วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ผู้ใดว่าวีรบุรุษเงียบเหงา วีรบุรุษที่แท้ล้วนสำราญ

“ร่างกายพวกเราแม้สกปรก  จิตใจกลับสะอาดสะอ้าน
หากแม้นจิตใจคนผู้หนึ่งสกปรกโสมม  ต่อให้ใช้สบู่ฟอกวันละสิบครั้ง
ยังไม่สะอาดหมดจด”
“มีเหตุผล  คนผู้หนึ่งหากมีชีวิตอย่างสุขสำราญ ไม่ละอายต่อมโนธรรม
แม้ต้องอดอาหารมิล้างหน้า  ก็หาเป็นไรไม่”
                                                            (โก้วเล้ง/น. นพรัตน์  วีรบุรุษสำราญ)

หวนคิดถึงพฤติกรรมของผู้ที่มักอ้างตัวเอง(ไม่ว่าจะบอกมาตรงๆ หรือไม่) เป็นวีรบุรุษเป็นคนดีงามที่มีอยู่เกลื่อนกลาดในสังคมปัจจุบันแล้ว  อดไม่ได้ที่ข้าพเจ้าต้องหยิบ “วีรบุรุษสำราญ” ของโก้วเล้งขึ้นมาอ่านซ้ำอีกครั้ง  และอดไม่ได้ที่จะต้องเขียนถึงสี่สหายแห่งเคหารุ่มรวยอีกครั้งหนึ่ง
เขียนถึงความคิดและวิถีการดำรงชีวิตของพวกเขา
เขียนถึงภาพอีกด้านหนึ่งของมนุษย์ที่แท้จะหาได้ยากยิ่งในโลกแห่งความเป็นจริง  แต่มิใช่จะไม่สามารถค้นหาได้พบพาน
บุคคลเยี่ยงพวกเขาอาจจะยากยิ่งที่จะพบพาน  แต่เมื่อพบพานแล้วไยมิใช่สามารถพบเห็นความสำราญ
เข้าใจถึงความสำราญที่แท้ในชีวิต
และยังสามารถทำให้มองเห็นแก่นแท้ที่อยู่เบื้องหลังภาพของผู้คนที่มักอ้างเป็น “วีรบุรุษ” ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น  โดยผ่านภาพของพวกเขาเหล่า “วีรบุรุษสำราญ”


หนึ่ง - ก๊วยไต้โล่ว

แรกที่หัวหน้าสำนักคุ้มกันภัย “ล้อเง็กจิ้น” รับรู้พฤติกรรมบางประการของก๊วยไต้โล่ว  มันถึงกับคุกเข่าโครมลงขอร้องให้ก๊วยไต่โล่วจากไป  มันได้แต่กล่าว
“...บุคคลเยี่ยงก๊วยตั่วเอี้ย(นายแซ่ก๊วย) กาลก่อนเราไม่เคยพบพานมา  ภาวนาว่าภายหน้าอย่าได้เผชิญพบอีก”
นี่เนื่องเพราะก๊วยไต้โล่วมีพฤติการณ์ผิดแปลกพิสดารจากผู้คนทั่วไปเยี่ยงไร  ที่ผู้คนบางคนไม่เคยพบพานมาก่อน  และเมื่อพบไม่อยากจะพานพบอีกในภายภาคหน้า
โดยเฉพาะบุคคลที่มีอาชีพ “ผู้คุ้มกันภัย”
โก้วเล้งบรรจงรังสรรค์มันขึ้นมาให้เป็นบุคคลเยี่ยงไร?
เมื่อแรกที่โก้วเล้งกล่าวถึงก๊วยไต้โล่ว  โก้วเล้งบอกต่อผู้คน-
“ก๊วยไต้โล่วเป็นเฉกเช่นกับนาม ความหมาย ‘ไต้โล่ว’ คือทั้งโอ่อ่าผ่าเผย  ทั้งกล้อมแกล้มคลุมเครือ  มิว่าเรื่องราวใดไม่นำพาปรารมภ์”
เมื่อก๊วยไต้โล่วปรากฏกายขึ้นในวงบู๊ลิ้ม  ผู้คนย่อมได้มีโอกาสสัมผัสกับนักบู๊อีกประเภทหนึ่งที่อาจนับได้ว่า  ไม่เคยมีในกาลก่อนและย่อมยากยิ่งที่จะเกิดมีอึกในภายหน้า
บุคคลเยี่ยงล้อเง็กจิ้น  จะมีใครสักกี่คนที่สามารถได้พบพานก๊วยไต้โล่ว
จะมีใครสักกี่คนที่ได้รู้จักก๊วยไต้โล่วอย่างแท้จริง
นอกจากสหายและคนรักของมัน!
เรื่องราวเบื้องหลังของก๊วยไต้โล่วล้วนเป็นความลับ
เป็นความลับเยี่ยงเดียวกับเรื่องราวเบื้องหลังของสหายของมัน
เป็นความลับที่มันมิยินยอมบ่งบอกต่อผู้ใดเด็ดขาด และสหายของมันก็ย่อมมิยินยอมไต่ถาม  ทั้งนี้เนื่องเพราะมันมีความเห็น--
“ความลับคือสิ่งที่ท่านเสพย์รับเพียงลำพัง
มันอาจบันดาลความสุขสันต์หรรษา  อาจนำมาซึ่งความเจ็บปวดรวดร้าวแก่ท่าน  มิว่ามันคืออะไร  ล้วนเป็นของท่านคนเดียว
มันหากเป็นความรวดร้าวขมขื่น  ท่านมีแต่แบกรับเพียงลำพัง  หากเป็นความสุขหฤหรรษ์  ก็อย่าได้แบ่งปันแก่บุคคลอื่น  แม้กระทั่งกับสหาย
เนื่องเพราะหากมีบุคคลที่สองล่วงรู้ความลับของท่าน  ก็ไม่อาจนับเป็นความลับแล้ว”
แต่ในที่สุดมันก็ทราบ  แท้จริงสหายของมันเป็นคนเยี่ยงไร
แท้จริงเรื่องราวเบื้องหลังของมันมิว่าสุขหฤหรรษ์หรือเจ็บปวดรวดร้าวเพียงไรกลับมิควรเป็นความลับ  เนื่องเพราะมันเข้าใจ-- ผู้ที่เป็นสหาย  เพราะเพื่อสหายของพวกมัน  มิว่าสหายมีปัญหาใด มิว่าสหายเกิดเรื่องเช่นไร หรือมิว่าสหายจะเป็นเยี่ยงไร  ย่อมยังคงเป็นสหายมิได้เปลี่ยนแปร
“สหายสามารถแบ่งปันความสุขของท่าน และแบกรับความทุกข์ของท่านได้
ท่านหากมีความยุ่งยากลำบาก  สหายล้วนยินยอมช่วยเหลือท่าน  หากประสบภยันตราย สหายยินยอมทะยานออกรับแทน
ต่อให้ท่านกระทำผิดจริง สหายก็อภัยให้ได้”
ยามอยู่เบื้องหน้าสหายเยี่ยงนี้  ท่านยังมีความลับใดที่ไม่อาจบ่งบอกออกมา?
ก๊วยไต้โล่วได้แต่บ่งบอกความลับของมันออกมา
แม้ก๊วยไต้โล่วมิอาจนับเป็นมหาเศรษฐีแต่มันสมควรนับเป็นคนร่ำรวยได้ผู้หนึ่ง
มิเพียงมีทรัพย์สินเงินทองมากพอที่จะนับเป็นคนร่ำรวยเท่านั้น  บุคลิกของมันยัง “โอ่อ่าผ่าเผย” เป็นที่ต้องตาต้องใจอิสตรีมากหน้าหลายตา  เพียงแต่ที่มันชมชอบแลทุ่มเทจิตใจทั้งมวลให้กลับเป็นจูจู(ไข่มุกแดง) ที่นับได้ว่ามีความงดงามรัดรึงใจมันมากที่สุด
ก๊วยไต้โล่วย่อมบ่งบอกต่อจูจู-- ตนยินยอมมอบชีวิตและทุกสรรพสิ่งแก่นาง
จูจูยากจนข้นแค้นยิ่ง ก๊วยไต้โล่วกลับทุ่มเทเงินทองช่วยเหลือเจือจุนนาง  จวบ จนกระทั่งบิดาของก๊วยไต้โล่วเสียชีวิต  จูจูกลับมิใช่คนยากจนอีกต่อไป
ก๊วยไต้โล่วทุ่มเทจิตใจทั้งมวลให้กับนาง  ทุ่มเทเงินทองให้กับนาง เนื่องเพราะมันรักนางยิ่ง  แต่จูจูกลับกระทำในสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้แก่มันอย่างยิ่ง
ก่อนถึงวันวิวาห์  นางกลับหนีไปกับบุรุษหนึ่ง
บุรุษที่เป็นคนดูแลคอกม้าของตระกูลมันเอง!
แม้นนางจะสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้กับมันสักเพียงใด  แต่ก๊วยไต้โล่วย่อมไม่โทษว่านาง  เพียงแต่ตำหนิตนเองที่ดูคนผิดไป
แม้จูจูจะเป็นคนเยี่ยงไร  จะกระทำผิดสักเพียงใด  ก๊วยไต้โล่วกลับมิได้มีความคับแค้นนางอย่างยิ่งไม่  มันเพียงคับแค้นตนเองตำหนิตนเอง ดังนั้นมันจึงไม่เคยคิดสร้างความเดือดร้อนให้กับจูจูแม้แต่น้อย แม้คำที่จะกล่าวตำหนินางก็ยากยิ่งที่จะออกจากปากของมัน
นี่ย่อมผิดแผกแตกต่างไปจากผู้คนบางประเภทที่เพียงตำหนิความผิดของพลาดของผู้อื่น  เพียรกระทำทุกประการเพื่อเป็นการ “แก้แค้น” และทำลายผู้ที่สร้างความคับแค้นให้แก่ตนโดยมิคำนึงถึงเรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้น
มิคำนึงความคับแค้นใจของผู้ใดทั้งสิ้น
ไม่คำนึงถึงมโนธรรม คุณธรรม และคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ของผู้อื่นแม้แต่น้อย
อาจเนื่องเพราะเหตุนี้  ชีวิตของก๊วยไต้โล่วจึงเปลี่ยนแปลง
เปลี่ยนแปลงจากบุคคลที่ร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง กลายเป็นคนยากจนเข็ญใจผู้หนึ่ง
คนทั่วไปมักทราบเพียงแต่ว่า  คนผู้หนึ่งหากเปลี่ยนจากคนร่ำรวยเป็นยากจนย่อมเนื่องมาจากสาเหตุสองประการ  หนึ่งคือมันโง่เขลาเกินไป และอีกหนึ่งก็คือมันเกียจคร้านเกินไป  แต่ก๊วยไต้โล่วทั้งไม่โง่เขลาและไม่เกียจคร้าน
ภายหลังที่ก๊วยไต้โล่วไว้ทุกข์ให้แก่บิดามารดาครบกำหนดแล้ว  มันกลับขายไร่นาบ้านช่อง  คิดออกเร่ร่อนท่องเที่ยวไปในวงบู๊ลิ้ม
ไร่นาที่สมควรมีราคาไร่ละสามร้อยตำลึง  มันเพียงจำหน่ายไปไร่ละหนึ่งร้อยเจ็ดสิบตำลึง  เมื่อแบ่งให้กับญาติพี่น้องมิตรสหายที่ข้นแค้นแล้วมันจึงเหลือเงินติดตัวไม่มากนัก
มิหนำซ้ำเงินทองที่มันมีอยู่  มันกลับใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยยิ่ง  ไม่นานนักมันจึงกลับเป็นคนยากจนข้นแค้นผู้หนึ่ง
แต่ดูเหมือนมันมิได้มีความทุกข์ร้อนใด ๆ แม้แต่น้อย
หรือสำหรับมันแล้ว  ทรัพย์สินเงินทองล้วนไม่มีความสำคัญอันใด?


พฤติการณ์อันเพริศแพร้วพิสดารของก๊วยไต้โล่วย่อมมิมีเพียงแค่นี้
ครั้งหนึ่งมันเคยช่วยเหลือหัวหน้าสำนักคุ้มกันภัยล้อเง็กจิ้นให้รอดพ้นจากการถูกเหล่ามิจฉาชีพปล้นชิงในระหว่างคุ้มกันภัยสินค้ารายหนึ่ง  ล้อเง็กจิ้นมิเพียงสำนึกในพระคุณ ทั้งยังเลื่อมใสมันหมดหัวใจ  แต่งตั้งมันเป็นรองหัวหน้าสำนักคุ้มกันภัย
แม้นสำนักคุ้มกันภัยของล้อเง็กจิ้นจะมิใหญ่โตนัก  แต่สำหรับผู้ยากจนข้นแค้นเยี่ยงก๊วยไต้โล่วย่อมน่าภาคภูมิใจไม่น้อย  เพียงแต่เมื่อมันเริ่มคุ้มกันภัยสินค้ารายแรก  ล้อเง็กจิ้นได้แต่ขอร้องให้มันจากไป  เนื่องเพราะมันกลับนำเงินหลายพันตำลึงที่ได้รับว่าจ้างให้คุ้มกันไปส่งที่เมืองลกเอี๋ยงแจกจ่ายให้กับโจรลักขโมยน้อยไปกว่าครึ่ง
โจรลักเล็กขโมยน้อยกลุ่มนี้กลับอาจหาญปล้นชิงสินค้าที่ก๊วยไต้โล่วคุ้มกันมา
เป็นโจรที่มีใบหน้าเหลืองซีดราวอดอาหารมาสามวัน  สวมใส่เสื้อผ้าเก่าขาดปุปะ  แม้กระทั่งดาบที่ใช้ยังขึ้นสนิม
ก๊วยไต้โล่วได้แต่เกลี่ยกล่อมพวกมันให้เลิกเป็นโจรพร้อมกับมอบเงินทองให้จำนวนหนึ่ง
น่าเสียดายที่เงินทองนั้นย่อมมิใช่ของมัน
สำหรับโจรลักเล็กขโมยน้อยกลุ่มนั้นอาจยึดถือมันเป็น“วีรบุรุษผู้กล้าหาญ  ทั้งยังเป็นองค์พระโพธิสัตว์” แต่สำหรับคนทั่วไปเล่ามันสมควรนับเป็นเยี่ยงไร
เป็นวีรบุรุษผู้กล้า?  เป็นพระโพธิสัตว์ผู้ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก? หรือเป็นตัวโง่เขลาบัดซบผู้หนึ่ง
มิเพียงบริวารของล้อเง็กจิ้นที่อยู่ในเหตุการณ์  ล้อเง็กจิ้นเองก็มิอาจให้ข้อสรุปได้  มันได้แต่ยินยอมจ่ายหนีสินที่ก๊วยไต้โล่วสร้างขึ้นแทนและขอร้องให้ก๊วยไต้โล่วจากไป
ก๊วยไต้โล่วย่อมยากจนยิ่ง
มิว่าเยี่ยงไรมันก็ต้องมีรับประทาน  ดังนั้นมันจึงยินยอมกระทำทุกประการเพื่อให้สามารถมีเงินทองซื้ออาหารเลี้ยงท้องตนเอง  มันเคยรับจ้างเป็นพ่อครัวแต่ก็เป็นได้เพียงสามวัน  คิดหาเงินทองโดยการแสดงวิชาการต่อสู้แต่ผู้คนกลับคิดเป็นคนบ้าคลั่งรับประทานยาผิดคนหนึ่ง  มันได้แต่ตัดสินใจเป็นโจร
เป็นโจรธรรมะ
เป็นโจรที่ปล้นชิงคนร่ำรวยที่ขาดเมตตาธรรม  ปล้นชิงขุนนางฉ้อฉล
เนื่องเพราะมันเห็นว่า “ท่านหากช่วงชิงเงินทองของคนประเภทนี้  ผู้อื่นมิเพียงไม่ตำหนิท่าน  ทั้งยังแซ่ซ้องสรรเสริญ”
ก๊วยไต้โล่วได้แต่ประพฤติตนเป็นโจร
เป้าหมายแรกของมันกลับเป็นตึกรามเชิงเขาหลังหนึ่งที่ดูโอ่อ่าโอฬาร ตระหง่านภูมิฐานยิ่ง
แต่เมื่อก๊วยไต้โล่วเข้าไปในคฤหาสน์หลังนั้น  มันกลับมิได้พบพานทรัพย์สินใดๆ นอกจากเตียงเก่าๆ หลังหนึ่งที่นอนทอดกายด้วยบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง
บุรุษหนุ่มที่เพียงเมื่อเห็นก๊วยไต้โล่วพกพากระบี่ก็ใช้ให้มันไปจำนำกระบี่ซื้อหาอาหารมาให้มัน
บุรุษหนุ่มที่บอกต่อมัน- “สถานที่นี้เรียกกว่าปู่กุ่ยซัว(เคหารุ่มรวย)”
ในที่สุด  ก๊วยไต้โล่วกลับพบว่าเคหารุ่มรวยนี้กลับน่าสนใจยิ่ง อยู่ยิ่ง
เนื่องเพราะมันกลับพบความจริงประการหนึ่งว่า  แม้เคหารุ่มรวยและผู้ที่มันพบพานในเคหารุ่มรวยมิได้รุ่มรวยทรัพย์สินเงินทองดั่งชื่อ  มิหนำซ้ำยังยากจนข้นแค้นเยี่ยงมันหรือยิ่งกว่ามัน แต่ในความยากจนข้นแค้นของประดาพวกเหล่านี้กลับมีสิ่งหนึ่งที่ร่ำรวยอย่างยิ่ง
เป็นความร่ำรวยที่แม้จะแจกจ่ายให้แก่ผู้คนไปสักกี่มากน้อยแค่ไหนก็มิสามารถทำให้ยากจนข้นแค้นลงไปแม้แต่น้อย
นี่ย่อมมิใช่รุ่มรวยทรัพย์สินเงินทอง
มิใช่รุ่มรวยที่ดินป่าสงวน เรือกสวนไร่นา กิจการค้า โรงงานอุตสาหกรรม หรือมีหุ้นส่วนในกิจการต่าง ๆ  เป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นล้าน
มิใช่รุ่มรวยอำนาจหรือชื่อเสียงเกียรติยศใดๆ!
แต่เป็นรุ่มรวยสิ่งที่พวกมันต้องการอย่างยิ่ง
รุ่มรวย “คุณธรรมน้ำมิตร”!


สอง - นางแอ่นเจ็ดอี้ฉิก

เท้าของคนผู้นี้อาจไม่ผิดแผกจากคนผู้อื่น  แต่รองเท้ากลับผิดแผกจนดูพิสดารกว่าของผู้คนทั่วไปยิ่ง  รองเท้ามันแม้มีลวดลายกลับไม่มีส้นเท้า
อาภรณ์ที่มันสวมใส่แม้จะดูหรูหรายิ่ง  แต่ตอนนี้นับว่าขาดกะรุ่งกะริ่ง  คงมีแต่หมวกเท่านั้นที่อาจนับเป็นหมวดที่สวยงามใบหนึ่ง
ใบหน้าของมันงดงามคมคายราวกับใบหน้าอิสตรี  ดวงตากลมโต ปากรูปกระจับที่พอมันแย้มยิ้มกลับปรากฏลักยิ้มขึ้นทั้งสองข้างแก้ม  แต่ตอนไม่ยิ้มกลับเย็นชากระด้างจนผู้คนมิกล้าสนิทชิดใกล้
คนผู้นี้นามของมันกลับคล้ายนามอิสตรี
นามของมัน-- อี้ฉิก
อี้ฉิกที่อาจแปลว่านางแอ่นเจ็ด
ที่เรียกเป็นนางแอ่นเจ็ด  มันบอก “เนื่องเพราะข้าพเจ้าผ่านการตายมาเจ็ดครั้งแล้ว”
มันเมื่อมาถึงเคหารุ่มรวยแล้วก็เป็นเฉกเดียวกับก๊วยไต้โล่ว  เมื่อมาแล้วก็มิอาจตัดใจไป
ใช่เนื่องเพราะเคหารุ่มรวย  รุ่มรวยสมชื่อ  ผู้ที่มาแล้วจึงมิอาจตัดใจจากไป?
ย่อมมิใช่ !  แต่นี่ย่อมสืบเนื่องมาจากผู้คน-- ผู้คนบางประเภทที่
“...คล้ายมีแรงดูดใจกันและอันลี่ลับพิสดารประการหนึ่ง  เฉกเช่นแม่เหล็กกับเศษเหล็ก  พอเผชิญพบหันจะดึงดูดอีกฝ่ายหนึ่งไว้อย่างแนบแน่น
“ผู้คนบางคนขอเพียงได้อยู่ร่วมกันก็เบิกบานหรรษา  แม้ต้องหลับไหลกับพื้น อดอาหารสักมื้อสักสองมื้อก็หาเป็นไรไม่


บุรุษชุดดำ
คนผู้นี้มิเพียงสวมเสื้อกางเกงสีดำ  ถุงมือรองเท้าดำ ใบหน้าก็คลุมด้วยผ้าดำผืนหนึ่ง  เผยให้เห็นแต่ดวงตาอันดำขลับเป็นประกายคู่หนึ่ง  กลางหลังสะพายกระบี่ยาวเกือบห้าเชียะฝักสีดำเล่มหนึ่ง  ผู้พบเห็นมันล้วนเข้าใจ-- มันคือ “วิญญาณใต้กระบี่น่ำเก็งชิ้ว”
เป็นน่ำเก็งชิ้วที่วงบู๊ลิ้มล้วนร่ำลือเป็นจอมโฉดชั่ว
ในสายตาของชนชาวบู๊ลิ้ม--พฤติกรรมของน่ำเก็งชิ้วนับว่าชั่วร้ายยิ่ง
ก๊วยไต้โล่วก็รับรู้เป็นเยี่ยงเดียวกับผู้คนทั่วไป  มันอาจเข้าใจ:`--
“ข้าพเจ้ากำลังครุ่นคิดว่า มันเมื่อมิใช่น่ำเก็งชิ้ว  ไฉนยินยอมแบกหม้อดำแทนน่ำเก็งชิ้วตัวจริง”
แต่ความเข้าใจและคำร่ำลือของผู้คนไยจะต้องเป็นความเป็นจริง
ไยผู้คนไม่คาดคิดในอีกด้านหนึ่งเล่า
“ท่านไยไม่คาดคิดว่า เป็นมันแอบอ้างนามน่ำเก็งชิ้ว  มิทราบฆ่าคนมากมายปานใด กระทำเรื่องชั่วช้ามากมายเพียงไหนน่ำเก็งชิ้วตัวจริงอาจไม่ล่วงรู้แม้แต่น้อย  หากบอกว่ามันแบกหม้อดำแทนน่ำเก็งชิ้ว  ไยไม่บอกว่าน่ำเก็งชิ้วแบกหม้อดำแทนมัน”
นับเป็นบุคคลอันน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง!
บุรุษชุดดำที่เหยียบย่างเข้าสู่เคหารุ่มรวยจึงต้องตาย
แม้ก๊วยไต้โล่วจะต้องต่อสู้ชิงชัยกับบุรุษชุดดำที่มันเชื่อว่าเป็น “น่ำเก็งชิ้ว” มันก็ไม่เคยมีความคิดที่จะสังหารบุรุษชุดดำแม้แต่น้อย แต่บุรุษชุดดำก็ต้องตาย-- ตายเพราะกระบี่ที่แทงมาจากนอกกำแพง
ตายด้วยกระบี่ที่มีข้อความผูกติดไว้ “ผู้แอบอ้างต้องตาย”
ที่แท้มันตายด้วยกระบี่ของอี้ฉิก
เนื่องเพราะบุรุษชุดดำแอบอ้างชื่อน่ำเก็งชิ้วกระทำพฤติการณ์ที่ชั่วร้ายยิ่ง อี้ฉิกจึงได้แต่สังหารมัน
เนื่องเพราะน่ำเก็งชิ้วตัวจริงที่เป็นบิดาของอี้ฉิกกลับชราภาพมากแล้ว  มิหนำยังเจ็บป่วยเรื้อรัง นอนทดกายอยู่บนเตียงมิอาจเคลื่อนไหวได้มาหลายปีแล้ว  เพื่อพิทักษ์เกียรติภูมิของผู้ให้กำเนิด  อี้ฉิกจึงได้แต่ปลิดชีวิตบุรุษชุดดำนั้น

ที่แท้อี้ฉิกมิต้องการให้ผู้ใดรู้ถึงชาติกำเนิดของตนเอง  ได้แต่ปลอมตนเป็นบุรุษเพศออกท่องเที่ยวในวงยุทธจักร
เมื่ออี้ฉิกเดินทางไปถึงเคหารุ่มรวยและพำนักอยู่ที่นั้นกับเหล่าสหาย  นางจึงได้แต่ออกจากเคหารุ่มรวยเป็นครั้งคราวเพื่อกลับมาปรนนิบัติบิดา
และเมื่อก๊วยไต้โล่วมีความรู้สึกชมชอบนางและคิดจะสืบเสาะความลับของนาง  อี้ฉิกจึงผละจากไป
“ที่แท้อี้ฉิกละอายในชาติกำเนิดของตัวเอง  กริ่งเกรงก๊วยไต้โล่วพอล่วงรู้ชาติตระกูลของนาง  จะผันแปรความรู้สึกที่มีต่อนาง”
ดังนั้นนางติดรอถึงยามใกล้ตาย  จึงยินยอมบอกออกมา”
แต่สำหรับก๊วยไต้โล่ว-- มันแม้ทราบ อี้ฉิกเป็นบุตรีน่ำเก็งชิ้ว  มันก็มิยินยอมเปลี่ยนแปรความรักที่มีต่อนางแม้แต่น้อย
มันกล่าวยืนยันต่อน่ำเก็งชิ้ว
“เนื่องเพราะในใต้หล้า  มิมีสิ่งใดผันแปรความรักที่ข้าพเจ้ามีต่อนาง  แม้แต่ข้าพเจ้าเองก็ตาม”
สำหรับบุคคลเยี่ยงก๊วยไต้โล่ว-ชาติกำเนิดของผู้คนย่อมมิอาจเปลี่ยนแปรความ รักของมันได้
ย่อมมิใช่เหตุผลที่จะนำมาตัดสินว่าสมควรคบหาผู้ใดเป็นสหายหรือไม่ และยิ่งมิอาจนำมาเป็นเหตุผลเพื่อตัดสินตนสมควรจะมีความรักต่อคนผู้หนึ่งหรือไม่
ทั้งมันย่อมมิอาจตัดสินพฤติกรรมของผู้คนเพียงเพราะคำร่ำลือเท่านั้น
ก๊วยไต้โล่วจึงเข้าใจ “คำร่ำลือในวงนักเลงจึงน่าสะพรึงกลัว” ยิ่งกว่าผู้ที่ถูกร่ำลือเสียอีก
เยี่ยงนี้--บุคคลเยี่ยงอี้ฉิกและก๊วยไต้โล่วจึงเต็มไปด้วยความสุขสำราญสืบไป
ในชีวิตของพวกมันจึงมีแต่ความสำราญ
น่าเสียดายที่บุคคลทั่วไปมักเชื่อในคำร่ำลือมากกว่าจะคิดพิสูจน์ความเป็นจริง
มักเชื่อคำร่ำลือที่สอดคล้องกับความคิดความเห็นของตนมากกว่าที่จะเชื่อถือหรือรับฟังความเป็นจริงอีกด้านหนึ่ง
คำร่ำลือว่าคนผู้หนึ่งดีงาม  คำร่ำลือว่าคนผู้หนึ่งชั่วร้าย จึงมิเคยผ่านการพิสูจน์ว่าดีงามจริงหรือไม่  ชั่วร้ายจริงหรือไม่
เยี่ยงนี้- ผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงสามารถประสบความสำเร็จและเป็นคนดีงามในสายตาผู้คนทั่วไปได้  เพราะสามารถสร้างภาพที่ดีงามของตนให้ผู้คนร่ำลือได้
น่าเสียดายที่คนประเภทหนึ่งกลับสามารถสร้างความนิยมชมชอบจากผู้คนทั่วไปได้เพียงเพราะมีความสามารถสร้างกระแสร่ำลือความดีงามของตนให้แผ่กระจายไปควบคู่กับการร่ำลือคำ “จอมโฉดชั่วแห่งแผ่นดิน” ให้กับผู้ที่เป็นศัตรูของตนได้อย่างดีเยี่ยม  ทั้งๆ ที่ใดความเป็นจริงแล้วต่างก็เป็นบุคคลประเภทเดียวกัน!

สาม- ลิ้มไท้เพ้ง

ในเดือนหนึ่ง อี้ฉิกจะออกจากเคหารุ่มรวยไปเพียงลำพังสองหรือสามครั้ง โดยมิว่าผู้ใดก็มิทราบว่ามันไปที่ใด และกระทำเรื่องราวใดมา  รู้เพียงว่าเมื่อมันกลับมาย่อมนำสิ่งประหลาดพิสดารมาด้วยทุกครั้ง
บางที่เป็นถึงเท้าคู่หนึ่ง
เป็นเป็ดย่างไฟแดง
เป็นแมวตัวหนึ่ง  สุนัขตัวหนึ่ง นกคีรีบูนตัวหนึ่ง ฯลฯ
ที่พิสดารยิ่งกว่า  เมื่อมันกลับมาในต้นฤดูหนาว  มันกลับโอบอุ้มบุรุษหนุ่มแบบบางคล้ายอิสตรีคนหนึ่งกลับมา
ลิ้มไท้เพ้ง-  นามของบุรุษหนุ่มผู้นั้นคือไท้เพ้ง  ไท้เพ้งที่แปลว่าสันติภาพ
ลิ้มไท้เพ้งก็มีความลับ
ที่แท้ลิ้มไท้เพ้งเป็นบุตรชายอ้วยฮูหยินกับพญามังกรแดนดิน
นับตั้งแต่เติบใหญ่มันเพียงพบหน้ามารดา  สำหรับบิดาของมันได้พรากจากพวกมันไปตั้งแต่มันอายุเพียงหกขวบ
ลิ้มไท้เพ้งความจริงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่มีความสุขสบายยิ่ง  และบางครั้งกลับดูเหมือนว่าจะสุขสบายเกินไป  มันคล้ายกับไม่ต้องการความสุขสบายเยี่ยงนั้น
อ้วยฮูหยินนับเป็นมารดาที่มีความปรารถนาดีต่อบุตรยิ่งผู้หนึ่ง  แต่บางครั้งก็คล้ายกับนางปรารถนาดีต่อบุตรจนเกินไป  จนกระทั่งทำให้ลิ้มไท้เพ้งคล้ายกับไม่เป็นตัวของตัวเอง  คล้ายกับมิใช่บุรุษ และยิ่งมิใช่บุรุษผู้โลกแล่นในวงบู๊ลิ้ม
สิ่งที่มารดามอบให้แก่มันคล้ายกับมิอาจให้ความสุขแก่มันแม้แต่น้อย
ท่ามกลางความสะดวกสบายในบ้านหลังใหญ่ที่มารดามอบให้แก่มันกลับทำให้ชีวิตของมันว้าเหว่เดียวดายยิ่ง
เงียบเหงายิ่ง!
เมื่ออ้วยฮูหยินหมั้นหมายอิสตรีนางหนึ่งให้แก่มัน มันจึงได้แต่หนีออกจากบ้าน
หลีกเลี่ยงการแต่งงานกับอิสตรีที่มารดาจัดการหมั้นหมายให้กับมันโดยที่มันมิได้มีส่วนรู้เห็นแม้แต่น้อย
ที่มันหลีกเลี่ยงเนื่องเพราะอิสตรีนางนั้นไม่งดงาม?
ที่มันหลบเลี่ยงเนื่องเพราะมันไม่ชมชอบอิสตรีนางนั้น?
แท้ที่จริงอิสตรีที่มารดาหมั้นหมายให้กับลิ้มไท้เพ้งนับว่าสะคราญยิ่ง
มีวิชาฝีมือสูงส่งยิ่ง
นามของนางเง็กเหล็งล้ง!
เนื่องเพราะเหตุเยี่ยงนี้ลิ้มไท้เพ้งจึงได้แต่หลีกหนีจากมา  เนื่องเพราะมันสำนึกว่าตนเองมิอาจมีที่ใดที่สามารถเทียบกับนางได้จึงหนีจากมา  มันได้แต่อธิบายต่อนาง
“เป็นเราไม่คู่ควรกับท่านต่างหาก และผู้ที่เสื่อมเสียหน้าก็คือเรา หาใช่ท่านไม่”
อิสตรีที่บุรุษเพศต้องการย่อมมิใช่อิสตรีเยี่ยงเง็กเหล็งล้ง  ความงามย่อมมิใช่เป็นสิ่งที่บุรุษเพศชมชอบเสมอไป
“งามสะคราญจะมีประโยชน์ใด  ตอนที่บุรุษเลือกสตรี หาใช่เพียงเพ่งพิศใบหน้านางเท่านั้น”
“ต้องดูว่านางอ่อนโยนนุ่มนวล รู้จักเอาอกเอาใจสามีหรือไม่  มิเช่นนั้นต่อให้นางงามสะคราญปานเทพธิดาหยาดฟ้า  ก็ไม่เป็นที่ชมชอบของผู้อื่น”
ให้มันแต่งงานกับอิสตรีที่เข้มแข็งกว่ามันทุกประการ ไยมิใช่สร้างความลำบากใจให้กับลิ้มไท้เพ้งอย่างยิ่ง  ลิ้มไท้เพ้งจึงได้แต่หนีจากมา
มันต้องหนีจากอ้อมอกของมารดาเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับตนเอง  เพื่อให้ตนเองแปรเปลี่ยนเป็นบุรุษเพศอย่างแท้จริง  แปรเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว  เนื่องเพราะมันมีความเห็น
บุรุษผู้หนึ่งพอเติบใหญ่  สามารถท่องเที่ยวที่เบื้องนอกเพียงลำพัง เพาะพูนประสบการณ์แก่ตนเอง  นับว่ามีคุณค่าต่ออนาคตมันอย่างยิ่ง
ทรัพย์สมบัติทั้งมวลจึงมิใช่เป็นสิ่งที่ลิ้มไท้เพ้งปรารถนาจะได้มาครอบครอง  และย่อมมิใช่เป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดในชีวิต  แต่สิ่งที่มันต้องการมิว่าผู้ใดก็มิอาจให้แก่มันได้  นอกจากตัวของมันเอง  สิ่งที่ลิ้มไท้เพ้งต้องการคือ อิสรเสรี ความรักและความสุขสราญ อันทรัพย์สินเงินทองที่มิว่าบิดาหรือมารดาของมันมีอยู่ก็ย่อมมิอาจแลกเปลี่ยนมาได้แม้แต่น้อย  สิ่งที่สามารถแลกเปลี่ยนได้มีแต่ความเชื่อมั่นและความจริงใจของมันเท่านั้น
ท่านหากต้องการอิสรเสรี ความรักและสุขสำราญ  มีแต่ใช้ความเชื่อมั่น การตกลงใจและความจริงใจเข้าแลกมา
เยี่ยงนี้--มีแต่เคหารุ่มรวยและสหายของมันและตัวของมันเองเท่านั้นที่สามารถทำให้ชีวิตของมันสุขสำราญได้!
นี่คือชีวิตและความปรารถนาของลิ้มไท้เพ้งที่อ้วยฮูหยินและพญามังกรแดนดินมิเคยเข้าใจมัน

สี่ - เฮ้งต๋งหรือเฮ้งปุกต๋ง
มีแต่คนตายที่ไม่เคลื่อนไหว  มันแม้มิใช่คนตายแต่กลับไม่ได้เคลื่อนไหวกว่าคนตายมากนัก  แม้ว่ามันจะมีชื่อเฮ้งต๋งที่แปลว่าเฮ้งเคลื่อนไหวก็ตาม
ในสายตาของผู้คนที่พบเห็นมัน  มันสมควรเรียกเป็นเฮ้งปุกต๋ง--เฮ้งไม่เคลื่อนไหวจึงถูกต้อง
ที่แท้มันสมควรเรียกเป็นเฮ้งต๋งหรือเฮ้งปุกต๋ง?
หากเฮ้งต๋งมิคิดเคลื่อนไหว  ต่อให้ทองคำแท่งจำนวนสักเท่าใดหล่นจากฟ้าต่อหน้ามัน  มิว่าผู้ใดต้องหยิบฉวยมันกลับไม่เคลื่อนไหวไม่หยิบฉวย  ต่อให้โฉมสะคราญอันดับหนึ่งของแผ่นดินมาเปลื้องอาภรณ์แอบอิงในอ้อมอกมัน  มันยังคงไม่เคลื่อนไหว
มันไม่เคลื่อนไหวก็แล้วกันไป  แต่คราใดที่มันเคลื่อนไหว ถึงกับแตกตื่นสะท้านโลก
คราใดที่มันยินยอมเคลื่อนไหว?
เฮ้งต๋งอาจเคลื่อนไหวตีลังกาถึงสามร้อยแปดสิบสองทอดโดยมิหยุดยั้งเพียงเพื่อให้ทารกชายที่เพิ่มสูญเสียมารดาได้หัวร่อออกมาคราหนึ่ง
เฮ้งต๋งเคยเคลื่อนไหวเดินทางหนึ่งพันสี่ร้อยห้าสิบลี้ในเวลาสองวันสองคืนเพียงเพื่อได้พบหน้าสหายผู้หนึ่งเป็นครั้งสุดท้าย
เฮ้งต๋งเคยตะลุยค่ายโจรสี่แห่งภายในเวลาสามวันสามคืน  ประมือกับผู้คนสองร้อยเจ็ดสิบสี่คน สังหารศัตรูหนึ่งร้อยสามคน  เพียงเพราะแก๊งโจรเหล่านั้นปล้นฆ่าชาวนาสมถะฉุดค่าดรุณีไปสามนาง  โดยที่มันมิเคยรู้จักชาวนาและดรุณีเหล่านั้นแม้แต่น้อย
แต่ในยามที่ผู้คนถ่มน้ำลายรดใบหน้ามัน  ข่มเหงรังแกมัน
หยิบยื่นทรัพย์สินเงินทองแก่มัน
เฮ้งต๋งกลับกลายเป็นเฮ้งปุกต๋ง-- ปุกต๋งที่แปลว่าไม่เคลื่อนไหว
ผู้คนทั่วไปย่อมเห็นมันเป็นคนแปลกประหลาดยิ่ง
ในสายตาของบุคคลทั่วไป  เฮ้งต๋งนับว่ามีพฤติกรรมที่สุดจะทนทานอย่างยิ่ง
ภายในเคหารุ่มรวยของเฮ้งต๋งมิมีทรัพย์สินใดๆ นอกเหนือจากเตียงใบหนึ่ง
เตียงใบหนึ่งที่มิได้เป็นเพียงที่หลับนอนของมันเท่านั้น  แต่ยังเป็นทั้งห้องรับแขก เป็นสวนดอกไม้และเป็นโต๊ะอาหารของมัน  เตียงของเฮ้งต๋งจึง “มัน” กว่าเขียงในครัวเสียอีก  ทั้งอาจยังมีเศษอาหารหลงเหลืออยู่บนเตียงคล้ายเศษเนื้อติดเขียงอยู่ไม่น้อยเสมอ
กระนั้นเฮ้งต๋งกลับมิเคยคิดลงจากเตียง  และมิเคยคิดปัดกวาดเตียงนอนของมันให้ดูสะอาดขึ้นแม้แต่น้อย
ท่านว่าเฮ้งต๋งนับเป็นคนแปลกประหลาดหรือไม่?
ในสายตาของก๊วยไต้โล่ว อี้ฉิก และลิ้มไท้เพ้ง  มันแม้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง  แต่ก็กลับน่าคนหาอย่างยิ่งเช่นกัน  เยี่ยงนี้เพียงก๊วยไต้โล่วและพวกเดินทางเข้ามายังเคหารุ่มรวยของเฮ้งต๋ง  พวกมันกลับมิมีผู้ใดคิดจากไปแม้แต่คนเดียว
ก๊วยไต้โล่วและพวกกลับยึดถือเฮ้งต๋งเป็นสหาย!
ไยก๊วยไต้โล่วและพวกมิใช่คนแปลกประหลาดเยี่ยงเดียวกัน?
ผู้คนจำพวกหนึ่งที่ยามมีผู้หยิบยื่นทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาลให้กลับไม่เคลื่อนไหว  แต่ในยามที่พบเห็นผู้คนเดือดร้อนกลับทะยานเข้าช่วยเหลือ  ท่านว่าใช่เป็นคนแปลกประหลาดหรือไม่?


ก๊วยไต้โล่วมีความลับ  อี้ฉิกกับลิ้มไท้เพ้งก็มีความลับ
ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนมีความลับ
เฮ้งต๋งย่อมนับเป็นคนผู้หนึ่ง
เฮ้งต๋งย่อมเป็นผู้ที่มีความลับด้วยผู้หนึ่ง
เพียงแต่ในระหว่างสหาย  ความลับใดที่สหายมิได้บ่งบอกออกไป  พวกมันล้วนไม่ซักถาม  พวกมันเพียงยึดถือ  หากมันยินยอมนับผู้ใดเป็นสหายมันย่อมเชื่อในสหาย
มิว่าสหายจะเป็นเยี่ยงไรมันย่อมยังคงเป็นสหาย
ทั้งนี้เนื่องจากพวกมันเพียงเชื่อถือ  แม้สหายจักมีความลับใด มีความเป็นมาหรือพื้นเพเบื้องหลังเป็นอย่างไร  มันยังคงเชื่อว่าสหายของมันย่อมไม่มีพฤติกรรมใดที่นับเป็นเรื่องละอายต่อมโนธรรมของตนเอง
พวกมันเมื่อยอมรับกันและกันเป็นสหาย พวกมันย่อมมีความเชื่อมั่นในระหว่างกัน  เชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์ของกันและกัน
ในความคิดของพวกมัน
ข้าพเจ้าไยต้องขุดคุ้ยความลับของบุคคลอื่น?  ความลับบางประการสุดที่ท่านจะขุดค้นทราบได้  แต่เมื่อถึงเวลา ท่านแม้ไม่ขุดคุ้ยก็ทราบเอง
เยี่ยงนี้-- เมื่อเป็นความลับของสหาย  พวกมันจึงได้แต่ยินยอมรับรู้เมื่อสหายของมันยินยอมบ่งบอกออกมาเท่านั้น
ในที่สุด เฮ้งต๋งก็ยินยอมบอกเรื่องราวความหลังของตนออกมา
ยินยอมบ่งบอกความลับของตนออกมา
“เนื่องเพราะเราคือพญาอินทรีเหินฟ้า”
พญาอินทรีเหินฟ้าที่เป็นหนึ่งในห้ากลุ่มคนที่ไม่นับว่ามีพฤติกรรมไม่ดีไม่งามกลุ่มหนึ่ง
เจ่กปวยชงเทียนป่าเอ็งอ้วง-- พญาอินทรีเหินฟ้า
กิ่วโค้วกิ่วลั้งอั้งเนี้ยจื้อ-- นางพญาแดงสลายทุกข์
โชยชิ่วโชยงั่วโง้วกังซิ้ง-- จ้าตะขาบพันกรพันตา
เจ่กเกี่ยงซังจงซุยเมี่ยฮู้-- ยันต์คร่าวิญญาณ พบพานชีวันดับสูญ
บ้อคงปุกยิกเชียะเลี่ยงจั้ง-- อสรพิษด้ายแดงแทรกซึมทุกแห่งหน


“เฮ้งต๋งหาใช่ไม่ชมชอบเคลื่อนไหวมาแต่กำเนิด
เมื่ออายุยังเยาว์  เฮ้งต๋งมิเพียงชมชอบเคลื่อนไหว  ทั้งยังเคลื่อนไหวอย่างเหลือร้ายนัก”
เมื่อมันมีอายุมากขึ้น  ย่อมชมชอบเคลื่อนไหวมากยิ่งขึ้น  จากที่เคยออกจากบ้านเที่ยวท่องไปทั้งวันและกลับบ้านในภายในวันเดียว  มันกลับกลายเป็นสองสามวันกลับบ้านครั้งหนึ่ง  และในที่สุดเมื่อมันเป็นหนุ่มอายุสิบเจ็ดปี  มันจึงตัดสินใจออกจากบ้านท่องเที่ยวไปในโลกกว้างคิดเป็นจอมยุทธ์
และนั่นย่อมหมายถึงมันได้พบกับนางพญาแดงสลายทุกข์ที่เข้ามาสอดแทรกในความรู้สึกว้าเหว่เดียวดายของคนจากบ้านผู้หนึ่งของมัน
นับเป็นการเริ่มชีวิตที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานอย่างยิ่งของคนผู้หนึ่ง
มันเพียงทราบว่า
“ลูกผู้ชายชาตรีพอกำเนิดขึ้น  สมควรทดลองกระทำทุกเรื่องราว”
“คนผู้หนึ่งยามมีชีวิตต้องมีเงินทอง และมีชื่อเสียง  เนื่องเพราะคนมีชีวิตอยู่เพื่อเสพย์สุข”
เพื่อให้ตนสามารถมีชื่อเสียง  มีทรัพย์สินเงินทอง  เฮ้งต๋งกลับไม่คำนึงถึงการกระทำทุกเรื่องราว
เพียงอายุไม่ถึงยี่สิบปี  เฮ้งต๋งก็กลับกลายเป็นพญาอินทรีเหินฟ้าอันเลื่องชื่อ  สวมใส่อาภรณ์หรูหราทรงค่า  ดื่มสุราชั่งละสามตำลึง
เฮ้งต๋งกระทำเรื่องเหลวแหลกมากหลาย แต่กลับกลายเป็นมีชื่อเสียงอย่างคาดไม่ถึง
คนผู้หนึ่งคิดกระทำแต่เรื่องเหลวแหลกมากหลาย  กลับกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงอย่างคาดไม่ถึง-- ไฉนสามารถเป็นได้เยี่ยงนี้
หรือชื่อเสียงของคนผู้หนึ่งกลับสามารถเสาะแสวงหามาได้โดยมิคำนึงถึงความผิดชอบชั่วดีใดๆ ทั้งสิ้น
หรือคนจำพวกหนึ่งเพียงสามารถสร้างภาพพจน์ตนเองเป็นผู้กล้า เป็นวีรบุรุษ หรือเป็นจอมยุทธ์  แม้พฤติกรรมจักเหลวแหลกประการใด  จะกระทำในสิ่งชั่วร้ายไม่ดีงามหรือผิดต่อมโนธรรมของตนเองสักแค่ไหน  ผู้คนจำพวกนี้ยังคงมีชื่อเสียงลือเลื่อง  เป็นที่ยกย่องนับหน้าถือตาของผู้คนในสังคม
แม้กระทั่งสามารถเป็นคนดีของสังคม  เป็นบุคคลตัวอย่างในสังคม!
เฮ้งต๋งในขณะนั้นความจริงย่อมสามารถเสพย์สุขได้อย่างเต็มที่  มันสมควรพอใจจึงถูกต้อง  แต่ไฉนมันกลับเจ็บปวดรวดร้าวใจ กลัดกลุ้มรำคาญมากขึ้นตามลำดับ
นี่เนื่องเพราะมันมักไต่ถามตนเอง
“...เรื่องที่เรากระทำมา ถูกต้องสมควรหรือไม่?”
“...สหายที่เราคบหา เป็นมิตรแท้หรือไม่”
“...คนผู้หนึ่งนอกจากแสวงหาความสุขส่วนเอง  มิทราบสมควรคำนึงถึงเรื่องอื่นหรือไม่
เฮ้งต๋งพลันคิดเป็นบุคคลอันเที่ยงธรรม เป็นบุคคลอันเที่ยงธรรมที่ยามหลับนอนก็สามารถนอนตาหลับ มิต้องคอยหวาดหวั่นผวา
ในที่สุดเฮ้งต๋งจึงหลบหนีจากมา
หลบหนีจากพวกมาซ่อนตัวอยู่ในเคหารุ่มรวย
รับประทาน และหลับนอนอยู่บนเตียงใบเดียวโดยยากนักที่มันจะเคลื่อนไหว
กลายกลับเป็นเฮ้งปุกต๋ง-- ปุกต๋งที่แปลว่าไม่เคลื่อนไหว
คนผู้หนึ่งยินยอมละทิ้งวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขสบาย  มีชีวิตอยู่ในท่ามกลางทรัพย์สินเงินทองมหาศาล  มีผู้ใดบ้างสามารถกระทำเยี่ยงนี้ได้บ้าง?
เห็นมีแต่มุ่งแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง  มุ่งแสวงหาอำนาจความยิ่งใหญ่อย่างไม่รู้จักสิ้นสุด  โดยมิไยดีต่อคุณธรรมความดีงามใดๆ ทั้งสิ้น
เฮ้งต๋งแม้อาจเป็นเฮ้งปุกต๋ง- เฮ้งไม่เคลื่อนไหว  และบางครั้งกลับเป็นเฮ้งต๋ง- เฮ้งเคลื่อนไหว  แต่ในใจของมันไยมิใช่ยิ่งมายิ่งเคลื่อนไหวไปสู่ความไม่เคลื่อนไหว  ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจ ขื่อเสียง เหล่านี้ไยมิใช่เป็นสิ่งที่เฮ้งต๋งไม่ยินดีแสวงหา
มิเพียงแต่เฮ้งต๋งไม่ยินยอมแสวงหา  ก๊วยไต้โล่ว อี้ฉิก และลิ้มไท้เพ้ง ไยมิใช่ประพฤติตนเป็นผู้ไม่ไยดีทรัพย์สินเงินทอง อำนาจ ชื่อเสียงเยี่ยงเดียวกับเฮ้งต๋งด้วย
เยี่ยงนี้-- ชีวิตของพวกเขาจึงสำราญ
ระหว่างพวกเขาจึงมีแต่คุณธรรมน้ำมิตรเป็นสิ่งหล่อหลอมให้ผูกพันกันและกัน
มุ่งหวังรังสรรค์สิ่งที่ดีงามเพื่อกันและกัน
พวกมันเพียงมีความคิดประการเดียว
ยามมีชีวิตพวกเราก็อยู่ร่วมกันอย่างสุขสำราญ  หากแม้ต้องตาย พวกเราก็ขอตายร่วมกัน
นี่ย่อมต่างจากผู้คนอีกประเภทหนึ่งที่มั่วสุมรวมกันเพราะผลประโยชน์
เสแสร้งเป็นมีคุณธรรมน้ำมิตรเพียงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของกันและกัน !
ในหมู่พวกท่าน ขอเพียงมีความจริงใจต่อกันและกันครึ่งหนึ่ง
วันนี้ต้องยังมีชีวิตอยู่อย่างสุขสำราญ”
ธรรมะย่อมชนะอธรรม
คุณธรรมต้องชนะทรราช!
พลานุภาพที่ผนึกรวมรั้งคุณธรรมสหาย  ต้องเข้มแข็งกว่าอำนาจทมิฬ
ที่มั่วสุมรวมกันเพราะผลประโยชน์
ความยุติธรรมและน้ำมิตรจักดำรงคงอยู่คู่ฟ้าดินตลอดกาล”


ห้า- ความรัก ความแค้น ความจริงใจ

ระหว่างผู้คนไยมิใช่ล้วนมีความสัมพันธ์ระหว่างกันในรูปลักษณ์ใดรูปลักษณ์หนึ่ง  บางครั้งพวกมันอาจมีความรักความผูกพันระหว่างกันและกัน  บางครั้งไยมิใช่มีความแค้นระหว่างกัน  และบางครั้งสิ่งที่ผู้คนแสดงออกกลับดูคล้ายและมิคล้ายความจริงใจประการหนึ่ง
มีมิน้อยดูคล้ายกับเป็นความจริงใจและกลับกลายเป็นเพียงการเสแสร้ง
และมีไม่น้อยที่ดูคล้ายเป็นการเสแสร้งแต่กลับกลายเป็นเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ
บางครั้งดูคล้ายมีความรักซึ่งกันและกัน  แต่ในใจของพวกมันกลับเต็มไปด้วยความคับแค้นอาฆาตพยาบาทยิ่ง
และบางครั้งดูคล้ายกับเต็มไปด้วยความคับแค้นอาฆาตพยาบาท  แต่กลับเปี่ยมไปด้วยความรักที่ระอุคุกรุ่นยิ่ง
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนไยมิใช่นับว่าเป็นสิ่งแปลกพิสดารยิ่ง
โดยเฉพาะผู้คนในวงยุทธจักร!`


ระหว่างก๊วยไต้โล่วกับอี้ฉิก  ทั้งสองกลับมีความหลังความลับที่มิอาจบ่งบอกต่อกัน  เป็นอุปสรรคปัญหาความรัก  เนื่องเพราะทั้งสองอาจไม่แน่ใจในความรักและความจริงใจของกันและกัน  ดีที่เรื่องราวเหล่านั้นล้วนมิได้เกิดจากการกระทำของพวกมัน  ดังนั้น--ต่อเมื่อกาลเวลาได้พิสูจน์ความจริงใจของพวกมัน  ทั้งสองคล้ายเป็นผู้ที่มีความสุขมากกว่าผู้ใดทั้งสิ้น
อี้ฉิกคล้ายกับหวาดกลัวผู้อื่นไม่จริงใจต่อตน  หวั่นเกรงว่าผู้อื่นไม่ต้องการตน  ทั้งนี้เนื่องเพราะตนเป็นธิดาของบุคคลที่ชนชาวยุทธร่ำลือเป็นผู้โฉดชั่วยิ่งกว่าผู้ใดในแผ่นดิน
นางคล้ายกับไม่เคยไว้วางใจผู้ใด  ทั้งยังไม่เคยได้รับความจริงใจจากผู้ใด
นางคล้ายกับรอจนใกล้ตายจึงบ่งบอกความลับของตนต่อก๊วยไต้โล่ว  เพียงเพื่อให้สามารถตกตายไปด้วยความสุข
ก๊วยไต้โล่วเล่า--
ก๊วยไต้โล่วอาจอาจมีความลับความหลังที่ถูกอิสตรีนางหนึ่งซึ่งมันทุ่มเทความรักความจริงใจให้กับนาง  แต่มันกลับถูกนางทอดทิ้งไปกับผู้ชายอื่น  ก่อนพบกับอี้ฉิกและรู้ความจริงว่านางเป็นอิสตรีผู้หนึ่ง  มันอาจดูคล้ายกับเป็นบุรุษเพศผู้กรุ้มกริ่มใครจะลวงหลอกสตรีสักหลายนาง  แต่มันก็มิเคยลวงหลอกสตรีแม้แต่นางเดียว  เนื่องเพราะในสำนึกของมัน  ก๊วยไต้โล่วมิเคยมีความปรารถนาที่จะทำลายอิสตรีใด  แม้กระทั่งกับสตรีที่ทอดทิ้งมัน  มันอาจตำหนินางบ้างแต่มันก็มิเคยคิดทำลายนางแม้แต่น้อย
อย่าว่าแต่คิดจะทำลายชีวิตด้วยความโกรธแค้น  แม้กระทั่งจะกล่าวโทษให้ร้ายสตรีผู้นั้นมันยังมิเคยกระทำ
ก๊วยไต้โล่วขณะนั้นคล้ายกับไม่มีความจริงใจต่อสตรีใด  ยามอยู่เบื้องหน้าสตรี  มันคล้ายคิดและเล็มหาเศษหาเลยกับสตรีนั้น  คล้ายกับคิดแก้แค้นสตรีเนื่องเพราะตนเองเคยถูกสตรีหลอกลวง  แต่มันไม่เคยกระทำแม้สักครั้งเดียว
นี่เนื่องเพราะมันแม้จะเคยถูกอิสตรีลวงหลอก แต่ในใจของมันมิเคยคิดลวงหลอกอิสตรีใด  ที่มันรักมันล้วนแสดงความจริงใจของมันออกมา  เยี่ยงนี้- แม้ความรักระหว่างมันกับอี้ฉิกจะผ่านการทดสอบด้วยชีวิต ด้วยความเป็นความตาย  แต่ก็คล้ายกับไม่มีความคับแค้นทุกข์ทรมานใดๆ แม้แต่น้อย
ระหว่างมันกับอี้ฉิก- ความรักที่มันมีต่อนางจึงมิอาจมีสิ่งใดมาเปลี่ยนแปลงได้
มันยืนยัน--
เนื่องเพราะในใต้หล้า  มิมีสิ่งใดผันแปรความรักที่ข้าพเจ้ามีต่อนาง  แม้แต่ข้าพเจ้าเองก็ตาม
ความรักของก๊วยไต้โล่วจึงย่อมมิได้อยู่ที่ชาติตระกูลหรือทรัพย์สินเงินทองใด
ยิ่งมิได้อยู่ที่รูปโฉมของอิสตรี
แต่อยู่ที่ความรักความจริงใจที่มันทุ่มเทให้กับนางเท่านั้น
เป็นความรักความจริงใจที่ไม่อาจมีสิ่งใดมาผันแปรได้ แม้กระทั่งตัวของมันเอง
อี้ฉิกไยมิใช่เป็นเยี่ยงเดียวกัน
บุคคลเยี่ยงก๊วยไต้โล่วและอี้ฉิกเมื่อต่างยึดครองจิตใจซึ่งกันและกันจึงมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดกาล
ความรักของคนทั้งสองไยมิใช่สุขสมกว่าผู้อื่น  และไยมิใช่สามารถผ่านการทดสอบได้อย่างรวดเร็วกว่าผู้อื่น  แม้การทดสอบนั้นจะยากเข็ญสักเพียงไหนก็ตาม


ระหว่างลิ้มไท้เพ้งกับเง็กเหล็งล้งนับว่ายิ่งคับแค้นลำเค็ญมากกว่า  เนื่องเพราะระหว่างมันทั้งสองผูกติดอยู่กับความแค้นระหว่างตระกูลที่ยากซึ่งจะเลิกแล้วต่อกันได้
เป็นบุญคุณความแค้นซึ่งกลายเป็นความสัมพันธ์พิสดารที่เชื่อมโยงคนทั้งสองเข้าด้วยกัน  โดยที่ทั้งสองแม้จะรู้และเข้าใจเป็นอย่างดีก็ไม่อยากรับรู้  อยากจะลืมเลือนเรื่องราวเหล่านั้น
อยากจะลืมเลือนแม้กระทั่งตนเองว่าแท้ที่จริงแล้วตนคือใคร
ทั้งสองล้วนมีคำถามกับตนเอง
“เราเป็นใคร”
“มิมีผู้ใดทราบว่าเราเป็นใคร  แม้แต่เราเองก็ไม่คิดใคร่ทราบ”
คนผู้หนึ่งแม้กระทั่งตัวเองแท้จริงเป็นใครก็มิคิดใคร่ทราบ  ไยมิใช่ตนเองมีความคับแค้นใจอย่างยิ่ง
ไยมิใช่เรื่องราวแต่หลังล้วนสร้างความคับแค้นใจให้กับพวกมันอย่างยิ่ง?
ที่ลิ้มไท้เพ้งมิคิดจะทราบ  เนื่องเพราะมันทราบมันเป็นบุตรของพญามังกรแดนดิน
ที่เง็กเหล็งล้งมิคิดจะทราบ  เนื่องเพราะนางทราบเป็นบุตรีของศัตรูพญามังกรแดนดิน
เนื่องเพราะเง็กเหล็งล้งทราบ-- นางเป็นคู่หมั้นของลิ้มไท้เพ้งและเป็นศัตรูกับพญามังกรแดนดินที่เป็นบิดาของลิ้มไท้เพ้ง
ระหว่างตระกูลเง็กกับตระกูลลิ้มผูกพันความคิดมากว่ายี่สิบปี
เป็นความความอาฆาตแค้นที่รุนแรงยิ่ง
อาฆาตแค้นรุนแรงถึงขนาดที่พญามังกรแดนดินสาบานจะเข่นฆ่าตระกูลเง็กให้สิ้นซาก
ที่ลิ้มไท้เพ้งกับเง็กเหล็งล้งหมั้นหมายกันจึงมิได้เกิดจากความยินยอมพร้อมใจของบุคคลทั้งสอง  แต่เกิดจากความปรารถนาของคนแซ่อ้วยสองคนที่ต้องการคลี่คล้ายหนี้แค้นรายนี้
เป็นอ้วยฮูหยินที่เป็นภรรยาของพญามังกรแดนดินกับเจ๊ม่วยของนางที่ตกแต่งกับความตระกูลเง็ก
เป็นอ้วยฮูหยินที่เป็นมารดาของลิ้มไท้เพ้งกับเจ๊ม่วยของนางที่เป็นมารดาเง็กเหล็งล้ง
ที่ลิ้มไท้เพ้งหนีจากบ้านมาเป็นเพราะไม่เข้าจิตเจตนาของมารดามัน?
ที่แท้มันสมควรเข้าใจ  แต่ในความคิดเห็นของมัน  ชายหญิงคู่หนึ่งที่แต่งงานกันมิใช่เพื่อเหตุผลใดนอกเหนือความรัก
ยิ่งย่อมมิใช่เหตุผลเพียงเพื่อคลึ่คลายความแค้นของสองตระกูล  แต่กลับเพิ่มความคับแค้นใจให้กับคนอีกคู่หนึ่งตลอดชีวิต
มิหนำ ระหว่างมันกับพญามังกรก็คล้ายกับมีความคับแค้นต่อกัน
ลิ้มไท้เพ้งย่อมคับแค้นที่บิดามันทอดทิ้งให้มันอยู่เพียงลำพังกับมารดาโดยมิได้เหลียวแลแม้แต่น้อยนับตั้งแต่มันถือกำเนิดมาจนกระทั่งเติบใหญ่
เง็กเหล็งล้งก็เฉกเดียวกัน  นางความจริงมิคิดที่จะเป็นสะใภ้ตระกูลลิ้ม  นางกลับมีความเห็น- ตายด้วยน้ำมือของพญามังกรแดนดินกลับนับว่ามีเกียรติยิ่งกว่ามากนัก
แต่เมื่อความรักของทั้งลิ้มไท้เพ้งและเง็กเหล็งล้งก่อเกิดขึ้น  พวกมันกลับทราบว่า  แท้จริงความรักของผู้คนสองคนมิใช่เกิดขึ้นและเป็นไปเพื่อเป้าหมายอื่นใดนอกเหนือความรักซึ่งกันและกัน  ยิ่งมิสมควรยึดถือเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อสลายความแค้นของผู้คน
ความรักที่แท้ยิ่งมิใช่เป็นเพียงเพื่อคิดเอาชัยชนะระหว่างกัน
ความรักที่แท้กลับเป็นความเข้าใจกันอย่างลึกซึ้งระหว่างผู้คนสองคนที่มิว่าผู้ใดก็มิอาจอธิบายแทนได้
เยี่ยงนี้  ความรักระหว่างทั้งสองจึงลึกซึ้งยิ่ง  ตราตรึงยิ่ง  เป็นความรักที่ไม่มีจุดประสงค์อื่นใดทั้งสิ้นนอกเหนือความความรัก
สำหรับลิ้มไท้เพ้ง  เพราะเพื่อความรักที่มันมีต่อนาง  มันกลับยินยอมเสียสละทุกสรรพสิ่ง  เนื่องเพราะมันมีความเห็น- “เนื่องเพราะนางหากมีชีวิตอยู่  เราจึงมีชีวิตอยู่ได้” หากเง็กเหล็งล้งตายมันยินยอมตาย  โดยมิได้คำนึงว่านางจะยินยอมตายเพื่อมันหรือไม่
นางจะยินยอมกระทำเพื่อมันเพื่อพิสูจน์ความรักหรือไม่  สำหรับลิ้มไท้เพ้งแล้วมันกลับมิคิดคำนึง  เพราะมันถือว่านั่นย่อมเป็นเรื่องของนาง  แต่สำหรับมันแล้วมันยินยอม
ยินยอมพร้อมใจด้วยความเต็มใจยิ่ง  ยินยอมพร้อมใจโดยมิมุ่งปรารถนาสิ่งตอบแทนใดๆ จากนางทั้งสิ้น
เง็กเหล็งล้งไยมิใช่เฉกเดียวกัน
ความรักของทั้งสองย่อมมิได้มีเป้าหมายเพื่อคลี่คลายความแค้นของสองตระกูล  แต่เมื่อเป็นความรักที่แท้  เป็นความจริงใจระหว่างกันแท้จริง  ความอาฆาตแค้นทั้งมวลไยมิใช่สูญสลายไปด้วย
เป็นความรักที่แม้กระทั่งคนที่ไม่เคยรู้จักความรักที่แท้เยี่ยงพญามังกรแดนดินกลับกลายเป็นผู้คนที่มีความเป็น “คน” และเข้าใจในความเป็น “คน” ของผู้อื่น
สิ่งที่ทั้งสองปรารถนาจากความรักจึงมิใช่เพื่อสลายความแค้น  ยิ่งมิใช่เพื่อทรัพย์สินเงินทองที่พวกตนจะได้รับ
เป็นความปรารถนาที่มิมีผู้ใดมอบให้แก่พวกมันได้  นอกเหนือพวกมันจะมอบให้ซึ่งกันและกัน
เป็นความรักที่มีต่อกัน  เป็นความเข้าใจระหว่างกัน  และเป็นความจริงใจที่มีต่อกันอย่างแท้จริง


ระหว่างเฮ้งต๋งกับนางพญาแดงสลายทุกข์
ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองเริ่มต้นด้วยการลวงหลอกและหวังในผลประโยชน์จากกันและกัน  ไม่มีความจริงใจระหว่างกันแม้แต่น้อย  วันเวลาแห่งความรักของทั้งคู่จึงคล้ายกับคับแค้นทรมานยิ่งกว่าผู้ใด
นี่เนื่องเพราะความสัมพันธ์ของพวกมันมิว่าจะเป็นเยี่ยงไรล้วนเกิดจากการกระทำของของพวกมันเองทั้งสิ้น
บุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง  บางครั้งเพียงเพื่อให้ตนสามารถมีชื่อเสียง  เพียงเพื่อเสริมสร้างชื่อเสียงของตนให้กระเดื่องทั่ววงบู๊ลิ้ม  กลับไม่คำนึงถึงการกระทำทุกเรื่องราว
เฮ้งต๋งนับเป็นบุรุษหนุ่มประเภทนั้น
ในยามที่มันกำลังเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวยิ่ง  จิตใจเวิ้งว้างว่างเปล่ายิ่ง  มีความมุ่งมาดปรารถนาที่จะมีชื่อเสียงยิ่ง  เมื่อนางพญาแดงสลายทุกข์ปรากฏกายและหยิบยื่นสิ่งเปล่านั้นให้กับมัน  ทำให้มันไม่เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว  ทำให้จิตใจของมันคล้ายถูกเติมเต็ม  มันได้แต่รีบไขว่คว้าสิ่งที่นางหยิบยื่นให้โดยเร็ว
นางเข้าใจถึงความทะเยอทะยานของเฮ้งต๋ง รู้ซึ้งถึงความหม่นหมองตรอมตรมของเฮ้งต๋ง วาจาและพฤติการณ์ของนางจึงล้วนตอบสนองสิ่งที่เฮ้งต๋งขาดและปรารถนาทั้งสิ้น
นางพญาแดงนับว่ามีความสามารถใช้จุดอ่อนของเฮ้งต๋ง  ดึงตัวเฮ้งต๋งให้เป็นพวกของนางได้
แต่การกระทำของนางล้วนเกิดจากความจริงใจกระนั้นหรือ?
เยี่ยงนั้น  มันแม้มีอายุไม่ทันได้ยี่สิบปี  ด้วยวิชาฝีมือของมัน  เฮ้งต๋งกลับแปรเปลี่ยนเป็นพญาอินทรีเหินฟ้าอันเลื่องลือ  สำหรับมันแล้วนับเป็นเรื่องที่น่าปลาบปลื้มประโลมใจประการหนึ่งอย่างยิ่ง
แต่เรื่องที่น่าปลาบปลื้มใจเยี่ยงนี้กลับได้มาแล้วสลายไป
ชื่อเสียงเยี่ยงนี้แม้ได้มาอย่างรวดเร็วยิ่ง กลับสูญสลายรวดเร็วยิ่งเช่นกัน เนื่องเพราะชื่อเสียงลือเลื่องที่เฮ้งต๋งได้มากลับมิใช่สิ่งที่ควรกระทำ
ทรัพย์สินเงินทองที่ได้มามากมายกลับมิอาจให้มันสามารถมีความสุขแม้แต่น้อย
ความรักที่นางพญาแดงมอบให้มันกลับเป็นเพียงการแสดงออกเพื่อหวังผลประโยชน์ทั้งสิ้น
เฮ้งต๋งกลับทราบ ที่นางพญาแดงและพวกดีต่อตนกลับเพียงหวังพึ่งพาตนปกป้องคุ้มครองและแสวงหาผลประโยชน์ให้กับพวกมัน
นางพญาแดงเพียงลวงหลอกเพื่อใช้ประโยชน์จากมัน !
เยี่ยงนี้เทื่อนางพญาแดงสืบเสาะพบเฮ้งต๋งและพวก  ได้พบเห็นความสัมพันธ์และความจริงใจระหว่างกันของเฮ้งต๋งและสหาย  จิตใจของนางไยมิใช่ต้องไหวหวั่นอย่างยิ่ง  หวนนึกถึงความผิดพลาดครั้งเก่าก่อนอย่างยิ่ง?
แท้จริงนางพญาแดงก็เฉกเดียวกับเฮ้งต๋ง  สำนึกที่แท้จริงของนางเต็มไปด้วยความดีงามไม่แพ้เฮ้งต๋ง  แต่เพียงเพราะนางคบหาสหายที่เป็นเพียงผู้แสวงหาประโยชน์ซึ่งกันและกัน
คบหาสหายที่ไม่เคยเข้าใจความหมายของคำ “สหาย” อย่างแท้จริง
คบหาบุรุษเพศที่ไม่เคยเข้าใจคำ “ความรัก” ที่แท้จริง
วันเวลาของนางที่แท้จริงจึงล้วนผ่านไปด้วยความเงียบเหงาเปลี่ยวเปล่ายิ่ง หม่นหมองยิ่ง
ยามที่เฮ้งต๋งจากมานางจึงเริ่มเข้าใจ
ยามที่นางได้พบเห็นความสัมพันธ์ระหว่างเฮ้งต๋งและสหาย นางยิ่งเข้าใจ
“สิ่งลำค่าที่สุดในใต้หล้า  ทั้งมิใช่ชื่อเสียง และมิใช่ทรัพย์ศฤงคาร  หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคนต่อคน  หากท่านได้มา พึงทะนุถนอมไว้  อย่าได้สร้างความผิดหวังแก่ตนเองและผู้อื่น”
“เนื่องเพราะมีแต่บุคคลที่เคยสูญเสียความรัก  จึงทราบว่าน้ำใจควรคู่กับการถนอมกระไรปานนั้น  หากท่านสูญเสียมันไป ต้องเจ็บปวดรวดร้าวเพียงไร เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวปานไหน”
  เยี่ยงนี้เมื่อนางเสาะพบเฮ้งต๋ง  พบว่าเฮ้งต๋งคับแค้นนางอย่างยิ่ง
เฉยชาต่อนางอย่างยิ่ง!
นางพญาแดงถึงกับปลาบปลื้มใจอย่างยิ่ง  ทั้งนี้เนื่องเพราะนางทราบ-- ที่เฮ้งต๋งแสดงต่อนางเยี่ยงนั้นเนื่องเพราะมันไม่เคยลืมเลือนความสัมพันธ์ก่อนเก่าแม้แต่น้อย
เนื่องเพราะนางเริ่มเข้าใจ  เฮ้งต๋งนับว่ารักใคร่ตัวนางอย่างยิ่ง  หากมันไม่ดีต่อนางอย่างยิ่ง  มันก็เป็นเยี่ยงบุรุษอื่นๆ ที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตและจากไปโดยไม่ไยดี  และไม่โกรธแค้นชิงชังเมื่อนางคบหาบุรุษคนใหม่
นางพญาแดงจึงเข้าใจ-- “ท่านหากกรีดมีดใส่หน้าคนผู้หนึ่งอย่างลึกล้ำ  ใบหน้ามันต้องปรากฏแผลเป็นอยู่สายหนึ่ง  มิมีวันฟื้นคืนสู่สภาพเดิม  แผลหัวใจก็เป็นเฉกเช่นกัน...”
คนผู้หนึ่งไม่เคยมีความรักอย่างแท้จริง  ไม่เคยมีผู้ใดมอบความรักที่แท้จริงให้  หากมันทราบว่ามีคนแค้นมันเพราะมีความรักความจริงใจต่อมัน  ไยมิใช่ความปลื้มปีติอย่างยิ่ง
สำหรับนางพญาแดง เพียงแค่ทราบมีคนผู้หนึ่งมีความรักและความจริงใจต่อนางอย่างยิ่ง  ไยมิใช่ความสุข ความปลื้มปีติที่ควรค่าแก่การจดจำแล้ว?
สำหรับนาง  หากคิดอยู่กับมันด้วยความจริงใจ  จึงได้แต่อดทนและจำเป็นต้องอาศัยเวลาพิสูจน์ความจริงใจของตนให้มันเห็น
เนื่องเพราะข้าพเจ้าก็เป็นเฉกเช่นพญามังกรแดนดิน
มิทราบมาก่อนว่ารักแท้เกิดจากใจจริง  ไม่จำเป็นต้องดำเนินวิธีใดๆ
ท่านหากคิดใคร่ได้รักแท้จากผู้อื่น  มีแต่ใช้ความจริงใจของตนเข้าแลกมา”
ในที่สุดนางก็สามารถกระทำได้สำเร็จ  เนื่องเพราะเฮ้งต๋งที่ดูคล้ายคนไร้น้ำใจกลับเปลี่ยมล้นด้วยน้ำใจที่มีต่อผู้คน  เปี่ยมล้นด้วยความจริงใจต่อคนที่คนรักและสหายของตน
เป็นน้ำใจและความจริงใจที่แลกมาได้ด้วยน้ำใจและความจริงใจเยี่ยงกัน
พวกมันไยมิใช่มีความสุขอย่างยิ่ง


โก้วเล้งให้ข้อสรุป –
“เพชรต้องเจียระไนจึงเปล่งประกาย
ความรักและน้ำมิตรก็เป็นเฉกเช่นกัน
ความรักและน้ำมิตรที่ไม่อาจรับการทดสอบ  ก็เฉกเช่นดอกไม้กระดาษ  ทั้งปราศจากความหอมหวานของบุปผชาติ และไม่มีผลงอกเงย
ระหว่างก๊วยไต้โล่วกับอี้ฉิก  ลิ้มไท้เพ้งกับเง็กเหล็งล้ง  เฮ้งต๋งกับนางพญาแดง  ไยมิใช่ผ่านการเจียระไนเยี่ยงนี้  ชีวิตของพวกเขาจึงสุขสมยิ่ง
น่าเสียดายที่ผู้คนในโลกจำนวนไม่น้อยไม่เคยเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้  และไม่เคยคิดที่จะเข้าใจเรื่องราวเยี่ยง  กลับปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันผูกติดอยู่ชื่อเสียงวงศ์ตระกูล  อำนาจ แลทรัพย์ศฤงคารจนลืมเลือนความรักและความจริงใจระหว่างกันเสียสิ้น  พวกเขาแม้จะมีชีวิตอยู่อย่างคล้ายกับว่ามีความสุขสบายอย่างยิ่ง  แต่ไยมิใช่เต็มไปด้วยความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวยิ่ง
ผู้คนไม่น้อยดูราวกับว่ามีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขความสะดวกสบายอย่างยิ่ง
แต่พวกเขาใช่มีความ “สำราญ” หรือไม่?


หก- สุดลำเค็ญคือความตาย

ในชีวิตของคนผู้หนึ่ง  ทุกคนล้วนเข้าใจ-- สิ่งที่หวาดผวากลัวเกรงมากที่สุดไม่พ้น “ความตาย”
เมื่อมีหนทางให้เลือก  จะมีผู้ใดเล่าที่จักเลือกเดินหนทางตาย
ยิ่งคนผู้หนึ่งมีตัวเลือกระหว่าง “ทองคำ” และความตาย  ยิ่งคล้ายกับว่ายากนักที่จะไม่มีผู้ใดเลือกทองคำ!
ทองคำนับเป็นเยี่ยงไร?
ความตายนับเป็นเยี่ยงไร?
นับแต่โบราณกาลมา  มนุษย์ทุกรูปนามยากรอดพ้นจากความตาย
ความตายนับเป็นเรื่องน่าหวาดหวั่นสะพรึงกลัวที่สุด
ความหมายของมันคือท่านเสียชีวิตแล้ว ดับสูญสิ้นแล้ว นับแต่นี้ปราศจากความรู้สึกลำนึก  ไม่มีความหวังใด ๆ สังขารเลือดเนื้อของท่านจะเน่าเปื่อยโดยเร็ว  ชื่อแซ่ของท่านจะเลือนรางจากความทรงจำผู้คนภายในเวลาอันสั้น
ในใต้หล้ายังมีอันใดน่าสะพรึงกลัวกว่านี้อีก?
หากแม้ตายแล้วยังต้องลงนรก  ย่อมน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า
ทั้งนี้เนื่องเพราะผู้คนล้วนมิทราบ  ความตายนับเป็นเยี่ยงไร?
ความหมายของคำ ‘มิทราบ’ เป็นความน่าสะพรึงกลัวประการหนึ่ง  อาจบางทีเป็นเรื่องน่าพรั่นพรึงสุดยอดของมนุษยชาติ
คนที่หวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อความตาย  เนื่องเพราะมันมิทราบว่าความตายที่แท้เป็นรูปลักษณะเช่นไร
เนื่องเพราะผู้คนมิทราบ  ที่แท้หลังจากตายตนจักดำรงอยู่เยี่ยงไร ต้องประสบกับความยากลำเค็ญเพียงใด
เยี่ยงนี้มีผู้ใดเล่าที่ไม่เกรงกลัวความตาย
เฮ้งต๋งก็เกรงกลัวความตาย
ก๊วยไต้โล่ว อี้ฉิก และลิ้มไท้เพ้งก็เกรงกลัวความตาย
เมื่อพวกมันต้องเผชิญหน้ากับความตาย  รู้ว่าตนจักต้องตาย  แม้นปากมันจะเอ่ย--”ท่านมิต้องเกรงกลัว หากแม้นพวกเราเสียชีวิตจริง  ยังมีอันใดน่าพรั่นพรึง  หากแม้นพวกเรายังไม่ตาย ยิ่งมิต้องเกรงกลัวแล้ว” แต่ไยมิใช่  แท้ที่จริงมันนับว่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงยิ่ง
เพียงแต่พวกมันเมื่อเผชิญหน้ากับความตายคล้ายจักสามารถมีความหาญกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความตาย
นี่เนื่องเพราะอะไร?


นับแต่ลิ้มไท้เพ้งออกจากบ้าน อ้วยฮูหยินคิดสืบเสาะหามัน  แต่นางไหนเลยจะคาดคิดได้ว่า  ลิ้มไท้เพ้งที่มีชีวิตความเป็นอยู่สะดวกสบายตั้งแต่เล็กจักยินยอมใช้ชีวิตอยู่อย่างลำบากยากเข็ญใน “เคหารุ่มรวย” นางอาจสืบเสาะพบว่ามันมีสหาย!
สหายของมันเป็นก๊วยไต้โล่วและอี้ฉิก  นางได้แต่ใช้คนของนางสะกดรอยก๊วยไต้โล่วกับอี้ฉิก ได้แต่ใช้วิธีการต่างๆ เพื่อให้ก๊วยไต้โล่วกับอี้ฉิกบ่งบอกร่องรอยของลิ้มไท้เพ้งออกมา
อ้วยฮูหยินคิดพันธนาการพวกมันไว้  พวกมันกลับพันธนาการตนเองก่อนมิยอมจากไปเพื่อให้อ้วยฮูหยินสามารถสะกดรอยติดตามได้
อ้วยฮูหยินคิดใส่ยาพิษในอาหารใช้ความตายทดสอบพวกมัน  ก๊วยไต้โล่วและอี้ฉิกแม้หวั่นหวาดสะพรึงกลัวต่อความตาย  แต่พวกมันยินยอมตายโดยมิบอกร่องรอยของสหายออกมา  คิดใช้ทองคำสุกปลั่งเหลืองอร่ามมากมายมหาศาลสร้างความไหวหวั่นให้ทั้งสอง  แต่คนทั้งสองไฉนจะไหวหวั่นต่อทองคำเหล่านั้น?
มิว่าทรัพย์ศฤงคารจำนวนมหาศาล  ทัณฑ์ทรมานจะเจ็บปวดสักเพียงไหน  สำหรับก๊วยไต้โล่วกับอี้ฉิกแล้ว  คิดให้มันบ่งบอกร่องรอยสหายนับเป็นเรื่องยากยิ่ง  พวกมันยืนยัน- “คิดมีชีวิตสืบต่อหรือไม่เป็นเรื่องหนึ่ง  บอกหรือไม่บอกเป็นเรื่องหนึ่ง” คิดมีชีวิตสืบต่อเป็นเรื่องของมัน  แต่คิดบ่งบอกร่องรอยของสหายย่อมเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสหาย  เมื่อมิสมควรบ่งบอกออกไปเพื่อความปลอดภัยของสหาย  พวกมันมิยินยอมใช้สหายเป็นเครื่องต่อรองเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของตนเอง
มิยินยอมแลกสหายด้วยทองคำจำนวนหนึ่ง
ข้าพเจ้าเพียงทราบว่า  ทองคำต้องมีวันใช้หมดสิ้น
สักวันหนึ่งคนต้องตาย
แต่คุณธรรมและน้ำมิตรจะคงความเป็นอมตะตลอดกาลนาน
ในที่สุดอ้วยฮูหยินจึงทราบ  และภาคภูมิใจในบุตรชายของตน
ภาคภูมิใจที่บุตรชายของตนสามารถคบหาสหายที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมน้ำมิตรเยี่ยงเฮ้งต๋ง ก๊วยไต้โล่ว และอี้ฉิก  นางจึงบ่งบอกความจริงและยินยอมให้ลิ้มไท้เพ้งอยู่กับสหายของมันโดยมิสืบเสาะค้นหาต่อไป
ทั้งนี้เนื่องเพราะนางทราบ  ความตายแม้จักน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง  แต่บุคคลที่สามารถอดทนความทุกข์ทรมานก่อนตายที่นับว่าลำเค็ญยิ่งกว่า อีกทั้งสามารถอดทนต่อสิ่งที่สร้างความเย้ายวนใจสร้างความหวั่นไหวอย่างยิ่งได้  นับว่าลำเค็ญกว่าความตายมากนัก  นางได้แต่ยินยอมให้ลิ้มไท้เพ้งพำนักอยู่กับสหายของมัน

ตอนนี้เราทราบแล้วว่า สหายของมันมิเพียงยอมอดอาหาร  ยินยอมตายเพื่อมัน ยังปฏิเสธการเย้ายวนต่างๆ นานาเพื่อมัน  ซึ่งในสายตาของเรา  เหล่านี้ยังลำเค็ญกว่าความตายมากนัก
ความตายสำหรับผู้คนนับว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง  แต่เมื่อตายไปใช้สามารถลืมเลือนสิ้น  ความน่าสะพรึงกลัว ความหวาดหวั่น ความทุกข์ทรมานไยมิใช่จบสิ้นไปด้วย  แต่รสชาดของการอดอาหาร  รดชาติของความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน  รสชาดของความรู้สำนึกว่าที่แท้ตนเองยังมีชีวิตอยู่หรือตายจากไปแล้ว  ไยมิใช่สามารถเคี่ยวเข็ญผู้คนได้ยิ่งกว่า
ความเย้ายวนของทรัพยศฤงคารมากมายมหาศาลไยมิใช่สามารถสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงและเคี่ยวเข็ญผู้คนได้ยิ่งกว่า
สหายที่สามารถผ่านการเคี่ยวกรำเยี่ยงนี้ได้ไยมิใช่สหายที่แท้
มารดาผู้หนึ่ง เมื่อบุตรของตนสามารถมีสหายเยี่ยงนี้มีอันใดต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป
อ้วยฮูหยินจึงมิจำเป็นต้องสืบเสาะให้รู้ว่าบุตรชายตนพำนักอยู่ที่ใดอีกต่อไป


เจ็ด - คนก็คือคน--

เนื่องเพราะพวกเขาคือคน พวกเขาจึงสุขสำราญยิ่ง

คน -- มีผู้ใดสามารถให้คำอธิบายได้ว่าที่แท้คืออะไร
ระหว่างคน- มีใครสามารถบ่งบอกความสัมพันธ์ที่คนมีต่อคนได้ว่าควรเป็นเยี่ยงไร
ความสุขสำราญของคน- มีคนผู้ใดสามารถอธิบายได้ว่าเยี่ยงใดจึงสมควรนับเป็นความสุขสำราญที่แท้จริง
เหล่านี้ย่อมยากแก่การอธิบายให้ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้
ย่อมยากที่จะบ่งบอกออกมาเป็นคำพูด
แต่นับว่าไม่ยากที่จะบ่งบอกออกมาให้เข้าใจได้ด้วยพฤติกรรมของผู้คนประเภทหนึ่ง
เฮ้งต๋งและพวกคือผู้คนประเภทนั้น
เฮ้งต๋งและพวกอาจเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมน้ำมิตรระหว่างกันและเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีต่อผู้คน
ในเคหารุ่มรวยของพวกมัน  แม้จะมีชื่อ “รุ่มรวย” แต่พวกมันกลับยากจนทรัพย์ศฤงคาร  บางครั้งถึงกับอดอยากติดต่อกันหลายวัน  และบางครั้งพวกมันอาจสามารถดื่มกินอย่างสนุกสนาน  แต่ในเคหารุ่มรวยกลับมิมีทรัพย์สินใดที่แสดงว่าพวกมันรุ่มรวยแม้แต่น้อย
ผู้คนในเคหารุ่มรวยกลับยากจนเงินทอง
แต่พวกมันกลับรุ่มรวยความสุขอย่างยิ่ง  รุ่มรวยความสำราญอย่างยิ่ง
ระหว่างพวกมัน แม้บางครั้งจะมีความลับที่มิอาจบ่งอบอกต่อกันได้  แต่พวกมันล้วนเข้าใจในสหาย
พวกมันล้วนเข้าใจ มิว่าสหายจะเป็นเยี่ยงไร  สหายยังคงเป็นสหายตลอดกาล
มิว่าเป็นสถานที่ใด  หากมีสหายเยี่ยงนี้นับเป็นสถานที่ที่อบอุ่น เพียบพร้อมด้วยความสุขสำราญยิ่ง
สำหรับพวกมัน : -
...ขอเพียงมีสหาย  ต่อให้ห้องหับทรุดโทรมซ่อมซ่อกว่านี้  ก็หาเป็นไรไม่
เนื่องเพราะที่ซึ่งมีสหาย  มีความอบอุ่น เพียบพูนด้วยความสุข”
ที่ซึ่งปราศจากสหาย  ต่อให้สะสมเต็มไปด้วยทองคำ  ในสายตาพวกตน นั่นเป็นเพียงคุกคุมขังที่ก่อสร้างจากทองคำหลังหนึ่ง
ระหว่างคนรัก  ความรักของพวกมันย่อมมิได้งอกเงยขึ้นมาจากเหตุผลอื่นใด นอกจากความรัก  มิใช่เพราะชาติตระกูล  มิใช่เพราะผลประโยชน์  และมิใช่เพราะผู้อื่นเห็นว่าเหมาะสม  หรือมิใช่เป็นไปเพื่อมุ่งหวังผลประโยชน์อื่นใด
แต่ความรักของผู้คนย่อมก่อเกิดและเติบโตขึ้นเพียงเพื่อความรักความเข้าใจที่แท้จริง
ในความคิดของพวกมัน  ระหว่างผู้คนจึงมิใช่ทรัพย์สมบัติล้ำเลอ  ย่อมมิใช่ชื่อเสียง เกียรติยศ หรืออำนาจใดๆ ทั้งสิ้น  แต่กลับเป็นความเชื่อมั่น
ความเชื่อมั่นว่า - “ขอเพียงเป็นคน  ต้องมีมนุษยธรรมประจำใจ” จึงนับเป็นคนที่แท้
คนที่มิใช่เพียงมีชีวิตอยู่เพื่อตนเอง
คนหากคิดมีความสุขสำราญย่อมมิใช่เป็นคนที่คิดเพียงให้ตนเองมีความสุขสำราญเท่านั้น  แต่ย่อมเป็นคนที่คิดหวังให้ผู้อื่นมีความสุขสำราญ
คนผู้หนึ่งหากสามารถทำให้ผู้อื่นมีความสุขสำราญได้  ไยมันมิใช่ย่อมมีความสุขสำราญอย่างยิ่ง
แท้ที่จริงคนผู้หนึ่งมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
แท้ที่จริงคนผู้หนึ่งสมควรใช้ชีวิตตนเยี่ยงไร
มีผู้ใดสามารถรู้ซึ้งถึงคุณค่าและความหมายของชีวิตตนเองบ้าง?
มีผู้ใดทราบ:- ในโลกอย่างไรจึงสามารถนับว่ามีความรุ่มรวยอย่างแท้จริง
เคหารุ่มรวยที่ซ่อมซ่อหรือคฤหาสน์หลังใหญ่โอฬาร  ทองคำมูลค่ามหาศาล ชื่อเสียงเกียรติยศ
มีคุณธรรมน้ำมิตรและความรักผูกพันระหว่างผู้คน หรือมีอำนาจอันยิ่งใหญ่ให้ผู้คนยินยอมสยบ
ที่แท้คนผู้หนึ่งมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?
เรื่องราวของเฮ้งต๋งและพวกไยมิใช่บอกแก่พวกท่านแล้ว
“ตอนนี้ท่านคงทราบแล้วว่า  ทุกผู้คนมิได้เป็นเฉกเช่นท่านที่มีชีวิตอยู่เพื่อตนเอง  ในโลกยังมีเรื่องราวมากมายที่สำคัญยิ่งกว่าการมีชีวิตอีก”
คนผู้หนึ่งไยมีความคิดขอเพียงตนเองสามารถมีชีวิตอยู่  ไยมีความคิดเพียงเพื่อให้ตนสามารถเสาะแสวงหาทรัพย์สินเงินทองมูลค่ามหาศาล  ดิ้นรนเพื่อการมีอำนาจเหนือผู้อื่น  มุ่งแสวงหาให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศของตน  โดยมิคำนึงถึงว่าจะใช้ชีวิตของผู้อื่นสักเท่าไรแลกให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ
ในที่สุดสิ่งที่คนผู้หนึ่งได้มาเหล่านั้น  สามารถทำให้ชีวิตของพวกมันมีความสุขสำราญที่แท้จริงหรือไม่?
ในโลกมีเรื่องราวที่พึงกระทำมากมายกว่าการดิ้นรนเพื่อให้ตนสามารถมีชีวิตอยู่  แต่ไฉนมีน้อยคนนักที่คิดจะกระทำเรื่องราวเหล่านั้น
เรื่องราวที่มีคุณค่าและความหมายต่อชีวิตยิ่งกว่าการมีชีวิตอยู่
สำหรับตัวละครของโก้วเล้ง
ก๊วยไต้โล่ว เฮ้งต๋ง และพวก--แม้พวกมันยากจนอย่างยิ่ง“..แต่ยังสำราญรมย์  เนื่องเพราะพวกมันรู้ซึ้งถึงคุณค่าความหมายของชีวิต  วีรกรรมของพวกมันจึงบรรเจิดเพริศแพร้ว เปล่งประกายเจิดจ้าจำรัส” พวกมันจึงสมควรนับเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง
และมีวีรบุรุษที่แท้จริงเยี่ยงพวกมันเท่านั้น  จึงสามารถนับเป็นวีรบุรุษสำราญได้
“ผู้ใดว่าวีรบุรุษเงียบเหงา  วีรบุรุษของพวกเราล้วนสำราญ!”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ใดว่าวีรบุรุษเงียบเหงา วีรบุรุษที่แท้ล้วนสำราญ

“ร่างกายพวกเราแม้สกปรก  จิตใจกลับสะอาดสะอ้าน หากแม้นจิตใจคนผู้หนึ่งสกปรกโสมม  ต่อให้ใช้สบู่ฟอกวันละสิบครั้ง ยังไม่สะอาดหมดจด” “มีเหตุผล  ...