ยืนโดดเดี่ยวอ้างว่างใจวังเวง
บุญคุณความแค้นสลายกับหมอกควัน
คงเหลือแต่ความร้าวรานอ้างว้าง
ร่องรอยดั่งจอกแหนตามสายน้ำ
วีรกรรมคงอยู่คู่หทัย
ความรักความในใจฝากไว้ผู้ใด
(กระบี่กู้บัลลังก์ เนี่ยอู้เซ็ง/น. นพรัตน์ )
ผู้เป็นจอมยุทธ์มักเติบโตมากับความแค้น
ความคับแค้นที่บรรพบุรุษของตนถูกทำร้ายหักหลัง ถูกเข่นฆ่าสังหารชีวิต
ดูเหมือนกับว่า ความคับแค้นเยี่ยงนี้จะคล้ายกับเป็นความคับแค้นที่ยิ่งใหญ่ยิ่ง เป็นความคับแค้นที่ “จอมยุทธ์” จะต้องมุ่งมั่น “ล้างแค้น” ให้สำเร็จ มิว่าจะต้องสูญเสียใดๆ ไปสักกี่มากน้อยก็ตาม
“บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ”
นี่คือหลักการของชนชาวบู๊ลิ้มที่ทุกคนมิอาจละเลยได้ บุตรหลานที่ไม่กระทำการแก้แค้นหรือมิอาจแก้ค้นให้กับบรรพบุรุษได้ นับเป็นบุตรหลานอกตัญญูมิอาจสู้หน้าบรรพบุรุษในปรโลกได้
สามารถล้างแค้นได้นับเป็นฉันใด?
ประวัติศาสตร์อาจไม่มีบันทึกเรื่องราวบางเรื่องราวไว้ ทั้งนี้เพราะประวัติศาสตร์เป็นเพียงผลงานของคนจำนวนหนึ่งที่ยากนักจะไม่มีอคติได้ ผู้ใดบันทึกประวัติศาสตร์ มันผู้นั้นย่อมบันทึกเพียงแต่วีรกรรม ความดีงามของตนเองและพวกพ้องหรือสังกัดของตน ขณะเดียวกันกลับละเว้นที่จะกล่าวถึงความผิดพลาดชั่วร้ายที่ฝ่ายตนก่อขึ้น ควบคู่กับบันทึกทางประวัติศาสตร์จึงอาจมีตำนาน มีนิทาน หรือนิยายที่สะท้อนความจริงอีกด้านหนึ่งของประวัติศาสตร์
นี่จึงเป็นตำนานการเข่นฆ่าสังหารชีวิตและการทรยศหักหลังกันของคนของสองตระกูลที่ฟาดฟันทำลายล้างกันเพื่อแย่งชิงอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน
เป็นตำนานการต่อสู้แย่งชิงแผ่นดินจีนระหว่างจูหยวนจางกับจางสือเฉิงที่นับเป็นพี่น้องร่วมสาบาน และเป็นศิษย์ของหลวงจีนเผิงด้วยกัน อันสืบสานความแค้นต่อจนกระทั่งถึงรุ่นบุตรหลานของทั้งคู่กรณีและบริวารผู้จงรักภักดีในยุทธจักรนิยาย“กระบี่กู้บัลลังก์” ของเนี่ยอู้เซ็ง”
ในขณะนั้นแผ่นดินจีนอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์หยวนอันเป็นชาวมองโกล ราชวงศ์หยวนกำลังอ่อนแอลงตามลำดับ ชาวจีนจำนวนไม่น้อยต่างก็คิดที่จะต่อสู้ขับไล่มองโกลออกจากแผ่นดินจีน จึงได้มีการรวบรวมกำลังขึ้นต่อต้านมองโกลเกือบในทุกพื้นที่ สองพี่น้องจูหยวนจางและจางสือเฉิงต่างก็มีปณิธานมุ่งมั่นที่จะขับไล่มองโกลเยี่ยงเดียวกัน
แลมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นใหญ่เหนือผู้ใดในแผ่นดินเยี่ยงเดียวกัน
ระหว่างขอทานน้อยจูหยวนจางกับพ่อค้าเกลือจางสือเฉิงภายหลังเมื่อสามารถสะสมกำลังผู้คนจนกลายเป็นกองทัพใหญ่เพื่อทำสงครามขับไล่มองโกล และเพื่อให้สามารถตั้งตนเป็นใหญ่มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน เพื่อให้สามารถขึ้นนั่งบนบัลลังก์มังกรได้สำเร็จ ก็ได้แต่ต้องกำจัดคู่แข่งทางการเมืองของตน เยี่ยงนี้--ในที่สุดจางสือเฉิงที่อาจอ่อนด้อยเล่ห์เพทุบายกว่า โหดเหี้ยมน้อยกว่าจึงต้องพ่ายแพ้และถูกกำจัด เพาะความแค้นให้กับบุตรหลานสืบทอดต่อมา
อีกทั้งยังเพาะความแค้นให้กับบุตรหลานของตระกูลตนและตระกูลเหล่าบริวารผู้จงรักภักดีอีกด้วย!
เป็นความแค้นที่ดูเหมือนว่านอกจากมีชีวิตของศัตรูเป็นเดิมพันแล้ว ยังมีผลต่อความเป็นไปของประเทศชาติด้วย
ระหว่างจางตันฟงกับหวินเหลยจึงนับเป็นศัตรูคู่แค้นที่ยากจะปรับความเข้าใจกันได้
หนึ่งนั้นเป็นทายาทรุ่นหลังของจางสือเฉิง หนึ่งนั้นเป็นทายาทของตระกูลที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์หมิงของปฐมกษัตริย์จูหยวนจาง
แต่ระหว่างทั้งสอง--ระหว่างความแค้นที่บรรพบุรุษมอบให้กับความรักที่ก่อตัวขึ้นในภายหลังพวกเขาจักเลือกประการใด นี่ย่อมเป็นเรื่องยุ่งยากใจมากแล้ว
หนี้แค้นรายนี้จักคลี่คลายลงฉันใด?
ฝ่ายหนึ่งต้องการแก้แค้นราชวงศ์หมิงและยึดครองแผ่นดินจีนที่ราชวงศ์หมิงปกครองกลับคืนเป็นของราชวงศ์โจว อีกฝ่ายหนึ่งกลับจงรักภักดีและปกป้องราชวงศ์หมิงยิ่งชีวิต
หนี้แค้นรายนี้จักคลี่คลายลงฉันใด?
บันทึกประวัติศาสตร์ต้าหมิงย่อมมิอาจมีเรื่องราวเกี่ยวกับจางสือเฉิงผู้ตั้งตนเป็นฮ่องเต้ก่อตั้งราชวงศ์โจวขึ้นที่เมืองซูโจวมากไปกว่าการกล่าวถึงคู่แข่งทางการเมืองที่พ่ายแพ้ผู้หนึ่ง ยิ่งเรื่องราวบุตรหลานของจางสือเฉิงก็ยิ่งมิใช่เรื่องที่จักต้องกล่าวถึง เรื่องราวของทายาทตระกูลจางจึงเป็นเพียงตำนาน
เป็นตำนานที่ยากจะสืบค้นข้อเท็จจริงได้
เป็นตำนานที่ไม่มีความจำเป็นต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริง
เพียงแต่พฤติกรรมของผู้คนในตำนานและในนิยายเหล่านี้กลับสามารถให้ความจริงประการหนึ่งแก่ผู้คน
เป็นความจริงที่มิใช่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ แต่เป็นความจริงในด้านหนึ่งของมนุษย์พันธุ์หนึ่ง
มนุษย์ผู้กระหายในอำนาจ เกียรติยศ และชื่อเสียง !
มนุษย์ที่กระหายในทรัพย์สมบัติ!
ในยุทธจักรนิยาย...
ในระหว่างสงครามแย่งชิงอำนาจระหว่างจูหยวนจางกับจางสือเฉิง บุตรชายของจางสือเฉิงคนหนึ่งสามารถหลบลี้หนีภัยออกจากซูโจวได้ เพื่อให้สามารถมีชีวิตสืบต่อและหวนกลับคืนแก้แค้นตระกูลจู(และแย่งชิงอำนาจกลับคืน) มันจึงเดินทางสู่แดนมองโกล คิดรับราชการกับราชสำนักมองโกลสะสมกองกำลังเพื่อแย่งชิงแผ่นดินจีนกับราชวงศ์หมิง
เพียงเพื่อให้สามารถได้อำนาจกลับคืนและมีอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดิน มันกลับกระทำทุกวิถีทางคล้ายเป็นการยืมมือชาวต่างชาติเป็นมาแย่งชิงอำนาจให้กับตน
ภายหลังบุตรชายของจางสือเฉิงเสียชีวิตลง บุตรชายของมัน-จางจงโจว-แซ่จางที่เป็นเผ่าพันธุ์โจว ได้สืบทอดความแค้นและเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ มุ่งมั่นใช้กองกำลังชนชาวมองโกลเผ่าอัวลารบสู้แย่งชิงอำนาจคืนจากราชวงศ์หมิง
จางจงโจวแม้เพียรพยายามดัดแปลงบทกลอนเพื่อรำลึกถึงดินแดนที่ตระกูลของตนเคยครอบครอง
ผู้ใดร้องครวญคลอเพลงซูหั่ง ดอกบัวบานตระการทั่วสิบลี้ มิคาดแมกไม้ไร้สิ้นไมตรี แม่น้ำแยงซีเกียงโศกศัลย์นิรันดร์”
แต่นี่ย่อมเป็นเพียงการครวญคร่ำถึงความรุ่งเรืองในอดีตของตนเท่านั้น
เป็นปณิธานที่เป็นไปเพียงเพื่อให้ตนสามารถมีอำนาจทางการเมืองดังในอดีตเท่านั้น
แท้ที่จริงระหว่างจางจงโจวกับราชสำนักมองโกล ผู้ใดคิดใช้ใครเป็นเครื่องมือในการล้มล้างราชวงศ์หมิงเพื่อความเป็นใหญ่ในแผ่นดินจีนอีกครั้งหนึ่ง
ความแค้นในใจของมนุษย์ยิ่งใหญ่ปานนี้หรือ?
หรือแท้ที่จริง ความกระหายในอำนาจกลับเป็นความกระหายที่ใหญ่ยิ่งกว่าความแค้นระหว่างผู้คนเสียอีก
เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ไยมิใช่พยายามที่จะกระทำทุกวิถีทาง มิว่าการกระทำเยี่ยงนั้นจะผิดหลักแห่งคุณธรรมเยี่ยงไร มิว่าการกระทำเยี่ยงนั้นจะทำลายล้างเลือดเนื้อและชีวิตผู้คนไปมากน้อยเพียงไหน ทำลายเกียรติภูมิของชาติบ้านเมืองขนาดไหน พวกมันกลับยินยอมกระทำโดยมิได้ละอายแก่ใจแม้แต่น้อย
ผู้มุ่งมาดปรารถนาที่จะมีอำนาจทางการเมืองไม่ว่ายุคสมัยใด แผ่นดินใด ไยมิใช่เป็นเช่นนี้?
เพียงเพื่อให้ตนสามารถมีอำนาจทางการเมืองอยู่ในมือ ทุกประการล้วนสามารถกระทำได้ทั้งสิ้น
เมื่อยามได้ในอำนาจ พยายามกระทำทุกวิถีทางเพื่อให้อำนาจนั้นอยู่กับตนและพวกพ้องได้ยาวนานที่สุด เมื่อยามอำนาจหลุดลอยจากไปก็พยายามทุกวิถีทาง ใช้ทุกวิธีการเพื่อให้สามารถได้อำนาจนั้นกลับคืนมา
คุณธรรมความดีงามใดๆ ในสายตาของผู้คนประเภทนี้ย่อมมิมีใดที่ควรค่าแก่การยึดถือมากไปกว่าความสามารถในอันที่จะได้ครองอำนาจ
คำ “เพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อประชาชน และเพื่อส่วนรวม” ที่ออกจากปากพวกมันไยมิใช่เป็นเพียงคำกล่าวเพื่อให้ดูดีในสายตาของผู้คนชาวโลกเท่านั้น
ทายาทจางสือเฉิง- จางจงโจวไยมิใช่เป็นเยี่ยงนี้?
ในยุทธจักรนิยาย...
หวินเจิ้งนับเป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์หมิง
มันสามารถนับเป็นขุนนางที่ดีคนหนึ่ง
เป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองผู้หนึ่ง
เป็นความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองที่อย่างน้อยกลับสามารถทำให้จางจงโจวแปรเปลี่ยนความคิดของตนได้ในระดับหนึ่ง
หวินเจิ้งนับเป็นราชทูตที่ราชวงศ์หมิงส่งไปเพื่อเจรจาสงบศึกกับข่านอัวลา ซึ่งเป็นชนเผ่ามองโกลที่มีอำนาจเหนือชนเผ่ามองโกลอื่นๆ ในยุคสมัยนั้น
จางจงโจวที่แค้นราชวงศ์หมิงอย่างรุนแรงถึงกับจับมันไปเลี้ยงม้าอยู่ในดินแดนตอนเหนืออันเยียบเย็นยิ่งนับเวลาได้ยี่สิบปี
มีผู้ใดบ้างที่ไม่คับแค้น?
น่าเสียดายที่หวินเจิ้งนำเอาความแค้นส่วนตัวนี้มาผูกมัดกับความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง
ความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองที่บางครั้งมันไม่สามารถแยกออกจากความจงรักภักดีต่อราชวงศ์หมิงได้
ความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองที่บางครั้งมันยึดถือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความจงรักภักดีต่อราชวงศ์หมิง
ในสายตาของหวินเจิ้ง ตระกูลจางมิเพียงมีความแค้นเป็นการส่วนตัวกับตนเท่านั้น แต่นับเป็นศัตรูของราชวงศ์หมิงและแผ่นดินจีนอีกด้วย
ยี่สิบปีมานี้ เราได้รับความลำบากนานัปการ กลางทะเลทรายไร้น้ำดื่ม บางครั้งต้องดื่มปัสสาวะม้าดับกระหาย เมื่อย่างเข้าฤดูฝน ต้องกัดหิมะเคี้ยวน้ำแข็ง นี่ยังไม่นับเป็นอย่างไร ที่น่าแค้นยิ่งกว่าคือ เดียรัจฉานนั้นส่งคนมาดูเรา ด่าประณามฮ่องเต้ต้าหมิงต่อหน้าเรา มันไม่ฆ่าเรา เพียงหยามเหยียบย่ำเรา”
มันได้แต่สั่งเสียให้บุตรหลานของมันแก้แค้นตระกูลจาง
“...ความแค้นนี้หากบุตรชายเราล้างไม่ได้ ก็ให้หลานเราชะล้าง สำหรับตระกูลจาง ต่อให้จางจงโจวตายไป มันก็มีทายาท ทายาทของมันต้องชดใช้กรรมแทนมัน...ขอเพียงพบสายเลือดของจางจงโจว ไม่ว่าเป็นบุรุษสตรีชราเยาว์วัย ต้องฆ่าพวกมันให้หมดสิ้น”
ความอาฆาตแค้นของผู้คนไยกลับลึกล้ำถึงเพียงนี้
หรือความแค้นนี้มิอาจคลี่คลายได้?
(2)
“ร่ำร้องเพลงดังในความโศกศัลย์
ดั่งราวสดับเสียงฆ่าฟัน
โก้วเจี้ยนสิ้นชาติไม่สิ้นปณิธาน
อู่จื่อซีหวนไห้นานเจ็ดวัน
ประเทศย่อยยับถึงคราอับจน
บุกป่าฝ่าดงผจญเสือร้าย
ในอกสั่งสมความแค้นยิ่งใหญ่
มิยอมให้ชาติล่มแผ่นดินทลาย”
(เนี่ยอู้เซ็ง/น. นพรัตน์ กระบี่กู้บัลลังก์)
คนผู้หนึ่งเมื่อมีโอกาสได้ครองอำนาจ ได้ลิ้มรสของการมีอำนาจ มีลาภ มียศถาบรรดาศักดิ์ ไยมิใช่ความคิดและจิตใจของมันแปรเปลี่ยนไป
บางครั้งถึงกับสามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นเหมือนคนละคน
ยามมีอำนาจก็ไม่อยากให้อำนาจหลุดลอยไปจากตน
อยากให้บุตรหลานและพวกพ้องบริวารของตนสามารถสืบทอดอำนาจนั้นต่อไปตราบนานเท่านาน
และในยามที่อำนาจหลุดลอยจากไป ไยมิใช่ล้วนพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้สามารถช่วงชิงอำนาจนั้นกลับคืนมา
ระหว่างจางสือเฉิงกับจูหยวนจางไยมิใช่คนประเภทนี้ ?
จางสือเฉิงสถาปนาราชวงศ์ต้าโจว คิดให้ต้าโจวของตนสามารถครอบครองผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลมีอายุยืนยาวชั่วกาลนาน บุตรหลานสืบทอดอำนาจรุ่นแล้วรุ่นเล่า ทั้งนี้เนื่องเพราะมันความจริงพบว่า เพียงระยะเวลาที่ได้อำนาจมาไม่นานนัก วิถีชีวิตของมันเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ทรัพย์สมบัติมหาศาลมันล้วนได้มาครอบครอง
จากชายหนุ่มยากแค้นที่ต้องดำรงชีวิตให้อยู่รอดได้ด้วยอาชีพพ่อค้าเกลือเถื่อน ยามมีอำนาจไยมิใช่เป็นความสุขสมหวังเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับจูหยวนจาง- จูหยวนจางอาจสถาปนาราชวงศ์หมิงขึ้นภายหลังต้าโจว แต่เนื่องเพราะจูหยวนจางมีกำลังที่เข้มแข็งกว่า เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติ“หน้าด้านใจดำ”ยิ่งกว่า ดังนั้นแผ่นดินจีนอันกว้างใหญ่ไพศาลจึงตกอยู่ภายใต้อำนาจของตระกูลจู อีกทั้งตระกูลจูก็สามารถครองอำนาจอยู่ได้อย่างยาวนานมากกว่า
จางสือเฉิงสิ้นอำนาจ กลับมุ่งหวังให้บุตรหลานของตนสามารถฟื้นฟูอำนาจที่ตนเคยมีขึ้นมาอีกครั้ง
ในขณะที่จูหยวนจางเมื่อสามารถครองอำนาจได้สำเร็จ ก็ได้แต่พยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้สามารถครองอำนาจนั้นให้ยาวนานที่สุด ในทัศนะของฮ่องเต้ราชวงศ์หมิง ผู้ที่เป็นศัตรูทางการเมืองของตนย่อมเป็นตระกูลจาง
เป็นตระกูลจางที่ถูกนับเป็นมหาโจร!
เป็นตระกูลจางที่มีศํกยภาพพอที่จะล้มล้างราชวงศ์หมิงได้ จูหยวนจางที่เป็นบรรพบุรุษฮ่องเต้หมิงจึงได้แต่มีพระบัญชาบุตรหลานของตน “กำจัดทายาทตระกูลจาง ค้นหาที่ซ่อนขุมทรัพย์ของจางสือเฉิง” แล้วแผ่นดินจีนจะสงบมั่นคง อายุของราชวงศ์หมิงก็จะยืนยาวสืบไป
ผู้ที่อำนาจหลุดลอยพยายามดิ้นทวงถามอำนาจของตนกลับคืน
ผู้ที่ครองอำนาจอยู่ ก็พยายามรักษาอำนาจของตนให้คงอยู่ด้วยวิธีการต่างๆ นานา
เยี่ยงนี้นี่ไยมิใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในทุกยุคสมัย และจะเกิดต่อไปอีกในเบื้องหน้าอันไกลโพ้น
“จูแค้นจาง จางแค้นโจว” นี่ไยมิใช่ความคับแค้นระหว่างตระกูลที่ลึกซึ้งยิ่ง?
ตระกูลจูกลัวตระกูลจางแย่งชิงอำนาจกลับคืน ตระกูลจางคับแค้นตระกูลจูคิดแก้แค้นและฟื้นฟูอำนาจตน และเนื่องเพราะความอาฆาตแค้นการแย่งชิงอำนาจของทายาทสองตระกูลนี้ กลับเพาะความแค้นให้เกิดขึ้นกับผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย
มิหนำเนื่องเพราะความแค้นนี้ กลับสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนที่มิได้เกี่ยวข้องใดๆ อีกเป็นจำนวนมหาศาล
เมื่อใดเล่าความแค้นจักสูญสลาย
เมื่อไรที่เพลิงแค้นจัดสงบและมอดดับลง?
จางตันฟง-ทายาทรุ่นที่สามของจางสือเฉิงหลบหนีจากดินแดนชนเผ่าอัวลา(มองโกลเผ่าหนึ่ง)กลับสู่ดินแดนตงง้วน หนึ่งนั้นอาจสืบเนื่องจากไม่พอใจที่บิดาคิดอาศัยกำลังเผ่าอัวลาแย่งอำนาจคืนจากราชวงศ์หมิง แต่อีกหนึ่งนั้นมันย่อมคิดแก้แค้นราชวงศ์หมิง
ในใจของมันขณะนั้นย่อมหยิ่งทะนงในความสามารถของตนยิ่งกว่าบิดา อีกทั้งยังเข้าใจถึงสภาพความเป็นจริงของการแย่งชิงผืนแผ่นดินจีนยิ่งกว่าบิดา จางตันฟงรู้ดีว่าผู้นำเผ่าอัวลาก็คิดที่จะยึดครองแผ่นดินจีนเยี่ยงเดียวกัน
ฟื้นฟูอำนาจราชวงศ์หยวนที่เคยยิ่งใหญ่ในแผ่นดินจีนเยี่ยงเดียวกัน
จางตันฟงจึงไม่เห็นด้วยที่บิดาคิดยืมกำลังเผ่าอัวลาแก้แค้นราชวงศ์หมิงและยึดแผ่นดินจีนคืนจากราชวงศ์หมิง
ความคิดเมื่อแรกเดินทางกลับแผ่นดินตงง้วนของจางตันฟงจึงเป็น-
“ข้าพเจ้าหลังจากเข้าด่าน ได้ศึกษาข้อเท็จจริงพบว่าราชวงศ์หมิงมีสภาพเหลวแหลก คิดล้างแค้นไม่ยากนัก หากข้าพเจ้าเสาะพบขุมทรัพย์แผนที่ คบหาผู้มีความรู้ความสามารถชูธงก่อการ สามารถช่วงชิงแผ่นดินจากราชวงศ์หมิงไม่ยากนัก”
แต่เมื่อจางตันฟงได้เร่ร่อนไปในยุทธจักร ได้สัมผัสกับชนชาวยุทธ ได้รู้และเข้าใจเกี่ยวกับวิถีและคุณธรรมของชนชาวยุทธ ประกอบกับคำที่เซียะเทียนหัวผู้เป็นซือแป๋สอนสั่งให้สำนึกว่าตนเป็นชาวฮั่น ความคิดของมันก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ยิ่งเมื่อความรักระหว่างมันกับหวินเหลยที่เป็นทายาทศัตรูของบิดา มันคล้ายเริ่มเข้าใจแก่นแท้ของความรักและความแค้นได้ชัดเจนขึ้น คำทักท้วงของหวินเหลยที่ว่า
“เป็นฮ่องเต้หรือไม่ ไม่มีใดน่าประหลาด เพียงแต่ท่านหากคิดชิงแผ่นดินต้าหมิง ไม่ว่าท่านยินยอมหรือไม่ ต้องเข่นฆ่าผู้คนทั้งเมือง หลั่งเลือดเนืองนองเป็นท้องธาร อย่าว่าแต่ตอนนี้มองโกลคิดรุกรานเข้ามา หากท่านลงมือต่อฮ่องเต้ต้าหมิง ไยมิใช่กลับเป็นฝ่ายช่วยเผ่าอัวลาอีกแรงหนึ่ง?”
จึงมีผลต่อความคิดของจางตันฟงไม่น้อย
ความแค้นระหว่างตระกูลจึงสมควรได้รับการคลี่คลาย
และที่สามารถคลี่คลายความแค้นได้ก็เห็นจะมีแต่ความรักและความหวังดี
ระหว่างมันกับหวินเหลยนับเป็นความแค้นที่บรรพบุรุษสร้างขึ้นไว้ แน่นอนว่าจางตันฟงย่อมไม่เกี่ยวข้องกับความแค้นนี้ในฐานะของผู้ก่อ และมันย่อมไม่มีความแค้นอันใดกับตระกูลหวิน การที่มันจะใช้ความรักและความหวังดีต่อตระกูลหวินเพื่อสลายความแค้น แท้จริงมันยินยอมพร้อมใจอย่างยิ่ง เพราะนี่ย่อมเป็นไปเพื่อตัวของมันเอง เพื่อความรักของมัน
แต่ความแค้นระหว่างตระกูลจางกับตระกูลจูเล่า สิ่งที่มันถูกบิดาสั่งสอนและสร้างสำนึกมาตลอดคือจักต้องแก้แค้นราชวงศ์หมิง ช่วงชิงแผ่นดินจีนคืนจากตระกูลจู มันสามารถล้มเลิกความคิดเยี่ยงนี้ได้หรือไม่?
ทีแรกจางตันฟงเพียงคิด หากสามารถช่วงชิงแผ่นดินจีนคืนจากราชวงศ์หมิงได้สำเร็จ สามารถเป็นฮ่องเต้ปกครองแผ่นดินจีน ก็จักสามารถสร้างความสงบสันติให้เกิดขึ้นในแผ่นดินได้ตลอดไป แต่ในที่สุดมันก็พบว่า แท้ที่จริงสามารถเป็นจริงไปได้กระนั้นหรือ
ความแค้นระหว่างคนสองคนบางครั้งทำให้ผู้คนอีกไม่น้อยต้องเดือดร้อน
ความแค้นระหว่างตระกูลที่มีเดิมพันด้วยแผ่นดินอันไพศาลไยมิใช่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้คนมากกว่าเป็นหลายเท่านัก
เนื่องเพราะเพียงต้องการตระกูลหวินต้องการแก้แค้นตระกูลจาง ไยมิใช่สามารถทำให้มันเป็นทุกข์อย่างยิ่งแล้ว หากมันมุ่งมั่นที่จะแก้แค้นตระกูลจูไยมิใช่สร้างความเดือดร้อนทุกข์ยากอย่างมหันต์แก่ผู้คนทั้งแผ่นดิน
ที่สูญเสียอย่างแท้จริงย่อมมิใช่ตระกูลจางและตระกูลจู แต่เป็นแผ่นดินจีน
นี่จึงคล้ายดั่งปณิธานของมัน
“ชีวิตคนนี้สั้นนัก เพียงหวังสงบสุขสันต์ ถือกำเนิดผู้ปราดเปรื่องตลอดกาล สมมาดปรารถนาไยต้องเป็นโอรสแห่งฟ้า”
นี่จึงเป็นปณิธานของจอมยุทธ์ที่แท้จริง
เป็นปณิธานของวีรบุรุษที่แท้จริง
เป็นปณิธานที่มุ่งมั่นให้เกิดเป็นจริงโดยไม่มุ่งหวังผลตอบแทนเพื่อให้ตนมีอำนาจ ลาภยศ หรือชื่อเสียงใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากความรักแท้จากสตรีนางหนึ่งเท่านั้น
นี่ย่อมแตกต่างไปจากคำพูดของผู้คนทั่วไปที่มักกล่าวอ้างเพื่อสร้างความสงบสุขให้กับมวลประชาและแผ่นดินแต่พฤติกรรมที่แท้กลับมุ่งหวังมีอำนาจและใช้อำนาจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตนและพวกพ้องที่มีอยู่กลาดเกลื่อนทั่วแผ่นดินขณะนั้น(และขณะนี้)
การเดินทางเข้าสู่ดินแดนตงง้วนของจางตันฟงจึงกลับเป็นไปเพื่อช่วยเหลือราชวงศ์หมิงแทนการล้มล้างเพื่อการแก้แค้น
มันย่อมยังคงมีความคับแค้นต่อราชวงศ์หมิง แต่เพียงเพื่อให้แผ่นดินสามารถอยู่รอดปลอดภัย มันได้แต่ลืมเลือนความแค้นเก่า ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างช่วยราชวงศ์หมิงให้รอดพ้นจากเภทภัยที่กำลังย่างกรายเข้ามา
เพียงแค่ฮ่องเต้ราชวงศ์หมิงมิยินยอมจำนนต่อศัตรู รู้จักจำแนกขุนนางตงฉินกังฉินไม่คิดทำร้ายขุนนางตงฉิน และคิดต่อต้านศัตรูภายนอก ความคิดที่มันมีต่อราชวงศ์หมิงนับว่าสามารถคลี่คลายได้
ขุมทรัพย์จำนวนมหาศาลที่จางสือเฉิงมุ่งหวังให้ทายาทใช้ในการแก้แค้นยึดครองแผ่นดินจากราชวงศ์หมิงจึงกลับถูกจางตันฟงค้นหาและยกให้ขุนนางราชวงศ์หมิงนำไปใช้จ่ายในทางการทหารต่อสู้กับมองโกล
แผนที่ทางการทหารของหลวงจีนเผิงผู้เป็นอาจารย์ของจูหยวนจางและจางสือเฉิง กลับถูกจางตันฟงนำส่งต่อกับแม่ทัพราชวงศ์หมิงเพื่อใช้ในการรบสู้กับมองโกลด้วยตนเอง
จางตันฟงจึงบอกต่อผู้คนตระกูลตันไถที่ทำหน้าที่เฝ้าขุมทรัพย์ให้กับตระกูลจางมาถึงสามชั่วคนว่า
“ขอท่านฟังเราเฉลยกล่าวขาน ยอดเขาตระหง่านใต้นภาลัย ในใต้หล้าก็มีชายชาติอาชาไนย ไขว้กระบี่ยืนหยัดท้าฟ้าดิน สมบัติยศศักดิ์ล้วนไร้ความหมาย คิดใช้ม้วนภาพกวาดพสุธา”
มิเพียงทรัพย์สมบัติและแผนที่ทางการทหารเท่านั้น แม้แต่ตัวของมันเองก็ยินยอมเสียสละช่วยเหลืออิงจงฮ่องเต้ที่ถูกอัวลาจับกุมตัวส่งกลับคืนแผ่นดินต้าหมิงได้สำเร็จ
ทั้งยังสามารถทำให้จางจงโจวเข้าใจ คลี่คลายความแค้นที่มีมาแต่เดิม ความคิดช่วงชิงแผ่นดินจากต้าหมิงสลายมลายสิ้น เข้าใจถึงแก่นแท้แห่งชีวิต
“เราล้วนทราบทั้งสิ้น ชีวิตคนเพียงหวังไม่ละอายแก่ใจ ไยต้องช่วงชิงความเป็นใหญ่”
แต่ฮ่องเต้ราชวงศ์หมิงเล่า?
ดูเหมือนวีรกรรมของจางตันฟงจะมิทำให้ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หมิงสามารถเข้าใจได้แม้แต่น้อยนิดเลยว่า ที่แท้จางตันฟงมุ่งหวังอะไร
การแย่งชิงอำนาจกันเองของคนในตระกูลจูกลับมิเคยจบสิ้น
จูฉีอี้ที่เป็นพระอนุชาของอิงจงฮ่องเต้ซึ่งได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นฮ่องเต้ชั่วคราวตามแผนการสู้รบกับมองโกลกลับไม่ยืมคืนราชบัลลังก์ให้พระเชษฐา มิหนำซ้ำกลับนำตัวอิงจงฮ่องเต้กักขังเอาไว้ ยามศึกสงบกลับลิดรอนอำนาจขุนนางตงฉิน ลุ่มหลงกับอำนาจและความสุขจากการเสวยอำนาจ โปรดปรานขันทีกังฉิน ปล่อยให้เหล่าขุนนางกังฉินและขันทีขึ้นมีอำนาจ ความเหลวแหลกภายในราชสำนักหมิงจึงไม่ได้รับการแก้ไขและยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นตามลำดับ
ความมุ่งหวัง “แผ่นดินสงบสันติ” ของจางตันฟงไยมิกลายเป็นความว่างเปล่าไปสิ้น
จางตันฟงยินยอมสลายความแค้นส่วนตน ช่วยเหลือราชวงศ์หมิงกอบกู้เกียรติภูมิและป้องกันภัยให้แผ่นดิน ให้แผ่นดินมาตุภูมิรอดพ้นจากการรุกรานของชนต่างชาติ แต่ในที่สุดแล้วประชาชนกลับมิเคยปลอดภัยจากผู้มีอำนาจในแผ่นดินเลยแม้แต่น้อย
เยี่ยงนี้ บั้นปลายชีวิตของจางตันฟงไยมิใช่เป็นดั่ง “จอกแหนลอยละล่องไร้ราก เร่ร่อนยุทธจักรไร้จุดหมาย” ดีแต่ความแค้นระหว่างตระกูลจางกับตระกูลหวินกลับคลี่คลายสลายสิ้น ความรักสุขสมหวัง แม้นจัก “เร่ร่อนยุทธจักรไร้จุดหมาย” ใช่สามารถมีความสุขยิ่งกว่าการได้ครองอำนาจเป็นใหญ่เหนือผู้คน แต่เต็มไปด้วยศัตรูผู้อาฆาตแค้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แน่นอน--หากตระกูลจางสามารถแย่งชิงแผ่นดินต้าหมิงได้สำเร็จ พวกมันกลับต้องระแวดระวังตระกูลจูแย่งชิงอำนาจคืนกลับ มิเพียงตนต้องตกอยู่ท่ามกลางความเคียดแค้นของผู้คน มิหนำซ้ำประชาชนทั่วทั้งแผ่นดินย่อมประสบความเดือดร้อนไปทั่ว และจักมีชีวิตผู้คนอำจำนวนมากมายแค่ไหนที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับการแย่งชิงอำนาจของสองตระกูลนี้
จอมยุทธ์หรือวีรบุรุษที่แท้จึงย่อมมิใช่ผู้ที่สามารถมีชัยเหนือผู้อื่นเท่านั้น
ยิ่งย่อมมิใช่ผู้ที่มีความสามารถในอันที่จะก้าวขึ้นสู่บัลลังก์แห่งอำนาจ ครองอำนาจเพื่อสั่งสมผลประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง รักษาอำนาจไว้เพื่อตนจักได้เสวยสุขให้ยืนยาว
และย่อมมิใช่การต่อสู้แย่งชิงอำนาจเพื่อแสวงหาเกียรติยศชื่อเสียงเฉพาะตนโดยมิได้คำนึงถึงความสงบสุขของแผ่นดินอย่างแท้จริง
มีนักสู้ผู้กล้าใดบ้างที่สมควรได้รับการยกย่องเป็นจอมยุทธ์ที่แท้?
มีวีรบุรุษใดบ้างที่สมควรได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษที่แท้เยี่ยงนี้?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น