“นี่เรียกว่าสลักเรือหากระบี่”
“ท่านทราบหรือไม่? นี่เป็นเรื่องที่โง่เขลาปานใด?”
“ข้าพเจ้าทราบ”
“ในเมื่อทราบ ไฉนยังต้องกระทำ?”
“เนื่องเพราะข้าพเจ้าพลันพบเห็น ในชั่วชีวิตหนึ่งของคนเรา จะมากจะน้อย
ก็ควรกระทำเรื่องโง่เขลาได้สักหลายราย อย่าว่าแต่...
“มีเรื่องบางประการที่กระทำด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา หรือเป็นฉลาด
ปราดเปรื่องกันแน่ มักจะไม่มีผู้ใดตัดสินได้”
(ศึกเสือหยกขาว 1: 204-205)
ในหนังสือ“หลี่สื้อชุนชิว”ได้บันทึกเรื่องราวของชายชาวเมืองฉู่ผู้“สลักแคมเรืองมกระ บี่”ไว้ว่า ขณะที่ชายชาวเมืองฉู่ผู้นี้นั่งเรือข้ามฟาก ขณะที่เรือกำลังแล่นอยู่กลางแม่น้ำเขาเผลอตัวทำกระบี่หล่นลงน้ำ ชายผู้นั้นจึงรีบสลักเครื่องหมายที่แคมเรือตรงที่ดาบหล่น เมื่อเรือแล่นถึงฝั่งเขาก็กระโดดลงน้ำตรงเครื่องหมายที่สลักเอาไว้งมหากระบี่ของตน การกระทำเยี่ยงนี้ผู้คนที่เห็นล้วนยึดถือเป็นการกระทำที่โง่เขลายิ่ง และนี่จึงเป็นที่มาของสำนวน“สลักเรือหากระบี่” หรือ “สลักแคมเรืองมกระบี่”
ที่แท้การกระทำของชายชาวเมืองฉู่ผู้นี้นับว่าโง่เขลาหรือไม่?
การกระทำเยี่ยงไรจึงสมควรนับว่าฉลาดหลักแหลม
ไฉนอี้จับซากลับกระทำเยี่ยงชายชาวเมืองฉู่ผู้นี้?
พลันที่อี้จับซาพบว่าซาเสียวเอี้ยเจี่ยเฮียวฮงได้ตายจากไป ความรู้สึกของมันขณะนั้นย่อมผิดหวังยิ่ง
ประกายในดวงใจของมันกลับสูญสลายไป
ประกายของกระบี่สูญสลายไป
สำหรับอี้จับซาในขณะนั้น ชีวิตของมันดูไร้ค่ายิ่ง !
อี้จับซาเดินทางสู่หมู่บ้านกระบี่เทพเจ้าเพื่อประลองกระบี่กับเจี่ยเฮียวฮง
เจี่ยเฮียวฮงที่เป็นซาเสียวเอี้ย- นายเล็กคนที่สาม ของหมู่บ้านกระบี่เทพเจ้า ผู้ที่ชนชาวยุทธยกย่องเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งของแผ่นดินในยุคนั้น
อี้จับซาก็นับเป็นมือกระบี่ที่ไร้ผู้ต่อต้าน เต๊าะเมี่ยจับซาเกี่ยม- บสามกระบี่คร่าชีวิต ของมันคล้ายดั่งไม่มีใครต้านติดมาก่อนแม้แต่น้อย
สำหรับอี้จับซา- ผู้ที่สมควรเป็นคู่ต่อสู้ของมันในยุคนั้นจึงมีแต่ซาเสียวเอี้ย
แม้ว่าอี้จับซาจะไม่มีความมั่นใจต้านกระบี่ของเจี่ยเฮียวฮงได้ และมันก็รู้ว่าการเดินทางสู่หมู่บ้านกระบี่เทพเจ้าในครั้งนี้มีแต่หนทางตายเพียงทางเดียวเท่านั้น มันก็ยังดั้นด้นไปให้ถึง
ฉายากระบี่ไร้ผู้ต่อต้านของมันคล้ายดั่งมีอำนาจบังคับควบคุมให้มันต้องกระทำเช่นนั้น!
เจี่ยเฮียวฮงตายแล้ว- ตายไปสิบเจ็ดวันแล้ว!
อี้จับซาจึงได้แต่อำลา นั่งเรือออกจากหมู่บ้านกระบี่เทพเจ้าอย่างเงียบงันยิ่ง ผิดหวังยิ่ง!
เรือลำน้อยแล่นถึงกลางทะเลสาบเล็กจุ้ยโอ้ว- ทะเลสาบวารีเขียว อี้จับซาคล้ายดั่งกระทำเรื่องราวที่โง่เขลาประการหนึ่ง
อี้จับซาพลันชักกระบี่ออกมา ขีดรูปกากบาทที่หัวเรือแล้วพุ่งกระบี่ของมันลงไปในใจกลางของทะเลสาบนั้น เรือถึงฝั่งมันเดินขึ้นจากเรืออย่างเงียบงันจากไป
นับแต่นั้นมาไม่มีผู้ใดในวงบู๊ลิ้มพบเห็นมันอีกต่อไป ตราบกระทั่ง.....
สลักเรือหากระบี่นับเป็นการกระทำที่โง่เขลายิ่ง?
ในสายตาของผู้คนทั่วไป การกระทำเยี่ยงนี้นับว่าโง่เขลายิ่งนัก อี้จับซาที่นับเป็นมือกระบี่ไร้ผู้ต่อต้านย่อมมิใช่คนโง่เขลาแม้แต่น้อย แต่ไฉนมันจึงกระทำเรื่องที่โง่เขลาปานนี้
หรือที่แท้มันคิดกระทำเรื่องที่โง่เขลาจริงๆ เสียบ้าง?
หรือที่แท้มันเองก็มิอาจตัดสินได้ว่า การกระทำเยี่ยงนั้นนับเป็นการกระทำที่โง่เขลาหรือชาญฉลาดกันแน่?
ที่แท้การกระทำแต่ละประการที่ผู้คนตัดสินว่าเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดหรือโง่เขลา มีเรื่องราวใดบ้างที่สมควรนับเป็นการกระทำที่ชาญฉลาด และเรื่องราวประการใดที่สมควรนับเป็นความโง่เขลา นี่ย่อมมิอาจยึดถือเป็นถูกต้องแน่นอนได้
การกระทำบางประการที่ผู้คนล้วนบอกโง่เขลาใช่นับเป็นความโง่เขลาจริงหรือไม่?
การกระทำบางประการที่ผู้คนบอกเป็นเรื่องชาญฉลาดยิ่ง ใช่สามารถนับเป็นเป็นการกระทำที่ฉลาดจริงๆ หรือไม่ ?
นี่ย่อมยากที่จะแยกแยะตัดสินให้แน่ชัดลงไปได้
แท้ที่จริงการกระทำเรื่องราวประการต่างๆ เหล่านี้ก็เป็นเฉกเดียวกับเหรียญที่มีสองด้าน เมื่อมองจากแง่มุมหนึ่งย่อมเห็นว่าถูกต้อง แต่ในยามที่มองจากอีกแง่มุมหนึ่งก็มิแน่ว่าจะผิดพลาด บางครั้งมาตรฐานของสังคมใช่ว่าจะสามารถตัดสินความผิดถูก ความโง่เขลาหรือฉลาดปราดเปรื่อง ความดีงามหรือชั่วร้ายให้แน่ชัดลงไปได้
แต่ไฉนผู้คนมักถือเป็นเรื่องจริงจังเกินไป
ไฉนผู้คนจึงมักยึดถือคำตัดสินของตนหรือพวกตนเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป ทั้งๆ ที่สิ่งที่ตนรับรู้หรือพบเห็นนั้นใช่ว่าตนจะสามารถเข้าใจความจริงที่เกิดขึ้นได้อย่างแน่ชัด
ดังนั้นโก้วเล้งจึงมักกล่าวเสมอ- อย่าว่าแต่เรื่องราวที่ฟังจากคำเล่าลือ แม้กระทั่งสิ่งที่สามารถเห็นด้วยตาตนเองก็มิอาจที่จะตัดสินได้ว่าเป็นดั่งที่ตนพบเห็นและรับรู้
แต่เหตุไฉนผู้คนมักแต่เชื่อถือคำเล่าลือเป็นเรื่องจริงจัง มักจะยึดสิ่งที่ตนพบเห็นเป็นความจริงที่แท้?
นี่มิใช่เพียงเพราะเรื่องราวเหล่านั้นถูกต้องตามความคิดความนิยมของตน สลอดคล้องกับประโยชน์ตน ใช่หรือไม่?
หรือนี่เป็นเพียงเพราะผู้คนเหล่านี้ล้วนเห็นว่าการคิดเยี่ยงนี้ การกระทำเยี่ยงนี้ ย่อมแสดงให้เห็นถึงความชาญฉลาดของตน?
ที่แท้ผู้ที่อ้างตนเป็นผู้ฉลาดใช่เป็นผู้ฉลาดจริงๆ !
ผู้ที่กระทำเรื่องราวบางประการประหนึ่งเป็นคนโง่เขลายิ่ง ใช่สมควรนับเป็นคนโง่เขลาจริงๆ ?
กระทำทำเยี่ยง“สลักเรือหากระบี่” สมควรนับเป็นการกระทำที่โง่เขลาใช่หรือไม่?
นับแต่อดีต-มีผู้คนบางประเภทได้รับการยกย่องจากสังคมให้เป็น“ผู้รู้”หรือเป็น “ปราชญ์” ผู้ฉลาดปราดเปรื่องในหมู่ชน
และก็มีบุคคลบางประเภทที่ถูกเรียกเป็น “คนโง่เขลา”
แต่มีไม่น้อยที่เป็นปัญหา- ปราชญ์ใช่เป็นปราชญ์ที่แท้จริงหรือไม่?
คนโง่- ใช่เป็นคนโง่เขลาจริงๆ?
มีบุคคลบางประเภทได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องรู้หลักแห่งเหตุและผล ใช้วาทกรรมอันอ้างเหตุและผลอธิบายการกระทำของตนให้ดูเป็นคนดีงาม กำหนดมาตรฐานผิดถูกชั่วดีให้กับสังคม วางกรอบขีดเส้นชะตาชีวิตให้กับผู้คนในสังคม แท้จริงสิ่งที่พวกมันรอบรู้อย่างแท้จริงมีอยู่สักแค่ไหน
หรือเป็นเพียงอ้างตนเป็นคนรอบรู้ ใช้“ศิลปะทางวาทะ”แสดงความรอบรู้ของตนหลอกลวงผู้คนเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น
ประดาพวกเหล่านี้จะแตกต่างอะไรกับบุคคลเยี่ยงแป๊ะเฮี่ยวเซ็งที่ตั้งตนเป็นปราชญ์ในการตัดสินพลานุภาพของอาวุธชนิดต่างๆ ในวงบู๊ลิ้มยุคหนึ่ง
เป็นผู้รอบรู้ที่ลี้คิมฮวงให้ความเห็น
"...คนประเภทนี้อวดอ้างว่าฉลาดปราดเปรื่องประโคมตัวเองสูงส่งเหนือธรรมดา เข้าใจว่ามันรอบรู้ในทุกเรื่องราว อาศัยคำพูดของพวกมัน ก็สามารถระบุชะตาชีวิตผู้อื่น ความจริงแล้ว เรื่องราวที่พวกมันรู้อย่างแท้จริง กลับมีอยู่สักเท่าใด?"
"เฮอะ เนื่องเพราะผู้อื่นต่างว่ามันรอบรู้ทุกศาสตร์สาขาเปรื่องปราดนทุกหลักวิชา พอถึงตอนหลัง มันก็มีแต่ต้องหลอกลวงตัวเอง อาศัยความรู้สึกนึกคิดไปยืนกรานระบุเรื่องราว"
ผู้ฉลาดปราดเปรื่องประเภทนี้เป็นเยี่ยงไร?
แท้จริงพวกมันอาจมีความฉลาดเป็นเลิศ อาจเป็นอัจฉริยะบุคคลจริงๆ แต่ผลบั้นปลายของผู้ฉลาดปราดเปรื่องเป็นเยี่ยงไร?
โก้วเล้งบอกว่า:-
ในโลกมีคนชนิดหนึ่ง มักประโคมยกตนเองเป็นเทพเจ้า
บุคคลประเภทนี้ย่อมเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์เป็นเลิศ แต่ก็นับเป็นคนบ้าคลั่ง
ผลบั้นปลายของคนบ้าคลั่ง มักอเนจอนาถยิ่ง สยดสยองยิ่ง
อัจฉริยะบุคคลที่ประสบผลบั้นปลายเยี่ยงนี้นับว่ามีมากมายยิ่ง ทั้งนี้เนื่องเพราะพวกมันก็ลืมหลงไปว่า แท้ที่จริงในบางคราพวกมันสมควรยินยอมโง่เขลาเสียบ้าง ยินยอมไม่แสดงออกถึงความฉลาดปราดเปรื่องเสียบ้างจึงจะสามารถเป็นผู้ฉลาดที่แท้จริง
“เนื่องเพราะจะอย่างไรผู้คนมิใช่เทพเจ้า ไม่สามารถกำหนดทุกสรรพสิ่งได้
กระทั่งเทพเจ้าก็ไม่สามารถ!
ประกาศิตของเทพเจ้าก็ไม่เป็นที่เคารพปฏิบัติของทุกผู้คน
คนผู้หนึ่งหากสามารถนึกถึงข้อนี้ กับผลได้ผลเสียของเรื่องประการหนึ่ง ก็ไม่ยึดถือจนสาหัสเกินไป
ความรู้สึกได้เสียของผู้คนหากเบาบางลง จะมีชีวิตอย่างสุขสมอีกมากนัก”
ดังนั้นโก้วเล้งจึงเห็นว่า
“ความโฉดเขลา(อาจ)สามารถทำให้คนผู้หนึ่งตกอยู่ในภาวการณ์โศกสลดและสามารถแปรเปลี่ยนเป็นน่าหัวร่อได้เช่นกัน”
ดังนั้น:-
“ผู้ที่สามารถปรับใจให้เป็นไปตามชะตาฟ้าดิน ปรับตัวให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมของตอนนั้นได้ จึงเป็นคนชาญฉลาดโดยแท้จริง คนประเภทนี้จึงสามารถมีชีวิตยืนยาว”
ทั้งนี้เนื่องเพราะในด้านหนึ่งของความเฉลียวฉลาดนั้นย่อมนำมาซึ่งความยุ่งยากหลายประการ นำมาซึ่งภาระและความผูกพันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นำมาซึ่งลาภยศชื่อเสียง ที่เป็นประหนึ่งขื่อคาตรึงแน่นจนยากที่จะสลัดหลุดได้มากขึ้นจนกลายเป็นพันธะผูกมัดยากที่จะมีอิสระในชีวิตได้
เยี่ยงนี้- บางครั้งหากสามารถยินยอมโง่เขลาได้ ชีวิตนับว่ามีความสุขยิ่ง ดังที่จวงจื๊อ(จวงจื๊อจอมปราชญ์, บุญศักดิ์ แสงระวี แปล, หน้า 225)กล่าวไว้ว่า
“คนเฉียบแหลมมักเหนื่อยยากลำบากกาย
คนฉลาดมักจะวิตกกังวล
คนไร้ความสามารถไม่ต้องการอะไร กินอิ่มแล้วก็ท่องเที่ยวไปทุกแห่งหน
ประดุจเรือเปล่าที่มิได้มีเชือกผูกติด เคลื่อนคล้อยโคลงเคลงไปบนสายน้ำ เป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง”
ผู้ที่เป็นปราชญ์ที่แท้จริง
ผู้ฉลาดปราดเปรื่องอย่างแท้จริงจึงย่อมเป็นไปดั่งที่เหล่าจื๊อ(วิถีแห่งเต๋า, พจนา จันทรสันติ แปล, หน้า 66) กล่าวไว้
“บุคคลผู้ชาญฉลาดแต่โบราณกาล
เปี่ยมล้นไปด้วยปรีชาญาณ
ล้ำลึกไปด้วยความรอบรู้
ลึกซึ้งจนมิอาจหยั่งถึง
และด้วยมิอาจหยั่งถึงนี้เอง
จึงจำเป็นจะต้องบรรยายลักษณะดังนี้
มีความรอบคอบ
คล้ายกำลังข้ามแม่น้ำที่แข็งตัวในฤดูหนาว
มีความระมัดระวัง
คล้ายกำลังป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในทุกที่
มีความสำรวม คล้ายกับกำลังปฏิบัติตนเป็นอาคันตุกะ
มีความอ่อนน้อม คล้ายกับหิมะที่เริ่มจะละลาย
มีความเปิดเผยซื่อตรง คล้ายกับไม้ที่ยังมิได้แกะสลัก
มีความว่าง คล้ายกับหุบเขา
และโง่งม คล้ายกับสายน้ำอันขุ่นข้น”
เยี่ยงนี้นับเป็นผู้ปราดเปรื่องอย่างแท้จริง!
ที่แท้ระหว่างอี้จับซากับแป๊ะเฮี่ยวเซ็งผู้ใดสมควรนับเป็นผู้ชาญฉลาดอย่างแท้จริง
อี้จับซานับเป็นมือกระบี่อัจฉริยะผู้หนึ่งในยุคนั้น
เป็นบุคคลที่สมควรนับเป็นผู้ชาญฉลาดในเชิงวิชากระบี่อย่างยิ่งผู้หนึ่งในยุคนั้น แต่บางครั้งการกระทำของมันไฉนจึงดูเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญายิ่ง แต่เนื่องเพราะมันสามารถกระทำในสิ่งที่โง่เขลายิ่งเยี่ยงนั้น ในบางช่วงตอนแห่งชีวิตมันจึงมีความสุขอยู่บ้าง และเนื่องเพราะมันรู้จัก “สลักเรือหากระบี่” การหายสาบสูญไปจากวงบู๊ลิ้มในครั้งนั้นจึงนับเป็นช่วงชีวิตที่มันมีความสุขอย่างแท้จริง
เป็นช่วงชีวิตที่มันสามารถมีอิสระอย่างแท้จริง!
นี่ย่อมแตกต่างไปจากแป๊ะเฮี่ยวเซ็งที่เป็น “ผู้รอบรู้” สามารถกำหนดชะตาชีวิตของผู้คนในวงบู๊ลิ้มได้ แต่เนื่องเพราะมันไม่ยินยอมที่จะเป็น “ผู้โง่เขลา” เสียบ้างในบางครั้ง ในที่สุดมันกลับติดกับดักความเป็นผู้รอบรู้ของตนเองจนมิอาจสลัดหลุด และต้องจบชีวิตลงเพราะสิ่งที่มันคิดว่ามันรอบรู้และเชี่ยวชาญที่สุด
ระหว่างอี้จับซากับแป๊ะเฮี่ยวเซ็ง ผู้ใดสมควรได้รับการยึดถือเป็นผู้ปราดเปรื่องอย่างแท้จริงเล่า?
ที่แท้ผู้ปราดเปรื่องในสังคมที่เห็นกันอยู่เป็นเยี่ยงแป๊ะเฮี่ยวเซ็งหรืออี้จับซา ?
จอมยุทธ์ผู้มีฝีมือเป็นเลิศ มีความรอบรู้ในสรรพวิชาและอาจสมควรนับเป็นอัจฉริยะในหมู่จอมยุทธ์ทั้งหลายที่เราท่านพบเห็น มีผู้ใดที่สมควรเป็นเยี่ยงอี้จับซาและผู้ใดสมควรเป็นเยี่ยงแป๊ะเฮี่ยวเซ็งบ้าง?
หรือจะคงมีแต่เหล่าจอมยุทธ์ที่มีเพียงความสามารถแลเฉลียวฉลาดในการแสดง “วาทะกรรม” หลอกลวงผู้คนเล่นไปวันๆ เพียงเพื่อให้สามารถไต่เต้าขึ้นสู่บัลลังก์แห่งอำนาจและสามารถปกป้องผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องให้คงอยู่สืบไปเท่านั้นเอง
เยี่ยงนี้ไยมิใช่สักวันหนึ่งอาจหลงวนอยู่ในกับดักแห่งความปราดเปรื่องของตนจนต้องประสบชะตากรรมเยี่ยงแป๊ะเฮี่ยวเซ็งในที่สุด
ไยมิยินยอมเป็นคนโง่เขลาเสียบ้าง ?
ไยมิยินยอม “สลักเรือหากระบี่” กันบ้าง ?
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ผู้ใดว่าวีรบุรุษเงียบเหงา วีรบุรุษที่แท้ล้วนสำราญ
“ร่างกายพวกเราแม้สกปรก จิตใจกลับสะอาดสะอ้าน หากแม้นจิตใจคนผู้หนึ่งสกปรกโสมม ต่อให้ใช้สบู่ฟอกวันละสิบครั้ง ยังไม่สะอาดหมดจด” “มีเหตุผล ...
-
“จันทร์กระจ่างสักกี่ครั้ง ชูเมรัยไต่ถามฟ้า ทิพยสถานกลางเวหา ราตรีนี้เป็นปีใด เราคิดเหินลมคืนกลับ แต่กริ่งเกรงเคหาสน์หยกขาว เบื้องบนสะท้...
-
(1) ในบู๊ลิ้มขณะนั้นล้วนร่ำลือถึงบุคคลผู้หนึ่ง ในคำร่ำลือนั้นถึงกับกล่าวว่าคนผู้นั้นนับเป็นจอมโจรชั่วร้ายที่มิอาจมีผู้ใดในยุคนั้นชั่วร้าย...
-
“ร่างกายพวกเราแม้สกปรก จิตใจกลับสะอาดสะอ้าน หากแม้นจิตใจคนผู้หนึ่งสกปรกโสมม ต่อให้ใช้สบู่ฟอกวันละสิบครั้ง ยังไม่สะอาดหมดจด” “มีเหตุผล ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น