้องการ  ที่อาฮุยปรารถนา
มันกลับมีความต้องการที่จะหลุดพ้นจากภาวะของความโดดเดี่ยวเดียวดาย
สำหรับอาฮุย  มันมีความเห็น- หากไม่ต้องการเป็นคนเงียบเหงาว้าเหว่เดียวดาย มีแต่ต้องเป็นคนมีชื่อเสียง
มันจึงหวัง, หวังที่จะกลายเป็นคนมีชื่อที่สุดในแผ่นดิน  สำหรับมันแล้วหากไม่มีชื่อมันกลับเห็นว่ามันมีแต่จะต้องตาย
คนโดดเดี่ยวเยี่ยงอาฮุยจึงมิอาจได้นับว่ามีชื่อแซ่
อา-มิอาจนับเป็นแซ่,อาฮุย-มิอาจนับเป็นชื่อ  อาฮุยเป็นเพียงคำเรียกของคนที่รู้จักมันเท่านั้น
สุราอาจสามารถบรรเทาความเงียบเหงาว้าเหว่ของผู้คนได้
อาฮุยก็ดื่มสุรา  แต่มันมักต้องดื่มอย่างเดียวดายอยู่เสมอ
อาฮุยอาจมีสัตว์ป่าเป็นสหายของมัน  แต่สัตว์ป่าตัวใดเล่าสามารถดื่มสุรา?


2. จอมโจรโดดเดี่ยวเซียวจับอิดนึ้ง

เซียวจับอิดนึ้งในสายตาของผู้คน- ตามคำร่ำลือของผู้คน  มันเป็นเพียงจอมโจรชั่วร้ายที่ไร้ญาติขาดมิตรผู้หนึ่ง
“...เป็นมหาโจรที่ฆ่าคนโดยมิกระพริบตา  พลังฝีมือสูงล้ำสุดยอด  ชาติกำเนิดเร้นลับปริศนา  ร่องรอยลี้ลับยากคำนวณ  น้อยคนนักที่สามารถเห็นโฉมหน้าแท้จริงของมัน”
(จับอิดนึ้ง 2:402)
ในสายตาของผู้คนทั่วไป  เซียวจับอิดนึ้งนับเป็นเพียงจอมยุทธที่ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้น  มันยอมรับ
"กล่าวถูกต้อง  เซียวจับอิดนึ้งเป็นเพียงบุตรของสารถีควบขับรถอันสามัญธรรมดา  ดิ้นรนเข้าสู่สารบบบู๊ลิ้ม   ไหนเลยเทียมเทียบกับทายาทสูงส่งเยี่ยงเลี่ยงเซี้ยเปียะได้?"
(จับอิดนึ้ง 1:211)
แม้บางครั้ง ใบหน้าของเซียวจับอิดนึ้งอาจปรากฏประกายของรอยแย้มยิ้ม  แม้บางครั้งมันอาจดูเป็นคนผู้ไม่อนาทรต่อทุกสรรพสิ่ง  แต่ภายในจิตใจของมันกลับว้าเหว่เดียวดายยิ่ง  คับแค้นรันทดอย่างยิ่ง  เซียวจับอิดนึ้งจึงชอบครวญเพลงบทหนึ่ง
บทเพลงที่มีความหมายยิ่งบทหนึ่ง
“...ชนชาวโลกเพียงสมเพชเวทนาเห็นอกเห็นใจแพะแกะ  มิมีผู้ใดล่วงรู้ถึงความคับแค้นรันทด เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวของสุนัขป่า  ชนชาวโลกเพียงเห็นสภาพอำมหิต ตอนที่สุนัขป่ากินแพะแกะ  ไม่เห็นถึงสภาพที่สุนัขป่าอยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย  หิวโหยอยู่ท่ามกลางพื้นหิมะหนาวเหน็บ  แพะแกะตอนหิวก็รับประทานหญ้า  ขณะที่สุนัขป่าโหยหิวเล่า หรือสมควรปล่อยให้อดตาย?”
และ
"ยามฤดูแย้มบาน แพะแกะกินหญ้าขจีท่ามกลางดินฟ้าเหน็บหนาว  ขอถามผู้ใดเลี้ยงดูสุนัขป่า?
คนสมเพชแพะแกะอ่อนแอ  สุนัขป่ากลับโดดเดี่ยวเดียวดาย น้ำใจคนจืดจาง แปรปรวนสุดหยั่งคำนวณ"
(จับอิดนึ้ง 2:634-635)
มันจึงถามผู้คน
"เราถามท่าน  ท่านหากระหกระเหินอยู่กลางท้องทุ่งร้างอันหนาวเหน็บ ปกคลุมด้วยหิมะเนิ่นนานวัน มิได้ดื่มแม้น้ำสักหยด ข้าวสักเม็ดไม่ตกถึงท้อง  ท่านพอพบเห็นแพะแกะตัวหนึ่ง  จะรับประทานมันหรือไม่?"
(จับอิดนึ้ง 2:635)
เยี่ยงนี้,สำหรับเซียวจับอิดนึ้งแล้ว สุนัขป่าจึงอาจนับเป็นบทเรียนสำคัญในการดำรงชีวิตของมัน  ขณะเดียวกันก็สามารถชี้ชัดได้ว่ามันมีความเข้าใจสุนัขป่าอย่างยิ่ง  มันบอก
"เป็นสุนัขป่าสอนเราเรียนรู้ถึงการดำรงชีวิตสะกดอดกลั้น"
สอนให้มันรู้ว่า
"คนผู้หนึ่งหากคิดว่ามีชีวิตสืบต่อ  ต้องสะกดกลั้นกล้ำกลืนความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว โดดเดี่ยวเดียวดาย เหยียดหยามดูแคลน เจ็บปวดรวดร้าว  ขอเพียงแสวงหาความสุขจากการอดกลั้น  จึงเป็นความสุขแท้จริง"
(จับอิดนึ้ง 2:593)
เซียวจับอิดนึ้งเติบโตขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยวเดียวท่ามกลางขุนเขาอันรกร้างท้องทุ่งอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ดูเงียบเหงาเดียวดายยิ่ง โตขึ้นมาในท่ามกลางความหนาวเหน็บของหิมะที่ปกคลุมขุนเขาไพรกว้างอยู่เกือบตลอดปี
สำหรับผู้ที่เพิ่งได้สัมผัสกระท่อมน้อยกลางไพรกว้างของมันเป็นครั้งแรก อาจชมชอบบรรยากาศที่เงียบสงบ ทิวทัศน์อันสวยงาม  แต่สำหรับเซียวจับอิดนึ้งที่ใช้ชีวิตอยู่ยาวนานย่อมเบื่อหน่ายยิ่ง เงียบเหงาเดียวดายยิ่ง   ดังนั้นแม้มันจะกล่าวถึงสถานที่พักพิงของมันอย่างดูยิ้มแย้มแจ่มใส ดูประหนึ่งว่ามันมีความสุขยิ่งที่ได้พักพิงอยู่ที่นั่น แต่ในรอยยิ้มของมันกลับเต็มไปด้วยความความรันทดหดหู่ ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวกระไรปานนั้น  นี่เนื่องเพราะอะไร?
นี่เนื่องเพราะมันเป็นคนเดียวดายยิ่ง
"มิว่าความเจ็บปวดรวดร้าว กลัดกลุ้มรำคาญใจ ล้วนไม่คับแค้นทรมานเท่าความ 'เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว!'
ที่นี้แม้มีบุปผางามตระการที่สุด  ผลไม้หอมหวานที่สุด  แต่ไม่อาจถมทับความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวและความเวิ้งว่างเปล่าในจิตใจผู้คนได้"
(จับอิดนึ้ง 2:604)
เซียวจับอิดนึ้งจึงมีความเห็น- บางครั้งสุนัขป่ากลับสามารถเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้ลึกซึ้งกว่าผู้คน  ทั้งยังน่าเคารพยิ่งกว่ามนุษยชาติเสียอีก  เนื่องเพราะมันเข้าใจ
“สุนับป่าสามารถกล้ำกลืนความโดดเดี่ยวเดียวดายมากกว่าผู้คน!! พวกมันจึงสัตย์ซื่อถือมั่นกว่าผู้คน...
“มีแต่สุนัขป่า จึงเป็นคู่ครองที่สัตย์ซื่อยึดมั่นที่สุดในโลก  ขณะมีชีวิตคู่ผัวตัวเมียมิเคยแยกจากกัน  หากแม้นสุนัขป่าตัวผู้ตายไป  สุนับป่าตัวเมียยินยอมอยู่โดดเดี่ยวจนตาย ไม่เสาะแสวงหาคู่อีก  หากสุนัขป่าตัวเมียเสียชีวิต  สุนัขป่าตัวผู้ก็มิเสาะหาคู่ครองอีก”
...
แต่คนเล่า? ต่ำใต้มีคนสัตย์ซื่อต่อภรรยาสักกี่คน?  ตัวอย่างทอดทิ้งภรรยาคู่ชีวิต มีอยู่มากมายเกลื่อนกลาด  บ้างมีภรรยาน้อยมากหลาย! ยังภาคภูมิใจ  คาดคิดว่าตัวเองมีความสามารถ
ส่วนสตรีก็ไม่ประเสริฐกว่ากระไร  บางครั้งพอปรากฏหญิงม่ายไว้ทุกข์ให้กับสามีจวบจนตาย  มิยอมแต่งงานใหม่ ก็โจษจันร่ำลือขาน  หาทราบไม่ว่าสุนัขป่าตัวเมียล้วนมีคุณสมบัติได้รับเกียรติแห่งความสัตย์ซื่อยึดมั่น”
  (จับอิดนึ้ง 2 : 593)
ความเห็นของเซียวจับอิดนึ้งใช่ถูกต้องหรือไม่?
หรือเนื่องเพราะมันว้าเหว่เกินไป  โดดเดี่ยวเดียวดายเกินไป  มันจึ่งมีความคิดเห็นเยี่ยงนี้
แท้จริงแล้วในโลก  ใช่มีบุคคลเลวร้ายมากกว่าผู้ที่ดีงาม  หรือมีบุคคลที่มีความดีงามมากกว่าบุคคลที่เลวร้าย  มีผู้ใดสามารถให้คำตอบได้
หรือแต่ละบุคคลล้วนมีทั้งธาตุแห่งความดีงามและเลวร้ายอยู่ด้วยกันทั้งนั้น  เว้นแต่ใครจักแสดงออกในด้านใดมากกว่ากันเท่านั้นเอง


3. โฉมสะคราญอันดับหนึ่งของแผ่นดิน

ในยุทธจักรนิยายของโก้วเล้ง  โก้วเล้งกล่าวถึงโฉมสะคราญหลายหลาก แต่ที่สามารถนับเป็นโฉมสะคราญอันดับหนึ่งของแผ่นดินโก้วเล้งเขียนถึงไว้สองนาง
นางหนึ่งนามลิ่มเซียนยี้,นางมีชาติกำเนิดอันลึกลับคับแค้นยิ่ง เป็นลิ่มซีอิมไปพบนางที่วัดโพวท้อ เกิดถูกชะตาสาบานเป็นเจ๊ม่วยกับนาง  รับนางมาพำนักอยู่ในหมู่ตึกเมฆโรจน์ด้วย บิดาของนางอาจเป็นคนรับใช้อยู่ในหมู่ตึกเมฆโรจน์  แต่ผู้คนกลับกังขาบิดาเยี่ยงนั้นกลับให้กำเนิดธิดาเยี่ยงนั้นได้
ความงามของลิ่มเซียนยี้นับได้ว่าสามารถบุรุษเพศหลงใหลคลั่งไคล้ ความรุนแรง-
เร่าร้อนราวเปลวไฟจากห้วงอเวจีของนาง  ย่อมทำให้บุรุษเพศลุ่มหลงคลั่งไคล้ ไม่ว่าจะเป็นบุตรขุนนาง คฤหบดีผู้มั่งคั่งหรือแม้กระทั่งจอมยุทธ์พเนจร...กระทั่งผู้ทรงศีลบริสุทธิ์อย่างซิมก่ำไต้ซือแห่งเสียวลิ้มยี่ก็ไม่เว้น
อีกนางหนึ่งนามซิมเปียะกุน, นางถือกำเนิดในสกุลซิมอันยิ่งใหญ่ ได้รับการอบรมขัดเกลาให้เป็นกุลสตรีมาแต่เยาว์วัย  ชีวิตส่วนใหญ่ของนางกลับอยู่แต่ภายในบ้านตระกูลซิมยากยิ่งที่จะให้นางเป็นที่พบเห็นของผู้คน
ซิมเปียะกุนนับเป็นโฉมสะคราญที่แตกต่างจากลิ่มเซียนยี้ราวกับฟ้าห่างไกลจากดิน  หากลิ่มเซียนยี้เป็นไฟ นางก็คือน้ำอันแสนจะเย็นฉ่ำ นุ่มนวล บริสุทธิ์ สะอาด และงามยิ่ง!
ซิมเปียะกุนย่อมงดงามยิ่ง  มิเช่นนั้นคงไม่สามารถล่วงรู้เข้าหูของเซียวเอี้ยโหวหรือเทพสำราญแห่งนอกกำแพงใหญ่ได้!
หากเทพสำราญไม่สามารถล่วงรู้ถึงความงามของนาง  เรื่องราวต่างๆย่อมไม่เกิดขึ้น  นางย่อมเข้าวิวาห์กับวิญญูชนไร้ตำหนิ--เลี่ยงเซี้ยเปียะ  แห่งบ้อเฮี้ยซัวจึง (หมู่บ้านไร้ตำหนิ)  อย่างสงบ  เรื่องราวของนางอาจมิได้เป็นที่ล่วงรู้ถึงผู้คนทั่วไปได้
โศกนาฏกรรมแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ระหว่างนางกับเซียวจับอิดนึ้ง  และเลี่ยงเซี้ยเปียะย่อมมิเกิดขึ้น
ชีวิตของซิมเปียะกุนก็อาจเป็นเพียงฮูหยินของประมุขหมู่บ้านไร้ตำหนิอันเรียบง่ายสืบไป
ขณะเดียวกัน หากลิ่มเซียนยี้ไม่ได้พบกับอาฮุย  อาฮุยอาจดิ้นรนแสวงหาความเป็นหนึ่งในวงบู๊ลิ้ม  และอาจได้รับการยกย่องจากชนชาวยุทธ์ให้เป็น “จอมยุทธ์อันดับหนึ่งของบู๊ลิ้ม” ในชั่วระยะเวลาเพียงไม่นานนัก
ที่แท้เป็นอาฮุยโดดเดี่ยวเดียวดาย?
ที่แท้เป็นเซียวจับอิดนึ้งว้าเหว่เดียวดายยิ่ง?
หรือที่แท้เป็นเพราะพวกมันทั้งสี่ล้วนเป็นคนโดดเดี่ยวเดียวดาย?
โศกนาฏกรรมแห่งความรักของบุคคลทั้งสี่จึงเกิดขึ้น !
อาจสามารถนับเป็นโศกนาฏกรรมแห่งความรัก ความใคร่ และความหลง อันเป็นผลมาจากชีวิตที่เงียบเหงาว้าเหว่ของบุคคลทั้งสี่นั่นเอง


4. รักนี้เพื่ออะไร

ระหว่างอาฮุยกับลิ่มเซียนยี้ และระหว่างเซียวจับอิดนึ้งกับซิมเปียะกุนชีวิตของพวกเขาได้เกิดความผูกพันกันด้วยสายใยอันหนึ่ง
เป็นสายใยที่มองไม่เห็นสายหนึ่ง
แม้เป็นสายใยที่มองไม่เห็นสายหนึ่ง  แต่กลับเป็นสายใยที่แน่นเหนียวยากที่จะตัดขาดจากกันได้สายหนึ่ง
ระหว่างอาฮุยกับลิ่มเซียนยี้ สายใยนี้ผูกมัดไว้อย่างแน่นหนาจนยากที่จะผ่อนคลายได้
ระหว่างเซียวจับอิดนึ้งกับซิมเปียะกุน- ยิ่งนับว่าแน่นหนากว่ายากที่จะผ่อนคลายได้ยิ่งกว่า
สายใยเส้นนี้นับเป็นสายใยแห่งความผูกพัน  เป็นสายใยแห่งความรักความรักของบุรุษ สตรีสองคู่จากยุทธจักรนิยายสองเรื่อง ที่ทั้งมีการก่อเกิดและความเป็นไปคล้ายคลึงกันและแตกต่างกัน
เป็นสายใยแห่งความรักที่ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมแก่พวกมัน
และอาจสามารถนับได้ว่าความรักเยี่ยงนี้อาจเป็นโศกนาฏกรรมอย่างหนึ่งของมนุษยชาติ


ครั้งแรกที่อาฮุยได้พบกับลิ่มเซียนยี้  ได้มีโอกาสร่วมชายคาเดียวกับลิ่มเซียนยี้ -มิว่าเป้าหมายของลิ่มเซียนยี้จักเป็นเช่นใด- ความรู้สุกตอนนั้นของอาฮุยกลับเป็นความรู้สึกที่ท่านไม่เคยพบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หัวใจของอาฮุยเต้นถี่เร็ว
ที่เต้นถี่เร็วเนื่องเพราะชั่วชีวิตของอาฮุยไม่เคยได้ลิ้มรสความอบอุ่นเยี่ยงนั้น  ไม่เคยได้ลิ้มรสชาติที่วาบหวามเยี่ยงนั้นมาก่อน
เนื่องเพราะอาฮุยเงียบเหงาเดียวดายเกินไป !
เนื่องเพราะอาฮุยสัตย์ซื่อบริสุทธิ์เกินไป !
ความสัมพันธ์ที่อุบัติขึ้นระหว่างอาฮุยกับลิ่มเซียนยี้จึงอาจนับเป็นความสัมพันธ์ที่ฝ่ายหนึ่งในหัวใจเต็มไปด้วยความร้อนเร่าแห่งความรักอันบริสุทธิ์    กับอีกฝ่ายหนึ่งที่มุ่งกระทำเพื่อเป้าหมายอันลึกล้ำประการหนึ่ง
เป็นสัมพันธ์รักที่เกิดขึ้นระหว่างความสัตย์ซื่อบริสุทธิ์ยิ่งกับผู้มากด้วยเล่ห์อย่างยิ่ง
เป็นความรักของอาฮุยผู้บอกว่า "ข้าพเจ้าไม่มีบ้านและไม่มีมารดา  ตอนที่ข้าพเจ้า 7 ขวบ นางก็ได้ตายจากไปแล้ว" ดังนั้นคนเยี่ยงอาฮุยจึงนับว่าว้าเหว่ โดดเดี่ยว และอ่อนไหวยิ่ง!  อิสตรีเยี่ยงลิ่มเซียนยี้ที่งดงามยิ่ง  เสน่ห์รุนแรงล้ำลึกยิ่งจึงสามารถเป็นดั่งไฟที่เผาไหม้เปลือกที่แข็งกระด้างชาเย็นของท่านได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้น, สำหรับอาฮุยแล้ว นางคือเทพธิดาผู้บริสุทธิ์ยิ่ง
ท่านจึงเคารพนางอย่างยิ่ง  รักนางอย่างยิ่ง
เยี่ยงนี้- บุรุษเพศส่วนใหญ่ในยุทธจักรขณะนั้นต่าง"ได้"ลิ่มเซียนยี้  มีแต่อาฮุยเท่านั้นที่"ไม่ได้"นาง
"กระบี่ไร้หัวใจ กระบี่ไร้น้ำใจ  แต่คนเล่า?
มนุษย์หาใช่พืชพันธุ์วัตถุธาตุ  ไหนเลยจะไร้น้ำใจ ?
ในโลกนี้ จะมีพลังใดยิ่งใหญ่ไพศาลกว่าความรัก ?
กระบี่ที่ไร้หัวใจ  แต่คนกลับมีน้ำใจ !"
(ฤทธิ์มีดสั้น 2 : 418)
เพียงเพื่อความรักที่สามารถทำให้อาฮุยรู้สึกว่าตนไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป ไม่รู้ สึกเงียบเหงาว้าเหว่อีกต่อไป อาฮุยกลับสามารถสละทุกสรรพสิ่งหลีกเร้นไปพำนักอยู่กับลิ่มเซียนยี้ในสถานที่ที่ยากจะมีใครสืบเสาะไปถึง?
เป็นสถานที่ที่ไม่ว่าผู้ใดก็ยากจะสืบเสาะพบเห็นได้หากนางไม่ยินยอมพร้อมใจ
อาฮุยที่เคยมุ่งมั่นที่จะเป็นจอมยุทธผู้มีชื่อเสียงเป็นหนึ่งในแผ่นดิน  กลับละทิ้งความมุ่งมั่นที่มีมาแต่เดิมหลีกเร้นซ่อนตัวอยู่อย่างสงบเงียบ ณ สถานที่ที่ยากจะมีคนพบเห็นได้เป็นเวลาอันยาวนาน


แรกเมื่อเซียวจับอิดนึ้งปรากฏตัวในยุทธจักร  มันอาจนับได้ว่าแตกต่างไปจากอาฮุยยิ่ง เนื่องเพราะขณะนั้นมันนับได้ว่ามีชื่อเสียงเป็นที่ลือเลื่องทั่วบู๊ลิ้มแล้ว
แม้จะมีผู้กล่าวขวัญถึงมัน นับมันเป็นยอดขุนโจรแห่งบู๊ลิ้ม
เป็นยอดขุนโจรกลับสามารถนับได้ว่ามีชื่อเสียงยิ่งประการหนึ่ง?!
เซียวจับอิดนึ้งได้มีโอกาสพบกับซิมเปียะกุนเมื่อบังเอิญได้มีโอกาสช่วยเหลือนางให้รอดพ้นจากเงื้อมมือบริวารของเทพสำราญ- เซียวเอี้ยโหว
เซียวเอี้ยโหวมุ่งหวังที่จะได้ครอบครองซิมเปียะกุน  แย่งชิงซิมเปียะกุนไปจากอ้อมอกของเลี่ยงเซี้ยเปียะ  แต่มันคาดมิถึงกลับมีเซียวจับอิดนึ้งสอดแทรกตัวเข้ามา
ครั้งแรกในศาลเจ้ารกร้าง  ความคิดขัดแย้งได้เกิดขึ้นในใจของคนทั้งสอง  กระทั่งเมื่อบุคคลทั้งสองได้มีโอกาสรู้จักเข้าใจกันอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น อันเนื่องมาจากการผลักดันของเซียวเอี้ยโหวที่ดำเนินแผนการช่วงชิงตัวนางไปจากเลี่ยงเซี้ยเปียะ  ความรักอันลึกซึ้งของทั้งสองก็ได้แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
ซิมเปียะกุนถึงกับเห็นว่า  ในชีวิตของนางมีเพียงแต่เซียวจับอิดนึ้งคนเดียวเท่านั้นที่สามารถ"ปกป้องคุ้มครอง"นางได้ด้วยชีวิตของมันเอง
ประการนี้แม้เลี่ยงเซี้ยเปียะที่เป็นคู่หมั้นคู่หมายของนางก็มิอาจกระทำได้
เยี่ยงนี้สำหรับสตรีนางหนึ่งย่อมนับว่าสำคัญยิ่ง
สำหรับเซียวจับอิดนึ้งเล่า  เมื่อมันนำตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับซิมเปียะกุน  เมื่อมันได้มีโอกาสพบกับนาง  มันกลับพบว่าสตรีเยี่ยงซิมเปียะกุนนั้นสามารถนับเป็น"นางในฝัน"ของมัน  แต่น่าเสียดายที่นางในฝันของมันกลับมีคู่หมั้นแล้ว
แม้ความรู้สึกส่วนหนึ่งของเซียวจับอิดนึ้งจะเป็นความรู้สึกที่มุ่งหวังจะได้ซิมเปียะกุนมาเคียงกาย  มีความรู้สึกเป็นสุข ปราศจากความเงียบเหงาเดียวดายเมื่อยามที่ได้มีโอกาสอยู่ร่วมกับนาง  แต่ในอีกด้านหนึ่งมันกลับเห็นว่ามันสมควรผละจากนาง  มันไม่คู่ควรกับนาง มีแต่เลี่ยงเซี้ยเปียะเท่านั้นจึงคู่ควรกับนาง
ในหุบเขารกร้าง ท่ามกลางเทือกทิวเขาวังเวงที่ห่างไกลจากผู้คน  ซิมเปียะกุนพบว่า
“...เซียวจับอิดนึ้งยังคงเป็นเด็กทารก  ทารกซึ่งไร้ที่พึ่งพิง มีชีวิตรอดหลังมหันตภัยผู้หนึ่ง  ต้องการความรัก การดูแลจากผู้อื่น..”"
    (จับอิดนึ้ง 2:599)
ในยามที่นางโอบกอดเซียวจับอิดนึ้งไว้ภายหลังปลอดภัยจากภาวะวิกฤติครั้งหนึ่ง  เซียวจับอิดนึ้งก็สามารถเข้าใจถึงความรู้สึกล้ำลึกภายในใจของตนเอง  มันเข้าใจอย่างชัดแจ้งว่า  แท้จริงแล้วขณะนั้นมันคล้ายกับทารกที่ได้มีโอกาสอยู่ในอ้อมกอดของมารดาภายหลังจากที่ถูกละทิ้งไปเป็นเวลาอันยาวนาน
เป็นความรู้สึกแตกตื่นของทารกที่ล่วงรู้ว่าตนกลับเข้าสู้อ้อมกอดของมารดาแล้ว
 ในใต้หล้ามีแต่อ้อมอกมารดา จึงเป็นเกราะกำบังอันปลอดภัยที่สุด”
    (จับอิดนึ้ง 3:733)
ซิมเปียะกุนก็เฉกเดียวกัน  นางเต็มไปด้วยความรู้สึก
“ความรักของมารดา เป็นประกายเจิดจ้าจำรัสที่สุดในอุปนิสัยใจคอของสตรี!
เพียงแต่ทารกแม้ต้องพึ่งพามารดา  มารดาก็ฝากฝังชีวิตจิตใจกับทารกเช่นกัน
มาตรแม้นในใต้หล้า  มีแต่มารดาจึงให้ความปลอดภัยแก่ทารก  แต่ก็มีแต่ทารกจึงสามารถประโลมใจมารดา บันดาลให้มารดาสงบเป็นสุข..”"
โก้วเล้งจึงเห็นว่า  แท้ที่จริงแล้ว
“ความรู้สึกของคู่รักที่ฝากฝังพึ่งพิงกันและกัน ก็เป็นความรู้สึกเช่นเดียวกับมารดาและทารก!
พลังจากรักแท้เป็นสิ่งประโลมขวัญจรรโลงชีวิตผู้คนยั่งยืนนานชั่วนิจนิรันดร์..”
   (จับอิดนึ้ง 3: 734)
กลางหุบเขารกร้าง ท่ามกลางเทือกทิวเขาวังเวงซึ่งเคยเป็นที่พำนักแต่เยาว์วัยของเซียวจับอิดนึ้ง  ย่อมห่างไกลจากผู้คน
เซียวเอี้ยโหวและบริวารย่อมยากที่จะเสาะหาพบ
ยิ่งเลี่ยงเซี้ยเปียะยิ่งยากที่จะเสาะแสวงหาทั้งคู่ได้พบ!
หากทั้งเซียวจับอิดนึ้งและซิมเปียะกุนยินยอมรั้งอยู่  ชีวิตของพวกมันทั้งคู่อาจดูอ้างว้างยิ่งท่ามกลางเทือกทิวเขารกร้าง
แต่ความรู้สึกที่แท้จริงของทั้งคู่กลับย่อมมิเงียบเหงาเดียวดายอีกต่อไป
สำหรับเซียวจับอิดนึ้ง  เพียงมีซิมเปียะกุนรอคอยอยู่ในห้องหับซ่อมซ่อหลังนั้น  มันย่อมมีความสุขยิ่ง อิ่มเอิบยิ่ง  สำหรับมัน
“ภายในห้อง ขอเพียงมีสตรีอันนุ่มนวลเอาใจนางหนึ่ง  มิว่าห้องหับนี้จะซอมซ่อสามัญอย่างไร ก็หามีความสำคัญไม่
ในใต้หล้ามีแต่สตรีจึงสามารถบันดาลให้ห้องหับหลังหนึ่งแปรเปลี่ยนเป็น "บ้าน"
มีแต่สตรีจึงสามารถบันดาลให้บุรุษเพศรับรู้ถึงความอบอุ่นของบ้าน”
(จับอิดนึ้ง : )
แต่ใช่เซียวจับอิดนึ้งสามารถใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเทือกทิวเขารกร้างอย่างมีความสุขกับซิมเปียะกุนได้?
ย่อมไม่!
ที่มิอาจเป็นไปได้ มิใช่เนื่องเพราะทั้งคู่ไม่มีความรักที่แท้จริงต่อกัน  ตรงข้าม เนื่องเพราะทั้งคู่เต็มไปด้วยความรักที่แท้  เต็มไปด้วยความรักที่มีความปรารถนาที่จะให้ ที่จะช่วยเหลืออีกฝ่ายหนึ่ง  พร้อมที่จะเสียสละทุกสรรพสิ่งเพื่อคนที่ตนรัก
ซิมเปียะกุนไม่ปรารถนาจะให้ผู้คนในยุทธจักรกล่าวประณามเซียวจับอิดนึ้ง
เซียวจับอิดนึ้งไม่ต้องการให้คนรักของตนถูกผู้คนในแผ่นดินประณามเป็นหญิงไร้ยางอาย
ทั้งสองจึงได้แต่ออกจากโลกแห่งความฝันกลับเข้าสู่โลกแห่งความจริง และพร้อมเผชิญหน้ากับทุกสรรพสิ่งที่จะเกิดขึ้นในโลกแห่งความจริง


อาฮุย-- นับเป็นคนเดียวดาย
เป็นบุคคลที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความเหงาเปลี่ยวเดียวดายตลอดมา  เมื่อยามที่อาฮุยเข้าสู่วงบู๊ลิ้ม  นอกจากลี้คิมฮวงและทิท่วงกะแล้ว  มันไม่สามารถนับผู้คนอื่นใดเป็นสหายอีกเลย
เซียวจับอิดนึ้ง--มันอาจโชคดีที่เพียงเพิ่งเข้าสู่วงบู๊ลิ้มก็สามารถมีชื่อเสียงได้ในเวลาอันรวดเร็ว  แม้ว่าจะเป็นเพียงชื่อเสียงในฐานะ “ยอดขุนโจร” ก็ตาม
เซียวจับอิดนึ้งอาจมีสหายไม่มากนัก  แต่คู่ต่อสู้ที่พ่ายแพ้เพลงดาบของมันกลับยอมรับนับถือมันอย่างจริงใจ  มิหนำมันยังดีกว่าอาฮุยไม่น้อยตรงที่มันมีสหายเยี่ยงฮวงซี่เนี้ยที่พร้อมจะเป็นทั้งสหายและคนรักของมัน หากมันต้องการ  แต่กระนั้นก็ตาม  ฮวงซี่เนี้ยกลับมิใช่อิสตรีที่จะสามารถเข้ามาชดเชยความรู้สึกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวของมันได้
ใช่เนื่องเพราะฮวงซี่เนี้ยรู้ใจของมันเกินไปหรือไม่?
ทั้งอาฮุยและเซียวจับอิดนึ้งล้วนมีพื้นฐานชีวิตที่คล้ายคลึงกัน  กำเนิดและเติบโตมาจากสภาวะเฉกเดียวกัน
ทั้งคู่เติบโตขึ้นท่ามกลางหุบเขารกร้างเปล่าเปลี่ยวและวังเวงยิ่ง
เติบโตและเรียนรู้วิถีการดำรงชีวิตอยู่รอดจากธรรมชาติ
ดิ้นรนต่อสู้เอาชีวิตรอดอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย เนื่องเพราะมารดาของพวกมันจากไปภายหลังที่พวกมันมีอายุเพียงไม่กี่ขวบปี
ทั้งคู่จึ่งนับได้ว่าได้ผ่านชีวิตที่โดดเดี่ยวเดียวดายเนิ่นนานวันยิ่ง--เนิ่นนานจนความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวนั้นได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
เนื่องเพราะพวกมันขาดความรัก ขาดความอบอุ่น ขาดผู้ที่เข้าอกเข้าใจในตัวมัน  ดังนั้นเมื่อพวกมันมีโอกาสที่จะได้รับความรัก ได้รับสัมผัสกับอ้อมอกอุ่นของอิสตรี  จึ่งเป็นคล้ายทารกที่โหยหาความอบอุ่นจากอ้อมกอดของมารดา  เฉกนี้พวกมันจึงเข้าใจว่าตนเองได้รับความรักที่แท้จริงจากผู้คน  พวกมันจึงได้แต่ทุ่มเททุกประการให้กับอิสตรีที่ตนรัก
อาฮุยย่อมเข้าใจว่าลิ่มเซียนยี้รักมันยิ่ง  ให้ความเอื้ออาทรต่อมันยิ่ง  ดังนั้นมันจึงยินยอมสละทุกสรรพสิ่งเพื่อนาง  ยินยอมถอนตัวจากวงบู๊ลิ้มไปใช้ชีวิตอยู่กับนาง
ยินยอมวางกระบี่ เลิกล้มความมุ่งมั่น ‘เป็นเอกในแผ่นดิน’ ไปอยู่กับนาง
เมื่อมีผู้คนบอกว่า ที่แท้ลิ่มเซียนยี้ไม่เคยมีความรักต่อมัน หลอกลวงมัน  อาฮุยมิยินยอมเชื่อถือ  กลับยึดถือบุคคลผู้นั้นว่าอิจฉามัน ไม่ยินยอมให้มันมีความสุข
กระทั่งเมื่อธาตุแท้ของลิ่มเซียนยี้ปรากฏ  นางสลัดรักมันอย่างไม่ไยดี  อาฮุยต้องเจ็บปวดรวดร้าวอย่างยิ่ง  และในความเจ็บปวดรวดร้าวนี้เอง  อาฮุย ‘พลันคิดได้’ สามารถเข้าใจถึงแก่นแท้แห่งชีวิต  กลับไปใช้ชีวิตเยี่ยงคนเดียวดายอีกสืบไป
เพียงแต่อาฮุยย่อมไม่เงียบเหงาว้าเหว่อีกต่อไป
ชีวิตอาฮุยนับจากนั้นนับว่ามีความสงบสุขอย่างยิ่ง
เซียวจับอิดนึ้งเล่า-- ความรักของมันก็เฉกเดียวกัน  เพียงแต่มันอาจโชคดีกว่าอาฮุยตรงที่คนรักของมันก็รักมันอย่างจริงใจ  เป็นความรักของคนคู่หนึ่งที่ต่างมุ่งหวังเสียสละทุกสรรพสิ่งให้แก่กัน  ดังนั้นแม้วันเวลาที่ผันผ่านไปของคนทั้งสองจะเต็มไปด้วยความระทมทุกข์สลับกับความสุขสมในระยะสั้น ๆ  แต่พวกมันคล้ายกับพอใจและยินยอมพร้อมใจที่จะเผชิญหน้ากับทุกประการอย่างยิ่ง
นี่เนื่องเพราะความรักที่ก่อตัวขึ้นในใจของทั้งสองล้วนเป็นความรักที่พร้อมจะให้แก่กันและกันมากกว่าที่จะหวังสิ่งใดตอบแทน
“...ขอเพียงท่านมีชีวิตเป็นปกติสุข  ไม่ว่าข้าพเจ้าทำอย่างไร ข้าพเจ้าล้วนมิบ่ายเบี่ยงปฏิเสธ”
(จับอิดนึ้ง 3 : 864)
“...นี่คือความรักอันแท้จริง  คำนึงถึงแต่ฝ่ายตรงข้ามไม่นำพากับตนเอง”
(จับอิดนึ้ง 3 : 864)
แม้ความรับระหว่างเซียวจับอิดนึ้งกับซิมเปียะกุนจะเต็มไปด้วยความระทมเศร้าและมิอาจจบลงด้วยสุขนาฏกรรมได้  แต่ความรักของทั้งคู่กลับให้บทเรียนล้ำค่าแก่ผู้คน :-
“การถูกผู้อื่นรักมั่น  ยังสุขล้ำกว่ารักใคร่ผู้อื่นมากนัก!”
(จับอิดนึ้ง 3 : 864)
แม้ทั้งเซียวจับอิดนึ้งและซิมเปียะกุนมิอาจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเยี่ยง “คู่รัก” ทั่ว ๆ ไปได้  แต่ในใจของทั้งสองเล่าไยมิใช่สามารถอยู่ร่วมกันตลอดเวลาโดมไม่มีผู้ใดสามารถแยกทั้งสองจากกันได้เลย


ข้าพเจ้าประทับใจคำนิยาม “ความรัก” ของอาโนลด์  ทอยน์บี
   “ในภาษาตะวันตกสมัยใหม่   คำว่า ‘รัก’ ใช้ในสองความหมายที่ไม่เพียงแต่ต่างกันเท่านั้น แต่ยังขัดแย้งกันด้วย  ในทั้งสองความหมาย รัก หมายถึงความอยาก ความปรารถนา   แต่ในความหมายหนึ่งมันหมายถึงความอยากที่จะให้ อยากที่จะช่วยเหลือ ขณะที่อีกความหมายหนึ่งหมายถึงความอยากที่จะเอา อยากที่จะแสวงหาประโยชน์..”
(อาร์โนลด์  ทอยน์บี, ชีวิตเลือกได้ ,  หน้า 467)
ความรักระหว่างเซียวจับอิดนึ้งกับซิมเปียะกุนไยมิใช่เป็นความรักประเภทที่เป็น “ความอยากที่จะให้ อยากที่จะช่วยเหลือ” อย่างแท้จริง ความรักของทั้งสองจึงน่าประทับใจอย่างยิ่ง  ซาบซึ้งกินใจอย่างยิ่ง  ผิดแผกแตกต่างไปจากความรักระหว่างอาฮุยกับลิ่มเซียนยี้  ที่ฝ่ายหนึ่งมุ่งหวังที่จะให้ในขณะที่อีกฝ่ายกลับมุ่งหวังเพียงแต่จะได้ถ่ายเดียว  สำหรับอาฮุยที่มุ่งหวังจะให้  ในที่สุดแม้มันจะให้มากสักแค่ไหนมันก็มิสูญเสียสิ่งใดเลย  ในขณะที่ลิ่มเซียนยี้เพียง “อยากที่จะเอา อยากที่จะแสวงหาประโยชน์” จากความรักอันบริสุทธิ์ของอาฮุย  แต่ท้ายที่สุดนางได้อะไรบ้างเล่า
นี่ย่อมเป็นบทเรียนสำคัญยิ่งของมนุษยชาติ
ผู้ที่รู้จัก “ให้” เพื่อแลกมาซึ่งการ “ได้” ในชีวิตย่อมเต็มไปด้วยความหวัง
แต่สำหรับผู้ที่รู้จักแต่เพียงจะ“ได้” โดยไม่ยินยอม “ให้” ผู้อื่น  ชีวิตย่อมปราศจากความหวัง  ในชีวิตไยมิใช่ต้องประสบกับความทุกข์ระทมตลอดกาล
มวลมนุษยชาติในโลกปัจจุบัน-- ดูเหมือนว่าความรักที่แต่ละคนจะมอบให้ต่อกันนับว่าลดน้อยถอยลงยิ่ง  ผู้คนส่วนใหญ่มักมุ่งหวังให้ผู้อื่นมี “ความรัก” ต่อตนเอง มีแต่ความอยากความปรารถนาที่จะ “ได้” จากผู้อื่น มากกว่าความอยากความปรารถนาที่จะ “ให้”
มุ่งหวังให้ผู้อื่นมีความรัก ความหวังดี มีความจริงใจต่อตน  แต่ไยตนเองไม่เคยคิดมอบความรัก ความหวังดี ความจริงใจต่อผู้อื่น
เยี่ยงนี้-- สังคมมนุษยชาติจึงเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย การเข่นฆ่าทำลายล้างกันไม่มีที่สิ้นสุด
หรือนี่คือโศกนาฏกรรมของมนุษยชาติ
เป็นโศกนาฏกรรมที่มิอาจสร้างความประทับใจให้กับผู้คนแม้แต่น้อย !

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ใดว่าวีรบุรุษเงียบเหงา วีรบุรุษที่แท้ล้วนสำราญ

“ร่างกายพวกเราแม้สกปรก  จิตใจกลับสะอาดสะอ้าน หากแม้นจิตใจคนผู้หนึ่งสกปรกโสมม  ต่อให้ใช้สบู่ฟอกวันละสิบครั้ง ยังไม่สะอาดหมดจด” “มีเหตุผล  ...