วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สุนัขป่าโดดเดี่ยว คนเดียวดาย

"กระทั่งว่าคืนนี้เมามายอยู่ ณ ที่ใดก็ไม่อาจรู้
กิ่งหยางหลิวอ่อนช้อยร่ายรำ  ลมอรุณโชยพลิ้ว  จันทร์แรมหมองหม่น ภาพพจน์เช่นนี้ แม้ว่างดงาม แต่กลับงามอย่างเศร้าสร้อยเยือกเย็น  ทำให้จิตใจปวดร้าว
ความรื่นเริงเช่นนี้  ท่านยินดีเสพหรือไม่?
ถ้าหากท่านต้องการสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น  ชีวิตนี้จะเหลืออะไรมีค่าควรแก่การให้ท่านไปเสาะแสวงหา?
ความอ้างว้างเช่นนี้มีผู้ใดรู้?"
(เรืองรอง  รุ่งรัศมี แปล, เดียวดายใต้เงาจันทร์ โก้วเล้งรำพัน, หน้า 27-28)

มนุษย์ยามมีชีวิตอยู่  มีผู้ใดที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างราบรื่น? มีใครบ้างผันผ่านแต่ฤดูกาลอันรื่นรมย์?  มีใครบ้างที่ไม่เคยผ่านความรู้สึกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว ?
เป็นความรู้สึกที่เห็นว่าตนมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว?
เป็นความโดดเดี่ยวที่เงียบเหงาเดียวดายยิ่ง !
สำหรับโก้วเล้ง--ดูเหมือนว่านี่คือสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของท่านครั้งแล้วครั้งเล่า  ผ่านเข้ามาจนท่านมิอาจทนทานได้
สำหรับเหล่าจอมยุทธ์ของโก้วเล้ง  มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นเช่นท่าน
เป็นจอมยุทธ์ที่เต็มไปด้วยความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว  อ้างว้างเดียวดาย
โก้วเล้งกล่าวถึงเหล่าจอมยุทธ์ของท่านไว้ยุทธจักรนิยายเสมอว่า
 “...หากท่านเร่ร่อนไปในโลกกว้าง ไม่อาจหนีพ้นจากเหลาสุราโรงเตี๊ยม หมู่บ้านชนบท ร้านรวงกลางป่า อารามนางชี วัดวาโบราณ ยิ่งไม่อาจหลุดพ้นบุญคุณความแค้น ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว และความอ้างว้างเดียวดาย...”
  (หลั่งเลือดสะท้านภพ, 1:  88)
โก้วเล้งไยมิใช่เป็นดั่งจอมยุทธ์ของท่าน ?
เหล่าจอมยุทธ์โดดเดี่ยวเดียวดาย
ที่โดดเดี่ยวเดียวดายเนื่องเพราะพวกมันนับเป็นคนเสเพลพเนจร ไม่มีที่พำนักพักพิงเป็นหลักแหล่งแน่นอน  มีแต่ต้องระเหเร่ร่อนไปในทุกถิ่นที่  
และอาจเนื่องเพราะพวกมันไม่มีครอบครัว  ไม่มีคนรัก ?
แต่เหล่าจอมยุทธ์ที่มีทั้งบ้าน  มีทั้งครอบครัวที่แสนจะอบอุ่น  ไฉนบ้างครั้งพวกมันก็ยังคงมีความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว?
แท้จริงความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวของเหล่าจอมยุทธ์ เป็นเช่นไร?
เป็นความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวของมนุษย์  ?!


แท้ที่จริงความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว นับเป็นความรู้สึกที่ล้วนสามารถเกิดขึ้นได้สำหรับทุกผู้คนและในทุกโอกาส จนอาจกล่าวได้ว่ามีผู้ใดบ้างที่เกิดมาไม่เคยมีความรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยวเดียวดาย มีผู้ใดบ้างที่ในชีวิตไม่เคยรู้สึกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว?
แม้กระทั่งยามอยู่ท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก  ไฉนบางครั้งก็ยังมีความรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย?
ในความเป็นจริงของธรรมชาติมนุษย์ สามารถกล่าวได้ว่ามนุษย์เป็นสัตว์โลกที่อ่อนแอ  เป็นสัตว์โลกที่มิอาจดำรงอยู่ได้หากปราศจากการรวมตัวกันเป็นหมู่เป็นเหล่า ดังนั้นเมื่อมนุษย์ต้องตัดขาดจากธรรมชาติ แยกตนเองออกจากธรรมชาติ  พวกเขาจึงเต็มไปด้วยคำถาม
มนุษย์มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?
มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?
คำถามเหล่านี้ล้วนยากที่จะมีใครให้คำตอบได้ ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าตนมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร มนุษย์รู้แต่ว่าพวกเขาจะทำอย่างไรถึงจะหลีกหนีให้พ้นจากความไม่ปลอดภัยได้  ทำอย่างไรจึงจะให้รู้สึกว่าตนไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายเท่านั้นเอง
อีริค ฟรอมม์ ชี้ให้เห็นว่า   ความรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยวทำให้มนุษย์เกิดความวิตกกังวล  ฟรอมม์ย้ำว่าความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะ
 “...มนุษย์ตระหนักดีว่า คนเรานั้นถ้าอยู่ลำพังเพียงคนเดียว เราจะทำอะไรไม่ได้ มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่ไม่อาจทำกิจกรรมทุกๆ อย่างได้แต่ตามลำพังคนเดียว  ถ้าต้องอยู่คนเดียวจะทำประโยชน์ให้ต่อโลกได้อย่างไร   จะทำความเข้าใจกับโลกได้อย่างไร   จะเข้าใจวัตถุแวดล้อมหรือคนรอบข้างได้อย่างไร    เมื่อเกิดความวิปริตผิดปรกติขึ้นมาตามธรรมชาติจะตั้งรับได้อย่างไร...”
 (สีชมพู แปลและเรียบเรียง,รัก : ศิลปะที่แท้จริง, หน้า 16)
นี่เนื่องเพราะนับเป็นความน่าเศร้าอย่างหนึ่งของมนุษย์
ความน่าเศร้าที่นับเนื่องเพราะมนุษย์ได้พยายามแยกตนออกจากสรรพสิ่ง
แยกตนออกจากธรรมชาติที่แวดล้อมตนอยู่ !
วิวัฒนาการของมนุษย์ก็เป็นเฉกเดียวกับทารกที่คลอดจากครรภ์มารดา พลันที่มนุษย์ออกจากครรภ์มารดาเขาย่อมมิใช่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมารดาอีกต่อไป  เพียงหากมารดาอยู่ใกล้ชิดกับเขา  ไม่ปล่อยให้เขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวนานๆ อาจทำให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวของเขาลดน้อยลงไปบ้าง  และทำให้เขาเข้มแข็งพอที่จะตั้งรับกับความรู้สึกเงียบเหงาเดียวดายในชีวิตข้างหน้าได้
มารดาเองไยมิใช่เฉกเดียวกัน
ในตำนานกำเนิดมนุษยชาติก็ล้วนกล่าวในทำนองเดียวกัน มนุษย์เมื่อแรกเริ่มมีขึ้นในโลกล้วนถือกำเนิดและมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับธรรมชาติ  ต่อมาเมื่อมนุษย์คู่แรกได้ไปกิน "ผลไม้แห่งความรู้สึกผิดชอบชั่วดี" จึงเริ่มมีความรู้สึกแตกต่างไปจากสัตว์ แยกตัวออกจากธรรมชาติ  เริ่มมีการสร้างกฎเกณฑ์แห่งจริยธรรม  มีระเบียบประเพณี  มีผู้ปกครองและผู้อยู่ใต้การปกครอง  มีกฎหมาย ฯลฯ  ดังที่เหล่าจื๊อกล่าวไว้ใน “คัมภีร์เต๋าเต็กเก็ง”ว่า
เมื่อคนในโลกรู้จักความสวยว่าสวย
ความน่าเกลียดก็อุบัติขึ้น
เมื่อคนในโลกรู้จักความดีว่าดี
ความชั่วก็อุบัติขึ้น
มีกับไม่มีเกิดขึ้นด้วยการรับรู้
ยากกับง่ายเกิดขึ้นด้วยความรู้สึก
ยาวกับสั้นเกิดขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ
สูงกับต่ำเกิดขึ้นด้วยการเทียบเคียง
เสียงดนตรีกับเสียงสามัญเกิดขึ้นด้วยการรับฟัง
หน้ากับหลังเกิดขึ้นด้วยการนึกคิด”
ดังนั้นเมื่อเต๋าสาบสูญไป
คุณธรรมก็เข้ามาแทนที่
เมื่อคุณธรรมสูญหายไป
ความเมตตาก็เข้ามาแทนที่
เมื่อความเมตตาสูญหายไป
ความยุติธรรมก็เข้ามาแทนที่
เมื่อความยุติธรรมหายไป
ประเพณีก็เข้ามาแทนที่”
 (พจนา  จันทรสันติ,วิถีแห่งเต๋า, หน้า 44 และ 116)
เฉกนี้, มนุษย์จึงแยกตนจากธรรมชาติ แยกตนจากเพื่อนมนุษย์ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ มนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันจึงแปรเปลี่ยนไป มนุษย์จึงรู้สึกบางครั้งมีความโดดเดี่ยวเดียวดาย  บางครั้งเงียบเหงาว้าเหว่  บางครั้งราวกับถูกทอดทิ้ง  มนุษย์จึงดิ้นรนกระทำทุกอย่างเพื่อที่จะเอาชนะความรู้สึกที่ถูกแยกมาจากคนอื่น  ทำอย่างไรที่จะอยู่ร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคนอื่น  แต่ก็ดูเหมือนว่า ยิ่งมนุษย์ดิ้นรนมากขึ้นเท่าใด มนุษย์กลับรู้สึกว่าตนโดดเดี่ยวเดียวดายเพิ่มขึ้น  เงียบเหงามากขึ้น
นี่เนื่องเพราะเหตุใด?
ใช่เนื่องเพราะว่าแท้ที่จริงแล้วมนุษย์ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเหตุใดตนจึงมีความรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย ?
มีไม่น้อยขาดเพื่อนฝูง  แสวงหาเพื่อนฝูงมากมาย   แต่ท่ามกลางเพื่อนฝูงมากมายมันกลับรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างยิ่ง
มีไม่น้อยเห็นว่าชื่อเสียง เกียรติยศ ทรัพย์สินเงินทอง เหล่านี้ย่อมนำมาซึ่งสถานะอันเลิศเลอในสังคม เหล่านี้ย่อมนำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่สนิทแนบแน่นกับบุคคลอื่น แต่ไฉนเมื่อมันมีแล้วมันกลับยังมีความรู้สึกโดดเดี่ยว
มิเพียงโดดเดี่ยวเยี่ยงเดิม, มันกลับโดดเดี่ยวยิ่งกว่าเดิม
เป็นความเงียบเหงาโดดเดียวและเหน็บหนาวยิ่ง!
นี่ย่อมสอดคล้องกับสำนวนที่ว่า “ยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว” ดังที่โก้วเล้งกล่าวไว้
 “...ลมไม่ทราบโชยพัดจากรอยแตกใด  ลมบนที่สูงมักแหลมคมรุนแรงเป็นพิเศษ  คนยามอยู่ที่สูงมักรู้สึกเดียวดายเหน็บหนาวเป็นพิเศษ...”
  (อินทรีผงาดฟ้า, 2:607)


โก้วเล้งกล่าวถึงเหล่าจอมยุทธ์  
กล่าวถึงผู้คนในยุทธจักรในอีกด้านหนึ่ง
เป็นด้านของความเจ็บช้ำขมขื่น !
โก้วเล้งกล่าวว่า
 “...มือปราบเทพยดาจับขโมยเทพยดาได้ตั้งโต๊ะสุราอาหารเลี้ยงฉลองกัน ดื่มกินเป็นโกลาหล  ดื่มจนเมาปางตายจึงยุติ
มหาโจรกวาดทรัพย์มาได้รายหนึ่ง  แบ่งเล็กน้อยให้แก่คนยากจน  ตัวเองฟุ้งเฟ้อสุรุ่ยสุร่าย  ใช้เงินทองที่มีเกลี้ยงเกลาจึงยุติ
วีรบุรุษมีชื่อเสียงมีอิทธิพล  มิว่าไปในแห่งหนใดต่างได้รับความเคารพนับถือและชื่นชมยินดี
บุตรธิดาตระกูลใหญ่  ได้รับการทะนุถนอมอยู่ดีกินดีมาแต่เยาว์วัย ต้องการกระไรก็ได้กระนั้น
ชีวิตเช่นนั้น เป็นที่น่าชื่นชมอิจฉาจริงๆ  แต่ท่านได้เห็นอีกด้านหนึ่งของพวกมันหรือไม่?
พวกมันก็มีความว้าเหว่และขมขื่น
วิกาลดึกสงัดสรรพเสียงเงียบสงบ   สร่างเมาตื่นขึ้นมา  พลันเห็นผู้นอนเคียงกาย
(“คำนำของโก้วเล้ง” ศึกเสือหยกขาว, 1: 6-8)
โก้วเล้งทราบ, ที่ทราบเนื่องเพราะชีวิตของท่านก็เป็นดั่งเหล่านักบู๊ในยุทธจักร
ชีวิตของท่านนับได้เป็นบุคคลในยุทธจักร!
ด้านหนึ่งย่อมมีความสุขหฤหรรษ์  แต่อีกด้านหนึ่งเล่า?
อีกด้านหนึ่งของโก้วเล้งไยมิใช่บุคคลที่โดดเดี่ยวเดียวดายยิ่ง
บางครั้งท่านจึงอาจเป็นเฉกเช่นเล็กเซี่ยวหงส์-
เป็นดั่งเล็กเซี่ยวหงส์ที่กำพร้าบิดามารดามาแต่เยาว์วัย
เป็นดั่งเล็กเซี่ยวหงส์ที่แม้เปลือกนอกของมันจะดูราวกับมีแต่ความหฤหรรษ์  แต่นั่นนับเป็นความหฤหรรษ์ที่ซุกซ่อนความอ้างว้างว้าเหว่อยู่ภายใน  มันอาจดูมีความสุขอยู่ในอ้อมกอดของอิสตรีคนแล้วคนเล่า แต่อิสตรีเหล่านั้น ใช่เป็นคนรักของมันหรือไม่ ?
มันใช่มีคนรักที่แท้จริงหรือไม่?
มันอาจมีสหาย, สหายที่บางครั้งอาจกลับกลายเป็นคู่ต่อสู้ของมันเอง
ในใจเล็กเซี่ยวหงส์จะคาดคิดเช่นไร  หากมันพบว่ามีสหายของมันไม่น้อยกลับเป็นบุคคลที่มันจะต้องกำจัดเพื่อมิให้เป็นภัยแก่วงบู๊ลิ้ม- เฉกนี้โก้วเล้งคิดเช่นไร?
ใช่มิยิ่งกลับต้องปวดร้าว  ว้าเหว่เดียวดายทับทวีหรือไม่?
บางทีโก้วเล้งก็เป็นเช่นลี้คิมฮวงที่อ้างว้างขมขื่นและโดดเดี่ยวเดียวดายยิ่ง  เป็นลี้คิมฮวงที่มีแต่ความเห็นอกเห็นใจความอ้างว้างว้าเหว่ของผู้อื่น  เข้าใจความโดดเดี่ยวของผู้อื่นจนบางครั้งกลับลืมเลือนไปว่าตนก็คือคนอ้างว้างโดดเดี่ยวผู้หนึ่งเช่นกัน
บางทีก็เป็นดั่งก๊วยไต้โล่วและสหายแห่ง "เคหารุ่มรวย" ผู้นับเป็น “วีรบุรุษสำราญ” แห่งวงบู๊ลิ้ม  วีรบุรุษผู้ยึดถือชื่อเสียงเกียรติยศ ทรัพย์สินเงินทองเยี่ยงผงธุลี  มิอาจมีคุณค่าเทียบเท่าสุราและสหาย
และบางครั้งท่านก็อาจเป็นเช่นอาฮุยและเซียวจับอิดนึ้ง  ที่มิอาจถือกำเนิดจากตระกูลสูงส่ง  มีสง่าราศรีเป็นที่ยอมรับของเหล่าผู้กล้าในยุทธจักร  นับเป็นคนไร้รากที่ยากจะได้รับการยอมรับนับถือจากผู้คน
และอาจเป็นเช่นจอมยุทธ์อีกหลายต่อหลายคนของท่าน


โก้วเล้งนับว่ามีชีวิตที่อ้างว้างว้าเหว่ยิ่ง  นับเป็นคนเดียวดายที่โดดเดี่ยวเดียวดายยิ่งผู้หนึ่ง
ท่านโดดเดี่ยวนับแต่ออกจากบ้านในฮ่องกง ไปพำนักอยู่ในไต้หวัน  เพียงอายุได้ 18 ปีท่านก็กลายเป็นคนไร้บ้านช่องให้คืนกลับ  ไม่มีญาติพี่น้องหรือมิตรสหายที่จะไปมาหาสู่อีกเลย
ในชีวิตของโก้วเล้งมีอิสตรีผ่านเข้ามาในชีวิตหลายต่อหลายคน  แต่ชีวิตครอบครัวของท่านกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า นี่อาจเนื่องเพราะท่านว้าเหว่เกินไป เดียวดายเกินไป  ท่านจึงมีสตรีเคียงกายมากกว่าคนหนึ่ง
นับเป็นภาวะที่อิสตรีซึ่งมีฐานะเป็นภรรยามิอาจทานทนได้!
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร โก้วเล้งก็มีสตรีเคียงกายอยู่ตราบกระทั่งวาระสุดท้ายแห่งชีวิต
เนื่องเพราะท่านเดียวดายเกินไป  ท่านจึงมีสหายไม่น้อย
เป็นสหายที่สามารถนับเป็นสหายที่แท้จริง !
เป็นที่กล่าวขานกันว่าท่านเป็น “ปีศาจสุรา” ท่านนิยมชมชอบดื่มสุราและเสียชีวิตลงเพราะสุรา
ใช้ท่านชมชอบดื่มสุราจริงๆ?
แท้จริงมิใช่ท่านชมชอบดื่มสุรา  ขณะที่ท่านดื่มสุรา สิ่งที่ท่านดื่มมิใช่สุรา แต่เป็นดื่มกลืนความหฤหรรษ์อันเกิดจากสหาย  ท่านบอก :-
 “...ความจริงผมไม่ใช่รักการดื่มเหล้าที่สุด  ที่ผมชอบไม่ใช่รสชาติของเหล้า  หากแต่เป็นเพื่อนในวงเหล้ายังมีบรรยากาศและความสนุกสนานในวงเหล้าบรรยากาศเหล่านี้ มีแต่เหล้าจึงสร้างขึ้นได้...”
(“แด่มังกรโบราณผู้จากไป”, คมดาบสั้น, หน้า 24)
ในที่พำนักของท่านจึงมีข้อความ “ในบ้านมากสหาย  ในจอกไม่ขาดเมรัย”
มีแต่สหายที่สามารถทำให้โก้วเล้งมีความสุขหฤหรรษ์ได้ มีแต่สตรีที่ทำให้ท่านมีชีวิตชีวา มีแต่สุราที่สามารถดลบันดาลบรรยากาศแห่งความสุขสันต์ให้เกิดขึ้นได้
มีแต่สิ่งเหล่านี้เท่านั้นที่สามารถปลอบประโลมให้ท่านคลายความว้าเหว่เดียวดาย
เนื่องเพราะท่านนับเป็นคนโดดเดี่ยวเดียวดายยิ่งผู้หนึ่ง !?
เป็นความโดดเดี่ยวเดียวดายที่ปวดร้าวและกลัดกลุ้มรำคาญใจยิ่ง
 “มิว่าความเจ็บปวดรวดร้าว กลัดกลุ้มรำคาญใจ ล้วนไม่คับแค้นทรมานเท่า ‘ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว !’
(จับอิดนึ้ง, 2:604)
โก้วเล้งจากโลกนี้ไปแล้ว ใช่พกพาความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวจากไปหรือไม่?
ผู้อยู่เบื้องหลัง ใช่ยังคงมีความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวเฉกท่านอีกบ้างหรือไม่?
แท้จริงผู้คนในโลกนี้กลับมิมีใดแตกต่างไปจากโก้วเล้ง ต่างล้วนมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความเปล่าเปลี่ยวเดียวดายเฉกเดียวกัน  เราจะพบความจริงว่ายิ่งมนุษย์เสาะแสวงหาสรรพสิ่งเพื่อมาบรรเทาความเงียบเหงาเดียวดายของตนมากเท่าใด  ไยมิใช่ยิ่งเพิ่มความเดียวดายให้มากขึ้นเท่านั้น !
ในเมื่อมนุษย์แท้จริงแล้วเป็นดั่งกะเชอก้นรั่ว เต็มไปด้วยความว่างเปล่า
เป็นความว่างเปล่าที่ถมไม่เคยเต็ม
พวกเขายิ่งถมกลับพบว่ายิ่งว่างเปล่า ยิ่งแสวงหามิตรสหายกลับยิ่งโดดเดี่ยวเดียวดาย!
เนื่องเพราะมนุษย์โดยทั่วไปในโลกนี้ล้วนไม่เคยเข้าใจ
ล้วนไม่เข้าใจว่าความโดดเดี่ยวนับเป็นเนื่องเพราะสิ่งไร ?
จะทำเยี่ยงไรจึงจะสามารถบรรเทาความโดดเดี่ยวเดียวดายได้ ?
โก้วเล้งกลับสามารถเข้าใจได้  แต่ท่านสามารถปฏิบัติได้?
บุคคลเช่นลี้คิมฮวง อาฮุย เอี๊ยบไค เจี่ยเฮียวฮง เต็งพ้ง และ ฯลฯ กลับทำได้
บั้นปลายชีวิตของพวกท่านแม้หลีกเร้นไปพำนักอยู่ห่างไกลผู้คน  อยู่ท่ามกลางป่าเขาอันรกร้างว่างเปล่า  พำนักอยู่ในดินแดนที่ยากจะมีผู้ใดเยี่ยมกราย
ดูพวกท่านคล้ายคนโดดเดี่ยวยิ่ง
แต่พวกท่านกลับมิมีความรู้สึกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว
กลับมิใช่คนเดียวดายอีกต่อไป!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ใดว่าวีรบุรุษเงียบเหงา วีรบุรุษที่แท้ล้วนสำราญ

“ร่างกายพวกเราแม้สกปรก  จิตใจกลับสะอาดสะอ้าน หากแม้นจิตใจคนผู้หนึ่งสกปรกโสมม  ต่อให้ใช้สบู่ฟอกวันละสิบครั้ง ยังไม่สะอาดหมดจด” “มีเหตุผล  ...