"มีคนบางคนว่า สุราทำลายสัมปชัญญะให้วุ่นวาย
มีบ้างว่า ตัณหาราคะทำลายสุขภาพให้ทรุดโทรม
แต่ในความเห็นของข้าพเจ้า ที่ทำร้ายคนรุนแรงที่สุดในโลกน่ากลัวก็คือ'อำนาจ'นั่นเอง
ในโลกนี้ ที่สร้างความปรารถนาจนหวั่นไหวแก่ผู้คนมากที่สุดคืออำนาจ"
(พยัคฆ์ร้ายบู๊ลิ้ม)
คนผู้หนึ่งอาจร่ำสุราเมามายตลอดทั้งคืน ยามตื่นขึ้นในรุ่งเช้าอาจปวดศีรษะแทบตาย แต่มันก็สามารถสร่างเมาได้ แต่สำหรับผู้สำหรับผู้คนบางประเภทเล่า ?
เป็นผู้คนบางประเภทที่พวกมันอาจมิชมชอบดื่มสุรา
เป็นผู้คนบางประเภทที่อาจมิชมชอบการเมามายสุรา
แต่ที่พวกมันเมามายกลับเป็นอำนาจ ลาภ ยศ และชื่อเสียง เยี่ยงนี้ใช่พวกมันสามารถที่จะมีโอกาสได้สร่างจากเมามายหรือไม่?
ใช่พวกมันจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่า แท้ที่จริงพวกมันเมามายหรือแจ่มใส
ผู้ที่เมามายสุรา- พวกมันย่อมรู้ตัวเองว่าหากดื่มมากเกินไปต้องมึนเมา
สำหรับวีรบุรุษ “กระทั่งความตายก็ยังไม่กลัว ไหนเลยกลัวเมามาย?” พวกมันย่อมรู้ดี ดื่มสุราย่อมเมามาย แต่ไยพวกมันมิล่วงรู้เมื่อเมามายได้ก็สามารถสร่างเมาได้เช่นกัน
พวกมันย่อมรู้ รอถึงวันพรุ่งพวกมันย่อมสร่างเมา
แต่สำหรับผู้ที่เมามายในอำนาจ ลาภ ยศ และชื่อเสียงเล่า ใช่พวกมันสามารถรู้ได้ว่าตนกำลังเมามาย?
ใช่พอวันพรุ่งพวกมันสามารถสร่างเมาได้?
แท้ที่จริง- ทรัพย์สินเงินทองของมีค่า อำนาจยศถาบรรดาศักดิ์ ชื่อเสียงเกียรติยศ นับว่าสามารถบันดาลให้ผู้คนเมามายได้เช่นเดียวกับสุรา หรืออาจบันดาลให้เมามายได้เหนือกว่าสุราเสียอีก
เมามายสุราสามารถสร่างเมาได้ แต่หากเมามายในอำนาจ ตำแหน่ง ชื่อเสียง เกียรติยศ และทรัพย์สินเงินทอง นอกจากจะยากต่อการจะสร่างเมาแล้ว ในบางครั้งผู้ที่กำลังเมามายไม่อาจรู้ว่าตนกำลังเมามาย
มิอาจรู้สำนึกในความเมามายของตนได้แม้แต่น้อย!
เถาหยวนหมิง-กวีสมัยราชวงศ์เหนือ-ราชวงศ์ใต้จึงนิพนธ์กวีบทหนึ่งกล่าวถึงผู้เมามายที่แท้ไว้ดังนี้
ครั้งหนึ่งมีผู้คนมาเยี่ยมเยือนข้า
อาคันตุกะนั้นมาพักพิงอยู่กับข้า
ความคิดของเราทั้งสองนั้น
นับว่าแตกต่างกันราวฟ้าดิน
สำหรับคนหนึ่ง
ชมชอบดื่มสุราอยู่เดียวดายเสมอ
ขณะที่อีกคนหนึ่งกลับเคร่งขรึมสงบเสงี่ยม
มิยินยอมดื่มเมรัย
ร่วมปีหนึ่งเต็มๆ
ที่พักพิงอยู่ด้วยกัน
ปีศาจสุราผู้'เมามาย'และผู้เคร่งขรึมผู้'ตื่น'
หัวเราะเยาะฝ่ายตรงกันข้าม
ไม่มีผู้ใดยอมรับ
วาจาที่อีกฝ่ายกล่าว
น่าฉงนสนเท่ห์นัก
ถึงความแตกต่างที่พวกเรามี
เราสองต่างมีความหยิ่งยะโสและอวดดี
ยืนยันความถูกต้องในความคิดตน
นี่คือข้อเสนอของข้า
ถึงอาคันตุกะผู้'ตื่น'แต่'มัวเมาในโลกีย์'
เมื่อยามที่อาทิตย์ลาลับ
ให้จุดตะเกียงไว้'
(Tao The Hermit : Sixty Poems by T/ao Ch/ien 365-427 : p 67-68)
ในทรรศนะของเถาหยวนหมิง ผู้ใดเล่านับเป็นผู้เมามาย ผู้ใดเล่าคือผู้ตื่น?
แท้จริงแม้ท่านจะเมามายสุราอยู่ตลอดวันคืน แต่ในสำนึกของท่านนั้นกลับตื่นอยู่ตลอดกาล แต่อาคันตุกะผู้มาเยือนที่ไม่ยินยอมร่ำสุราเล่า ที่แท้ตื่นหรือเมามาย
สำหรับเถาหยวนหมิง ท่านเมามายสุรา แต่ทว่าท่านสามารถละสิ้นแล้วซึ่งลาภยศ อำนาจ และชื่อเสียงทั้งมวล ท่านยินยอมลาออกจากตำแหน่งนายอำเภอที่กำลังรุ่งโรจน์หลังจากที่ดำรงอยู่ได้เพียงเจ็ดแปดสิบวัน ไปพำนักพักอยู่อย่างลำบากยากเข็ญในถิ่นทุรกันดาร
ท่านร่ำสุราจนเมามาย ใช้แรงงานจนเหนื่อยล้าอดอยากยากเข็ญยิ่ง แต่ในใจท่านกลับสงบสุขยิ่ง ในยามที่อาทิตย์ลาลับดำมืดท่านมีตะเกียงไว้ส่องสว่าง แต่สำหรับอาคันตุกะผู้มาพำนักอยู่ด้วยนั้นเล่า แม้ยามไม่ดื่มสุราก็กลับเมามาย แม้ยามกลางวันก็ดูมืดมนไม่เห็นหนทาง
เมามายในโลกีย์วิสัย
ไม่เห็นหนทางสว่างไสวแห่งความสุขที่แท้ในชีวิต
เยี่ยงนี้- เมิ่งฮ่าวหยาน กวีสมัยราชวงศ์ถังก็เป็นเช่นเดียวกับเถาหยวนหมิง
หลี่ป๋อผู้เป็นสหายต่างวัยได้เขียนถึงท่านไว้ว่า
"ข้ารักสหายเมิ่งผู้เฒ่า
ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือไปทั่ว
เมื่อหนุ่มกลับสลัดทิ้งลาภยศขุนนาง
นอนเฝ้าดงสนมองดูมวลเมฆจนผมขาวโพลน
หลงใหลมวลบุปผายิ่งกว่าเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ
ใครเล่าจักสามารถปีนป่ายขุนเขาตระหง่านได้
ได้แต่น้อมคารวะในความสูงส่งของท่าน"
(The White Pony, p 178)
ผู้คนเยี่ยงพวกท่านกลับยินยอมเพียงลุ่มหลงรสแห่งสุรา แต่ทว่าไม่หลงใหลในลาภ ยศ อำนาจ ชื่อเสียง หรือเกียรติยศใดๆ
วีรบุรุษหลายหลากในยุทธจักรนิยายมิใช่เช่นกัน?
วีรบุรุษในยุทธจักรนิยายมิใช่น้อยไยมิใช่เป็นเพียงยินยอมเมาสุราแต่ไม่ยินยอมมัวเมาในลาภยศ อำนาจ และชื่อเสียงอื่นใด?
อย่างน้อยเหล่าวีรบุรุษใน"วีรบุรุษสำราญ" ล้วนเป็นเฉกนี้!
เคหารุ่มรวย, ใช่หมายถึงบ้านที่ร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองมหาศาล?
พวกมัน- เฮ้งต๋ง ก๊วยไต้โล่ว อี้ฉิก และลิ้มไท้เพ้ง ล้วนพบกันและพำนักอยู่ด้วยกันในเคหารุ่มรวย แต่พวกมันกลับยากจน
ยากจนที่แม้กระทั่งกระบี่คู่กายยังถูกนำไปจำนำแลกเปลี่ยนเป็นเงินทองมาซื้ออาหารและสุรา
แลกเปลี่ยนเป็นสุราอาหารมาดื่มกินอย่างสำราญยิ่ง!
เนื่องเพราะสำหรับพวกมันแล้ว
"สวมใส่ได้แต่เกียรติ พนันแตกสลาย เที่ยวซ่องสูญว่างเปล่า รับประทานจึงสมใจ"
(วีรบุรุษสำราญ 1:26)
เคหารุ่มรวยอาจมีความหมายเป็นเคหาที่ร่ำรวยยิ่ง แต่พวกมันกลับยากจนยิ่ง นี่สมควรกล่าวเยี่ยงไรได้?
มีบ้างบางครั้งที่สามารถดลบันดาลให้เคหารุ่มรวยสามารถร่ำรวยได้สมชื่อ แต่พวกมันกลับละทิ้งความร่ำรวยเสีย หากว่าความร่ำรวยนั้นได้มาด้วยวิธีการไม่ชอบธรรม
เป็นความร่ำรวยที่ได้มาด้วยวิธีการที่ฝืนมโนธรรมของพวกมัน
“เนื่องเพราะพวกเขาเลือกทางที่ฉลาดที่สุด
พวกเขาละทิ้งความรุ่มรวย รักษาไว้ซึ่งมโนธรรม
นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ใกล้กับความรุ่มรวยที่สุด แต่พวกเขาไม่ละโมบความรุ่มรวย ไม่ต้องการใช้วิธีการอันต่ำช้าและฉ้อฉลหลอกลวงหยิบฉวยความรุ่มรวย ดังนั้นพวกเขามีความสุขสำราญตลอดกาล ดังราวกับไม้ดอกที่อาบไล้อยู่ใต้แสงอาทิตย์วสันตฤดู”
(วีรบุรุษสำราญ 1:63)
แม้เฮ้งต๋งทั้งสี่จะยอมรับ
"เงินทองคือแก้วสารพัดนึก สตรีคือสิ่งประดับหล้า
คนผู้หนึ่งหากปราศจากเงินทอง คล้ายกระสอบป่านว่างเปล่าใบหนึ่ง มิมีวันยืนหยัดมั่น
แต่ในสายตาของพวกมัน-
"เงินทองสามารถชักนำเภทภัย เภทภัยที่สืบเนื่องจากอิสตรียิ่งมากมาย
นอกจากนี้ เงินทองยังมีส่วนละม้ายเหมือนกับอิสตรีประการหนึ่ง
ทั้งสองสิ่งได้มาง่ายดาย ยามเสื่อมสูญก็รวดเร็วยิ่ง
(วีรบุรุษสำราญ 1:118-119)
ดังนั้น,ในสายตาของพวกมัน-
"...ต่ำใต้ยังมีเรื่องราวหลายหลาก สำคัญกว่าทรัพย์ศฤงคารอีก"
(วีรบุรุษสำราญ 1:116)
บทเพลงของก๊วยไต้โล่วย่อมยืนยันทัศนะในเรื่องนี้ได้ดีมันมักขับขานอยู่เสมอว่า
ยามมาสง่างาม ขากลับตัวเปล่าต้านลม
ยามมาโดยสารรถรา ขากลับตัวเบาสบาย
ยามมากระเป๋าหนัก ขากลับเหลือแต่ว่างเปล่า
(วีรบุรุษสำราญ 1:138-139)
สำหรับพวกมัน, ความสุขในชีวิตจึงมิได้อยู่ที่ความร่ำรวยเงินทอง พวกมันกลับมีความเห็น ผู้ร่ำรวยเงินทองมหาศาลใช้ว่าจะสามารถเสพสุขได้อย่างที่พวกมันสามารถ
“หากเป็นผู้รุ่มรวย ไหนเลยดื่มด่ำกับทิวทัศน์งามตระการปานนี้ สูดกลิ่นหอมหวนเยี่ยงนี้ได้ พวกมันเพียงสูดกลิ่นเหม็นคลุ้งของตะกั่วทองแดงเท่านั้น”
(วีรบุรุษสำราญ 1:145)
เยี่ยงนี้ พวกมันจึงมีความเห็น-
“ท่านทั้งหลายมิต้องกลัดกลุ้มกังวลต่อความรุ่มรวย ยิ่งไม่ต้องคับแค้นกลัดกลุ้มต่อความยากจน
ขอเพียงท่านรู้จักแสวงหาความสุขที่สมควรได้ใส่ตัว ก็ไม่เสียดายที่กำเนิดมา”
(วีรบุรุษสำราญ 1:146)
“ในชีวิตคน ความจริงมีความสุขอยู่หลายประการ ขอเพียงท่านปล่อยจิตใจว่างเปล่า ทอดตาให้กว้างไกล ก็สามารถพบเห็นได้”
“...เรื่องที่รวดร้าวทรมานที่สุดในใต้หล้าหาใช่ไม่มีเงินทอง หากแต่ปราศจากสหาย”
(วีรบุรุษสำราญ 2:444 และ450)
สหาย!
สหายคือความสัมพันธ์ระหว่างคนต่อคน เป็นความสัมพันธ์ที่เป็นน้ำใจระหว่างคนต่อคน สำหรับวีรบุรุษผู้อ้างว้างเดียวดายทั้งหลาย สหายจึงสามารถนับเป็นสิ่งที่ถมทับความเวิ้งว้างว่างเปล่าภายในจิตใจคนให้สามารถเต็มได้ ดังนั้นสำหรับเฮ้งต๋งและพวกแล้ว
“สิ่งล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า ทั้งมิใช่ชื่อเสียงและไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคนต่อคน ท่านหากได้มาพึงทะนุถนอมไว้ อย่าได้สร้างความผิดหวังแก่ตนเองและผู้อื่น"
(วีรบุรุษสำราญ 2:455)
บุคคลเยี่ยงพวกมันจึงยินยอมดื่มสุรา เมามายสุรากับสหาย มากกว่าที่จะแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง หรืออำนาจ
มากกว่าที่จะเมามายทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียงหรืออำนาจ
เล็กเซี่ยวหงส์กับเจ้านครเมฆขาวเอี๊ยบโกวเซี้ย-เซียนเหินจากเหนือฟ้านับว่าพวกมันล้วนเป็นคนเดียวดาย เพียงแต่เล็กเซียวหงส์กลับมีสหายมากมายยิ่ง ในขณะที่เจ้านครเมฆขาวไม่มีสหาย
เล็กเซี่ยวหงส์นับเจ้านครเมฆขาวเป็นสหายผู้หนึ่งของตน แต่เจ้านครเมฆขาวเองมิแน่ว่าจะรับเล็กเซี่ยวหงส์เป็นสหาย
คนเยี่ยงเจ้านครเมฆขาวเอี๊ยบโกวเซี้ยนับได้ว่าเป็นคนเดียวดายยิ่งผู้หนึ่ง!
คนเดียวดายที่ตลอดชีวิตของมันไม่เคยยินยอมรับน้ำใจของผู้อื่น และไม่ยอมให้น้ำใจแก่ผู้ใด
“ในชีวิตเจ้านครเมฆขาว ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวเป็นเพื่อนมันตลอดกาล
เพียงแต่ชีวิตกาลก่อนแม้โดดเดี่ยวเดียวดาย ยังเต็มไปด้วยเกียรติยศและประกายอันเจิดจ้า
แต่ตอนนี้...”
(สองนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ หน้า 72)
แต่ตอนนี้เจ้านครเมฆขาวมุ่งแสวงหาเกียรติยศของตนกลับคืน มุ่งแสวงหาอำนาจเพื่อทดแทนความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวที่กัดกร่อนจิตใจของมันมาตลอด
เจ้านครเมฆขาวกลับพาตัวเข้าเกลือกกลั้วการเมือง ร่วมมือกับราชบุตรเจ้าทักษิณ-น่ำอ้วงเอี้ย วางแผนก่อการขบถแย่งชิงราชบัลลังก์จากฮ่องเต้
เล็กเซี่ยวหงส์นิยมชมชอบดื่มสุรากับสหาย
มันมักร่ำดื่มสุรากับสหายจนเมามายอยู่เสมอ
เล็กเซี่ยวหงส์อาจเป็นคนเดียวดาย มันมีสหาย- มันสามารถร่ำดื่มสุรากับสหาย
เฉกนี้,แม้นว่ามันจะเป็นเดียวดายผู้หนึ่ง แต่บางครั้งมันก็สามารถนับได้ว่า มันย่อมมีเวลาที่ไม่เงียบเหงาเดียวดายอยู่บ้าง
เจ้านครเมฆขาวไม่ยอมคบหาสหาย ไม่ยอมมีน้ำใจกับผู้ใด มันแม้อาจมีเวลาดื่มสุรา แต่มันสามารถผ่อนคลายความรู้สึกเดียวดายลงได้กระนั้นหรือ
หรือยิ่งดื่มสุรา- ยิ่งเมามายสุรามันกลับพบว่ามันยิ่งเงียบเหงาเดียวดายกว่าเดิม
มันได้แต่แสวงหาชื่อเสียง เกียรติยศ และอำนาจมาทดแทน
เจ้านครเมฆขาวอาจไม่เมามายสุรา แต่ตอนนี้นับว่ามันเมามายลาภยศชื่อเสียงและอำนาจอย่างยิ่งแล้ว
เป็นความเมามายโดยที่แม้แต่ตัวเองมิอาจรู้สึกตัวว่าเมามายยิ่งแล้ว!
ภายหลังแผนการก่อขบถแย่งชิงราชบัลลังก์ล้มเหลว คนเยี่ยงเจ้านครเมฆขาวได้แต่เลือกหนทางตายให้กับตนเอง
มันอาจมีโอกาสเลือกตายแบบจอมยุทธ์ ตายภายใต้กระบี่ของไซมึ้งซวยเซาะ
เล็กเซี่ยวหงส์กลับมีความดีความชอบในฐานะผู้ช่วยปราบขบถในครั้งนี้
ฮ่องเต้หนุ่มมีพระบรมราชโองการให้เล็กเซี่ยวหงส์เข้าเฝ้าในห้องทรงพระอักษรทรงรับปากเล็กเซี่ยวหงส์ มิว่าเล็กเซี่ยวหงส์จะทูลขอเรื่องใด ล้วนรับปากพระราชทานให้ทั้งสิ้น
เล็กเซี่ยวหงส์ทูลขออะไร?
นอกเหนือจากฮ่องเต้กับมันแล้ว มิมีผู้ใดสามารถล่วงรู้ได้
ทุกคนที่รออยู่เบื้องนอกล้วนคาดเดา เล็กเซี่ยวหงส์อาจทูลขอ
บ้างว่า"มันทูลขอสุรา"
มีบ้างบางคนคาดเดาว่ามันทูลขอ"สิ่งบำเรออารมณ์"
"ทูลขอเงินทอง..."
และมีบางคนบอกมัน-"ต้องทูลขอยศแม่ทัพ..."
ทั้งนี้เนื่องเพราะทุกคนล้วนเห็นพ้องต้องกันว่า
"...สุรา นารี เงินทอง อำนาจ ไยมิใช่สรรพสิ่งที่บุรุษต้องการ? นอกจากนี้เล็กเซี่ยวหงส์ยังมุ่งหวังอันใดอีก?"
(สองนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ : 265)
แต่เล็กเซี่ยวหงส์กลับให้คำตอบ
"ไม่ใช่"
เป็นมันทูลขอสิ่งใด โก้วเล้งมิได้บอกไว้ เพียงเมื่อทุกคนที่เดินติดตามมันอยู่เบื้องหลังได้รู้ว่ามันทูลขออะไร แต่ละคนล้วนส่งเสียงหัวร่อ
หัวร่อจนงอหาย
คนเดินถนน ผู้คนในร้านรวง ล้วนจับจ้องมองพวกมันอย่างแตกตื่นไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ว่า พวกมันนับเป็นยอดฝีมือแห่งยุค และไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่า พวกมันไฉนหัวร่ออย่างเบิกบานปานนี้...
ที่แท้เล็กเซียวหงส์ทูลขออะไร?!
ประการนี้ข้าพเจ้าไม่อาจล่วงรู้ได้ แต่ข้าพเจ้ามั่นใจ- เล็กเซี่ยวหงส์อาจลุ่มหลงสุรา แต่คนเยี่ยงมันย่อมไม่เมามายลาภ ยศ สรรเสริญ หรืออำนาจ
มันย่อมไม่ทูลขอทรัพย์สินเงินทอง ไม่ทูลขอยศถาบรรดาศักดิ์ และยิ่งไม่ยินยอมทูลขอตำแหน่งขุนนางหรืออำนาจทางการเมืองการปกครองใดๆ จากฮ่องเต้แน่นอน
มันทูลขอสิ่งใดเล่า?
สุราแม้ดื่มจนเมามาย อาจบางทีสามารถทำให้นิสัยของคนเปลี่ยนแปลงไป มีบ้างที่อาจกระทำในสิ่งที่พวกมันไม่เคยกระทำ มีบ้างที่มันสามารถเปลี่ยนแปลงจากคนเรียบๆ ร้อยๆ กลายเป็นคนเกะกะระราน เปลี่ยนแปลงจากผู้ไม่ยินยอมเอ่ยวาจาให้สามารถกล่าววาจาจนกระทั่งต้องขอร้องให้หยุด และมีบ้างที่เมื่อดื่มสุราแล้วกลับหลับไหล
"มีบ้างบางคนพอดื่มสุราจนเมามาย ชมชอบกล่าวเหลวไหล กระทั่งตัวเองยังมิทราบว่าตนกล่าวอะไรออกไป
มีบ้างกลับคร่ำครวญหวนไห้ ยิ่งร่ำไห้ยิ่งโศกสลด ร่ำไห้ถึงตอนท้ายคล้ายกับในโลกหลงเหลือมันเพียงคนเดียว
ผู้คนบางคนกลับหัวร่อราวกับว่า ปรากฏเงินทองร่วงหล่นลงจากฟ้าเกลื่อนกลาดทั่วพสุธา นอกจากมันแล้ว บุคคลอื่นล้วนไม่สามารถเก็บได้
ต่อให้บ้านของมันเกิดเพลิงไหม้ มันยังคงหัวร่อ มาตรแม้นท่านตบหน้ามันสิบกว่าฉาด มันอาจหัวร่อสนั่นหวั่นไหวกว่าเดิม
ผู้คนบางคนพอเมามาย กลับม่อยหลับไป มิกล่าววาจาแม้สักคำ ต่อให้ผู้คนทั่วทั้งโลกเตะมันคนละฉาด มันยังคงไม่ตื่น มาตรแม้นโยนมันลงแม่น้ำ มันยังคงหลับสนิท"
(วีรบุรุษสำราญ 1:162-163)
เยี่ยงนี้แม้มันปวดหัวเกือบตายในวันรุ่งขึ้น
แม้ขณะเมามายมันอาจทำร้ายผู้คนบาดเจ็บ แต่เมื่อมันสร่างเมาแล้วจะยังคงทำร้ายผู้อื่นอีกกระนั้นหรือ?
เมามายสุราเมื่อหยุดดื่มก็มีเวลาสร่างเมา
แต่การลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจ เกียรติยศ ชื่อเสียง ทรัพย์สินเงินทอง เหล่านี้กลับใช่สามารถสร่างเมาได้?
หรือผู้ที่ลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจ เกียรติยศ ชื่อเสียง ทรัพย์สินเงินทอง นอกจากจะไม่สามารถสร่างเมาแล้ว พวกมันต่างพากันดื่มด่ำในอำนาจ เกียรติยศ ชื่อเสียง ทรัพย์สินเงินทองโดยมิรู้ว่าตนกำลังเมามาย
ในยามที่พวกมันเมามายในสิ่งเหล่านี้ใช่พวกมันสามารถรู้ตัวเองว่ากำลังเมามายอยู่หรือไม่
เยี่ยงนี้- ผู้เมามายสุรา ยามเมามายพวกมันได้แต่ทำร้ายสุขภาพตนเอง ได้แต่สนุกสนานเฮฮาส่งเสียงให้เป็นที่รำคาญของผู้คน หลับไหลบนพื้นหญ้ากลางลานบ้าน และอาจมีไม่น้อยที่ก่อการทะเลาะวิวาท เกิดการบาดเจ็บ แต่สำหรับผู้ลุ่มหลงเมามายในอำนาจ ชื่อเสียงเกียรติยศ ทรัพย์สินเงินทองเล่า ความลุ่มหลงของมันใช่ได้ทำลายสรรพสิ่งไปมากน้อยแค่ไหน ทำลายผู้คนไปมากเท่าใด
คนเดียวดายเมาสุราอาจหลับไหล
แต่คนเดียวดายที่เมามายอำนาจ เกียรติยศ ชื่อเสียง ทรัพย์สินเงินทองเล่าพวกมันใช่หลับไหลกลับทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาล ผลาญพล่าทำลายสรรพสิ่งไปกี่มากน้อย
เยี่ยงนี้ผู้ใดกันเล่าที่เมามายสุรา
ผู้ใดกันเล่าที่ลุ่มหลงมัวเมาในลาภ ยศ ชื่อเสียง ทรัพย์สินเงินทอง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ผู้ใดว่าวีรบุรุษเงียบเหงา วีรบุรุษที่แท้ล้วนสำราญ
“ร่างกายพวกเราแม้สกปรก จิตใจกลับสะอาดสะอ้าน หากแม้นจิตใจคนผู้หนึ่งสกปรกโสมม ต่อให้ใช้สบู่ฟอกวันละสิบครั้ง ยังไม่สะอาดหมดจด” “มีเหตุผล ...
-
“จันทร์กระจ่างสักกี่ครั้ง ชูเมรัยไต่ถามฟ้า ทิพยสถานกลางเวหา ราตรีนี้เป็นปีใด เราคิดเหินลมคืนกลับ แต่กริ่งเกรงเคหาสน์หยกขาว เบื้องบนสะท้...
-
(1) ในบู๊ลิ้มขณะนั้นล้วนร่ำลือถึงบุคคลผู้หนึ่ง ในคำร่ำลือนั้นถึงกับกล่าวว่าคนผู้นั้นนับเป็นจอมโจรชั่วร้ายที่มิอาจมีผู้ใดในยุคนั้นชั่วร้าย...
-
“ร่างกายพวกเราแม้สกปรก จิตใจกลับสะอาดสะอ้าน หากแม้นจิตใจคนผู้หนึ่งสกปรกโสมม ต่อให้ใช้สบู่ฟอกวันละสิบครั้ง ยังไม่สะอาดหมดจด” “มีเหตุผล ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น